ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 336-2 เผด็จการอย่างสมเหตุสมผล
เยี่ยหลีพอใจ แต่คนอื่นๆ กลับไม่พอใจ เยี่ยหวังซื่อและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนจนหันไปถลึงตาใส่เยี่ยเหวินหวาพลางร้องเรียกเขาขึ้นมา
เยี่ยเหวินหวาที่แต่ก่อนมักจะประณีประนอมเวลาอยู่ต่อหน้ามารดาและภรรยา กลับน้อยครั้งที่จะหนักแน่นเช่นครั้งนี้ ไม่ว่าเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธเคืองเพียงใด เขาก็กัดฟันแน่นไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมา ความรู้สึกของเยี่ยเหวินหวาที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงราชการมาครึ่งชีวิต อย่างไรก็แม่ยำกว่าเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า เยี่ยหวังซื่อ หรือแม้แต่เยี่ยเย่ว์อย่างแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่เขาประณีประนอมแสดงท่าทีโอนอ่อนที่จะตามพวกนางไป เกรงว่าวันนั้นคงจะเป็นจุดจบของตระกูลเยี่ยทั้งตระกูล เขาเชื่อว่าเยี่ยหลีจะเห็นแก่ความเป็นบิดา ไม่เอาชีวิตเขา แต่ความโหดเหี้ยมของม่อซิวเหยานั้นกลับโด่งดังไปทั่วใต้หล้า
ม่อซิวเหยาที่เพียงชมละครอยู่ข้างๆ มาโดยตลอดดูเหมือนจะเบื่อฉากอารมณ์แล้ว จึงนั่งตัวตรงมองทุกคนพร้อมยิ้มน้อยๆ “เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า…ท่านรู้หรือไม่ ตำหนักติ้งอ๋องกับต้าฉู่นั้นมีความแค้นต่อกัน”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งไป ดูจะไม่เข้าใจความหมายที่ม่อซิวเหยาต้องการจะสื่อ
ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาพูดขึ้นเรียบเรื่อยว่า “ในเมื่อตระกูลเยี่ยมาตั้งรกรากที่เมืองหลี เช่นนั้นก็ถือว่ากลายมาเป็นคนภายใต้อานัติของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ตอนนี้พวกเจ้ามาบอกข้าว่าคิดจะพาผู้หญิงที่เคยลอบสังหารชายารักของข้าไปยังเจียงหนานและเข้าเป็นพวกกับตำหนักหลีอ๋อง ข้าสามารถคิดไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ากำลังคิดจะ…เป็นกบฏ” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าตกใจจนตาเบิกโพลง คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้องกับการเป็นกบฏได้อย่างไร แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคให้นางรู้ว่ากบฏนั้นมีโทษทัณฑ์ที่รุนแรงเพียงใด
“จะถือเอาเช่นนี้ได้อย่างไร! พวกเราไม่ใช่คนของตำหนักติ้งอ๋อง!” หวังซื่อกรีดร้องออกมา
ม่อซิวเหยาหยักยิ้มมุมปาก “ไม่ใช่คนของตำหนักติ้งอ๋องหรือ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นคนของม่อจิ่งหลีสินะเช่นนั้น…ข้าก็สามารถจัดการพวกเจ้าในฐานะผู้สอดแนมได้ ใช่หรือไม่ เห็นแก่หน้าของอาหลี ข้าจะอนุญาตให้พวกเจ้าเลือกวิธีการตายที่ชอบก็แล้วกัน” ครานี้ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากับเยี่ยหวังซื่อถึงคราวหวาดกลัวจริงๆ แล้ว พวกนางมองใบหน้าหล่อเหล่าที่เหมือนจะยิ้มเหมือนจะไม่ยิ้มของม่อซิวเหยาด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม “ไม่…ไม่เอา…”
