ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 335-3 เยี่ยเย่ว์
ใบหน้าเยี่ยเย่ว์ฉายแววลำบากใจ ถูกต้องแล้ว นางตั้งใจติดตามหวังซื่อมาที่เมืองหลีจริงๆ ทั้งยังตั้งใจทำให้ม่อจิ่งหลีรู้ว่าในมือตนมีไพ่ใบสำคัญที่มีประโยชน์ต่อเขามากๆ อยู่ เรื่องนี้มีอันใดไม่ถูกต้องกัน หลายปีที่นางต้องปิดบังชื่อสกุล นางต้องทุกข์ยากเพียงใด แต่เดิมนางเคยเป็นสนมของฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมีบุตรชายที่เป็นสายเลือดของอดีตฮ่องเต้ บุตรชายของนางเฉลียวฉลาดกว่าม่อซู่อวิ๋นที่ไร้ประโยชน์ของต้าฉู่ตั้งเป็นไหนๆ ขอเพียงทำได้ดี ไม่แน่ว่านางอาจได้ขึ้นนั่งเป็นไทเฮาก็ได้ แล้วเหตุใดนางจึงต้องปิดบังชื่อสกุล มีชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ไปวันๆ ด้วยความกลัวไปตลอดชีวิตด้วยเล่า
“ท่านพ่อ ขอเพียงพวกเราไปที่เจียงหนาน ม่อจิ่งหลีรับปากว่าจะช่วยสนับสนุนบุตรของข้าให้ขึ้นนั่งบัลลังก์ ถึงตอนนั้นท่านก็จะได้กลายเป็นเสด็จตาโดยแท้จริง แล้วหลังจากนั้นตระกูลเยี่ยก็จะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง” เยี่ยเย่ว์พูดพลางมองหน้าเยี่ยเหวินหวาด้วยสีหน้าจริงจัง
เยี่ยเหวินหวากลับโน้มน้าวไม่ได้ง่ายๆ ดังเช่นที่นางคิดเอาไว้ “ข้ายังเชื่อเสียมากกว่าว่าบุตรของหลีเอ๋อร์ต่อไปจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ หากอยู่ในเมืองหลีอย่างน้อยน้องชายเจ้ายังสามารถแต่งงานมีลูกได้อย่างปลอดภัย เหลือทายาทสืบสกุลให้ตระกูลเยี่ย” เยี่ยเหวินหวาในตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เยี่ยหรงถูกเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับหวังซื่อประคบประหงมเอาใจจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว ตอนนี้เขาจึงฝากความหวังไว้กับบุตรชายของเยี่ยหรง ให้สามารถอบรมสั่งสอนจนมีความรู้ความสามารถได้ หวังเพียงอย่าให้ตระกูลเยี่ยต้องสูญสิ้นควันธูปของคนกราบไหว้ไป
เมื่อได้ยินที่เยี่ยเหวินหวาพูด นัยน์ตาเยี่ยเย่ว์ก็เกิดประกายตัดพ้อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ในสายตาของท่านพ่อ ลูกสู้น้องสามไม่ได้เพียงนั้นเชียวหรือ” หากในตอนแรกนางไม่ได้ถูกไทเฮาบังคับจนจำต้องแกล้งตายและปิดบังชื่อเสียง นางจะตกต่ำอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร
เยี่ยเหวินหวาส่ายหน้าเอ่ยว่า “เจ้าไม่เหมือนกับเยี่ยหลี” เยี่ยเย่ว์ฉลาดเฉลียวมาก อาจถึงขั้นฉลาดกว่าเยี่ยหลีด้วยซ้ำ แต่นางไม่เหมือนกับเยี่ยหลี จึงไม่ควรเปรียบเทียบในระดับเดียวกันตั้งแต่แรก หากจับนางให้ไปอยู่ในวังหลัง เยี่ยเหวินหวาเชื่อว่า เยี่ยหลีอาจต่อกรกับเยี่ยเย่ว์ไม่ได้ แต่สายตาของเยี่ยหลีไม่ได้หยุดมองที่วังหลังเรือนหลังแต่แรกแล้ว นางมีความกล้าหาญและความสามารถที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษ ดังนั้นนางจึงสามารถช่วยเหลือติ้งอ๋องในด้านการปกครอง ทั้งยังสามารถขึ้นหลังม้านำทัพนับพันนับหมื่นออกไปสู้รบได้ สตรีเช่นนี้หากเอาไปไว้ในวังหลังมีแต่จะลดทอนความสามารถของนางไป ถึงขั้นในหลายๆ ครั้ง ที่เยี่ยเหวินหวารู้สึกเสียใจที่เหตุใดเยี่ยหลีถึงไม่เกิดเป็นบุตรชาย หากนางเป็นบุตรชาย ไม่ว่าใต้หล้านี้จะเป็นอย่างไร อย่างน้อยๆ ก็สามารถรับประกันได้ว่าตระกูลของเขาจะไม่ตกต่ำไปอีกสามชั่วอายุคน