เยี่ยเย่ว์ที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอดเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ด้านหลังอย่างหมดแรง นางประเมินความสามารถของตำหนักติ้งอ๋องต่ำเกินไปจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนางวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี นางหลบหนีจากสงคราม ติดตามหวังซื่อมาที่เมืองหลี ได้พบม่อจิ่งหลีทั้งยังเกลี้ยกล่อมม่อจิ่งหลีได้อย่างที่ต้องการ แต่กลับไม่คิดว่าจะมาพ่ายแพ้ในก้าวสุดท้ายก่อนจะออกไปนี้ สุดท้ายแล้วนางก็เป็นเพียงสตรีบอบบางไร้เรี่ยวแรง ต่อให้วางแผนเก่งกาจเพียงใดแต่หากไม่มีหมากที่เพียงพอ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์ใหญ่อย่างตำหนักติ้งอ๋อง นางก็โจมตีอะไรเขาไม่ได้เลยจริงๆ และเห็นได้ชัดว่า เยี่ยเย่ว์ก็เป็นคนประเภทที่มีหมากในมือไม่เพียงพอ หมากในมือของนางนอกจากมีประโยชน์ต่อม่อจิ่งหลีแล้ว ในสายตาของคนอื่นก็เป็นเพียงโครงไก่อันไร้ค่าเท่านั้น
ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น เดินเรื่อยๆ ไปตรงหน้าเยี่ยเย่ว์ กดสายตาลงพร้อมเชยคางนางขึ้นพินิจมองอย่างละเอียดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถึงได้เอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าลงมือทำร้ายอาหลี ข้า…จำเจ้าได้มาตลอด” ได้ยินอย่างนี้ เยี่ยเย่ว์กลับไม่รู้สึกยินดีเลยสักนิด นางตัวสั่นเทิ้มอย่างหนัก ดวงตาคู่งามเผยความหวาดกลัวให้เห็นอย่างชัดเจน
แต่ถึงอย่างไรเยี่ยเย่ว์ก็สามารถหลบหนีการฆ่าปิดปากจากไทเฮาและราชวงศ์มาได้ สามารถหลบหนีการตามสืบของตำหนักติ้งอ๋อง รอนแรมจากเมืองหลวงกลับมาหาเยี่ยซื่อที่บ้านเก่าในซีหนาน และถึงขั้นสามารถมีชีวิตอยู่มาได้อย่างปลอดภัยถึงหลายปีเพียงนี้ จึงย่อมไม่ถูกทำให้ตกใจกลัวง่ายๆ เยี่ยเย่ว์พยายามทำสายตาให้นิ่ง และพยายามทำให้น้ำเสียงตนเองสงบนิ่งที่สุดแล้วพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ท่านอ๋อง เดิมทีเรื่องที่ทำกับน้องสาม…เป็นไทเฮาที่บังคับข้า ข้าเองก็ทำอันใดไม่ได้ ขอท่านอ๋องได้โปรดเห็นใจ เยี่ยเย่ว์จะสำนึกในความเมตตาที่ไม่เอาชีวิตข้า และจะตอบแทนท่านอ๋องอย่างแน่นอน”
“บังคับให้เจ้าทำหรือ” ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงเย็น สะบัดคางเยี่ยเย่ว์ออกด้วยความดูแคลน “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยยัยแก่นั่นไปหรือ ข้าไม่สนว่าเจ้าถูกบังคับหรือไม่ คนที่ทำร้ายอาหลีสมควรตายทั้งสิ้น ต่อให้มีคนมาบังคับเจ้า เจ้าก็ควรตายไปเองเสีย เหตุใดเจ้าถึงไม่ตายเล่า หากเจ้าตายไป ไม่แน่ว่าข้าอาจจะแก้แค้นให้เจ้าและอาจให้บุตรชายของเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็เป็นได้”
คนที่ไม่พูดคุยกันด้วยเหตุผลนั้นเยี่ยเย่ว์พบเจอมานักต่อนัก แต่คนที่ถามออกมาเหมือนเป็นเรื่องที่สมควรทำอย่าง “เหตุใดเจ้าจึงไม่ตายเล่า” เช่นนี้ เยี่ยเย่ว์เพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก จึงตั้งตัวไม่ทันไปชั่วขณะ พักใหญ่ถึงได้พูดเสียงสั่นว่า “ความหมายของท่านอ๋องคือ…ไทเฮาบังคับให้ข้าฆ่าน้องสาม ข้าจึงสมควรไปตายเองหรือ”
“ถูกต้อง” ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ “พวกเจ้าตายกันได้ทุกคน มีเพียงข้ากับอาหลีเท่านั้นที่ใครก็อย่าคิดจะแตะต้อง ใครที่กล้าทำร้ายนาง ข้าจะทำให้ผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความเสียใจ ที่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อมานานหลายปีเพียงนี้ เจ้าก็น่าจะพอใจได้แล้ว”
“บ้าไปแล้ว!” เยี่ยเย่ว์เอ่ยเสียงสั่น ผินหน้าไปมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่อีกด้าน นางยิ้มอย่างน่าเวทนาท “น้องสาม เจ้าอยู่กับคนฟั่นเฟือนเช่นนี้เจ้าไม่นึกกลัวบ้างเลยจริงๆ หรือ”
ม่อซิวเหยาหน้าบึ้งลงทันที นัยน์ตาเป็นประกายคมกล้า ยกมือขึ้นคิดจะสะบัดลงบนหน้าของเยี่ยเย่ว์ แต่เยี่ยหลีที่อยู่ข้างหลังยกมือขึ้นจับข้อมือเขาไว้ ดึงมือเขาที่ยกขึ้นกลับไปจับประสานไว้ เยี่ยหลีมองเสีหน้าตื่นตระหนกของเยี่ยเย่ว์ ก่อนยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เหตุใดข้าจึงต้องกลัว ข้าเชื่อว่าหากในโลกหล้านี้มีหนึ่งคนที่จะไม่ทำร้ายข้า คนผู้นั้นจะต้องเป็นเขาแน่ๆ เจ้าไม่คิดหรือว่า การมีคนเช่นนี้อยู่เคียงคู่เป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่ง”
“ความสุขหรือ” เยี่ยหย่ว์มองคนทั้งสองที่ยืนเคียงกันอยู่ด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง นัยน์ตาเป็นประกายงุนงง แต่เมื่อกลับมาคิดดู นางถึงเพิ่งได้รู้ว่า ชั่วชีวิตของนางนี้ยังไม่เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าความสุขเลย ช่วงเวลาเดียวที่นางรู้สึกเป็นสุข ก็มีเพียงช่วงวัยสาวตอนที่ยังไม่ได้เข้าวังกับช่วงที่สวีฮูหยินเสียชีวิตแล้วหวังซื่อได้รับการยกขึ้นมาเป็นภรรยาเอกเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้นนางก็เป็นเพียงบุตรสาวสายรองของตระกูลเยี่ย ช่วงเวลานั้นมีอยู่เพียงสองสามปี จนเมื่อเข้าวังแล้ว ทุกย่างก้าวก็ราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ แล้วจะมีความสุขอะไรให้พูดถึงกัน ม่อจิ่งฉีไม่เคยรักนางเลย แน่นอนว่านางเองก็ไม่เคยรักม่อจิ่งฉี ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจว่าความสุขที่เยี่ยหลีพูดถึงคืออะไร แต่เมื่อได้มองทั้งสองจับมือประสานแน่นอยู่ด้วยกันตรงหน้า ก็พลันให้ในใจนางกลับรู้สึกอิจฉาและโดดเดี่ยวยิ่งนัก
“พี่รอง บอกข้าที เจ้าเอาสิ่งใดไปแลกเปลี่ยนกับม่อจิ่งหลี” เยี่ยหลีเอ่ยถามเสียงเบา
เยี่ยเย่ว์ปิดปากเงียบไม่ยอมบอก เยี่ยหลีก็ไม่นึกโกรธ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่รอง ข้าไม่อยากทรมานเจ้าหรอกนะ ด้วยร่างกายของเจ้า เกรงว่าคงจะทนรับไม่ไหวกระมัง” เยี่ยเย่ว์เอ่ยเสียงเย็นว่า “ทนไหวกับทนไม่ไหวต่างกันตรงใดหรือ หรือว่าติ้งอ๋องจะไว้ชีวิตข้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่หรอก เพียงแต่…ดูเหมือนข้าจะจำได้ว่า คนที่ก่อนจะกลายเป็นศพในตอนนั้นบอกกับข้าเอาไว้ เด็กที่ถูกไฟครอกตายในครั้งนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่องค์ชายห้า ใช่หรือไม่”
ในที่สุดใบหน้าของเยี่ยเย่ว์พลันดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที “ม่อซิวเหยาเจ้ากล้าหรือ!”
“ในใต้หล้านี้มีเรื่องใดที่ข้าไม่กล้าบ้าง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม “เจ้าฉลาดมากที่ไม่ได้พาลูกมาที่เมืองหลีด้วย เด็กคนนั้นมีส่วนคล้ายม่อจิ่งฉีอยู่หลายส่วนใช่หรือไม่ เพียงแต่เจ้ายังฉลาดไม่พอ ตรงที่เจ้าไม่ควรพาเขามาที่ซีเป่ยด้วย”
เยี่ยเย่ว์หน้าถอดสี กัดฟันพูดว่า “ข้าจะบอก…ในตอนนั้นฝ่าบาทวางยาชนิดหนึ่งใส่ม่อจิ่งหลี ข้ามียาถอนพิษ…”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “ยาถอนพิษหรือ ไม่ใช่ว่าไม่มียาถอนพิษหรอกหรือ” ตอนนั้นเขาเองก็ให้เสิ่นหยางศึกษายาตัวนั้นแล้ว เสิ่นหยางเหลือบมองทีหนึ่งก็โยนทิ้งทันที บอกเพียงว่าไม่มียาที่สามารถถอนพิษได้