เยี่ยเย่ว์เข้าใจความหมายของเยี่ยเหวินหวาเป็นอย่างดี นางชื่นชมว่าตนเองฉลาด แต่ก็เข้าใจว่าตนนั้นไม่เหมือนกับเยี่ยหลีที่สามารถขึ้นม้าไปออกรบและปกครองแคว้นได้ พวกนางไม่เหมือนกันมาตั้งแต่ต้น
“พวกเราไม่เหมือนกันก็จริง แต่น้องสามจะไม่มีวันสนใจความรุ่งเรืองหรือถดถอยของตระกูลเยี่ย หากมีตระกูลสวีคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตระกูลเยี่ยจะดีหรือร้ายล้วนไม่ส่งผลอันใดต่อนาง ไม่เหมือนกับข้า ท่านพ่อ ข้าจะดีได้ก็ต่อเมื่อตระกูลเยี่ยดีเท่านั้น ดังนั้นเยว่เอ๋อร์ไม่มีทางทอดทิ้งตระกูลเยี่ยอย่างแน่นอน” เยี่ยเย่ว์เอ่ยอธิบายเสียงเบา เยี่ยเหวินหวายังไม่ทันมีปฏิกิริยาเช่นไร เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ข้างๆ ก็เผยสีหน้าเห็นดีด้วยขึ้นมาให้เห็นเสียแล้ว ท่าทีเมินเฉยที่เยี่ยหลีมีต่อตระกูลเยี่ย คนมีตาคนไหนก็ล้วนมองออก ต่อให้ในอนาคตเยี่ยหลีได้เป็นมารดาแห่งใต้หล้า คนที่จะได้รับผลพลอยได้ไปด้วยก็มีแต่ตระกูลสวีไม่ใช่ตระกูลเยี่ย ในบรรดาหลานสาวทั้งหมด คนที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ารักใคร่เอ็นดูมากที่สุดก็คือเยี่ยเย่ว์ ยามนี้เมื่อมาได้ยินนางพูดเช่นนี้ ย่อมรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่งนัก จึงเหลือบมองเยี่ยเหวินหวาและคิดอยากจะพูดโน้มน้าวเขา
เยี่ยเหวินหวาโบกมือทันที พูดอย่างเหนื่อยอ่อนว่า “ท่านแม่ไม่ต้องพูดแล้ว ตระกูลเยี่ยจะไปจากเมืองหลีไม่ได้”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ทำไมถึงพูดเช่นนี้ เยี่ยหลีไม่เห็นตระกูลของพวกเราอยู่ในสายตา หรือว่าเจ้ายังจะเอาตัวเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยให้ได้อีก” กับหลานสาวคนที่ไม่เห็นแก่หน้านางเลยคนนี้ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจนางมานานแล้ว
เยี่ยเหวินหวาได้แต่ฝืนยิ้มส่ายหน้าด้วยความจนใจ ท่านแม่ของเขาหนอ…ถึงอย่างไรก็แก่แล้ว ไม่หลักแหลมดังเช่นสมัยยังสาวอีกแล้ว การที่ตระกูลเยี่ยเดินทางรอนแรมมายังเมืองหลี แล้วยังจะย้ายตามม่อจิ่งหลีไปทั้งตระกูลอีกนั้น อย่าว่าแต่เรื่องของเยี่ยเย่ว์นี้เลย ต่อให้ไม่มีเรื่องของเยี่ยเย่ว์ ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่มีทางไม่ตามสืบเรื่องนี้ หากสืบต่อลงไปแล้ว พวกเขายังจะพาตระกูลเยี่ยจากไปได้อีกหรือ เขาเหลือบมองเยี่ยเย่ว์ด้วยสายตาเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วว่าจะไปกับหลีอ๋อง เช่นนั้นก็ไปเสียแต่เดี๋ยวนี้เถิด”
“ท่านพ่อ…” เห็นได้ชัดว่า เยี่ยเย่ว์คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเหวินหวาจะหัวแข็งและไร้เยื่อใยเพียงนี้
“เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรน่ะ!” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจัด “เย่ว์เอ๋อร์เป็นหลานสาวของข้า เจ้ายังจะไล่นางไปอีกหรือ เช่นนั้นสู้ไล่คนแก่อย่างข้าไปด้วยเสียเลยสิ!” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดการอยู่ในเมืองหลีมานานแล้ว นางต้องการจะไปยังเจียงหนาน เมื่อไปถึงเจียงหนาน นางก็จะได้เป็นท่านย่าของพระชายา เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่สูงส่งคนเดิมดังเช่นยามอยู่ในฉู่จิง
“นายท่าน ฮูหยินผู้เฒ่า” ที่หน้าประตู มีบ่าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงาน “ติ้งอ๋องกับพระชายาติ้งอ๋องมาขอรับ”
ได้ยินอย่างนั้น ทุกคนต่างพากันอึ้งไป เยี่ยเย่ว์หน้าซีดขาวกว่าใครเพื่อน เดิมทีที่นางลงมือสังหารเยี่ยหลี ถึงแม้จะบอกว่านางถูกบังคับอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไปได้ หลายปีมานี้ถึงแม้เยี่ยเย่ว์จะมีชีวิตอยู่ด้วยการปิดบังชื่อเสียงเรียงนาม แต่ข่าวลือหลายๆ เรื่องนางก็เคยได้ยินอยู่บ้าง ความเลือดเย็นไร้ปราณีของม่อซิวเหยานางยิ่งกว่าเคยได้ยินมาจนคุ้นหู เมื่ออยู่ๆ ได้ยินว่าม่อซิวเหยามาที่นี่ จะไม่ให้นางตกใจกลัวได้อย่างไร
เยี่ยเหวินหวาก็ตกใจมากเช่นกัน เขารีบทำให้ใจสงบ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “รู้แล้ว ข้าจะไปต้อนรับท่านอ๋องกับพระชายาเดี๋ยวนี้”
“ไม่…ไม่ต้องแล้ว…” บ่าวที่อยู่หน้าประตูพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านอ๋องกับพระชายา…เข้ามาแล้วขอรับ”
ประตูถูกเปิดจากด้านนอกในทันที ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีจูงมือกันเดินเรื่อยๆ เข้ามา ตอนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู พวกเขาเห็นทุกคนที่อยู่ในห้องหนังสืออย่างถนัดตาก่อนแล้ว แต่ด้วยเพราะย้อนแสง ทำให้เยี่ยเย่ว์ที่อยู่ในห้องหนังสือ เห็นเพียงเงาในชุดสีขาวสองร่างที่เดินจูงมือกันเข้ามาเท่านั้น แสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบด้านหลังพวกเขาก่อให้เกิดเป็นวงรัศมีจางๆ ประหนึ่งเทพเซียนได้ลงมาเยี่ยมเยือน แล้วด้วยเหตุนี้จึงทำให้มองสีหน้าของทั้งสองคนไม่ชัด
เยี่ยเย่ว์พอเห็นทั้งสองเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นางก็ก้าวถอยหลังไปอย่างทนไม่ไหว เมื่อมองไปรอบๆ กลับพบเจอแต่ความสิ้นหวัง ภายในห้องหนังสือแห่งนี้ นอกจากประตูหนึ่งบานนี้แล้ว ก็ไม่มีทางอื่นให้นางหลบหนีออกไปได้อีก นางจึงจำต้องเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ห้องหนังสือที่เดิมทีก็ไม่ได้กว้างขวาง ดูคับแคบลงไปถนัดตา ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย จูงมือเยี่ยหลีเดินไปนั่งลงบนฟูกอ่อนที่อยู่ข้างหน้า ก่อนเลิกคิ้วถามว่า “นี่มันอะไรกัน เหตุใดในห้องหนังสือถึงได้ครึกครื้นเช่นนี้”
เยี่ยหวังซื่อพยายามฝืนฉีกยิ้มเอาใจ “ไม่…ไม่มีอะไรเพคะ พวกเรากำลังพูดคุยกับนายท่านอยู่พอดี ท่านอ๋องกับพระชายามาที่นี่แล้ว บ่าวอย่างเจ้ายังไม่ถอยออกไปอีก!”
เยี่ยเย่ว์รีบก้มหน้าลง โค้งคำนับก่อนลนลานเดินออกไปทางประตู
อีกนิดเดียวก็จะก้าวออกจากประตูห้องหนังสือไปอยู่แล้ว แต่ที่ด้านหลังกลับได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะของเยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “พี่รอง ไม่ได้พบกันเสียหลายปี ท่านจะไปแล้วหรือ”