ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 337-1 ม่อจิ่งหลีเสียเลือดมาก
ภายในห้องโถงใหญ่จวนเยี่ย ม่อจิ่งหลีนั่งจิบชาด้วยสีหน้าบึ้งตึง มีเพียงมือที่กำแน่นอยู่ด้วยกันเท่านั้น ที่ทำให้มองออกว่าใจเขาในเวลานี้ร้อนรุ่มและโกรธเกรี้ยวเพียงใด หลังจากใคร่ครวญมาทั้งคืน อย่างไรเขาก็ยังวางใจไม่ลง เดิมทีคิดอยากมาที่จวนเยี่ยเพื่อมาลองดูว่าจะสามารถนำของที่สำคัญที่สุดในมือเยี่ยเย่ว์ไปก่อนได้หรือไม่ จากนั้นค่อยส่งตัวนางออกจากเมือง แต่คิดไม่ถึงว่าเขายังมาช้าไปก้าวหนึ่ง ปล่อยให้ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีชิงมาถึงไปก่อนเสียได้ ไม่ว่ายามอยู่ที่เจียงหนาน ม่อจิ่งหลีจะมีอำนาจล้นมือเพียงใด แต่เมื่ออยู่ในเขตแดนของเมืองหลีนี้เขายังคงต้องรอมชอมให้ม่อซิวเหยามากพอดู ดังเช่นประโยคที่กล่าวกันไว้ว่า มังกรผู้แข็งแกร่งหรือจะสู้งูดินเจ้าถิ่นได้ ในเขตแดนส่วนซีเป่ยนี้ ต่อให้มีอำนาจล้นพ้นเพียงใด เป็นเสือก็ยังต้องหมอบ เป็นมังกรก็ยังต้องขด
ม่อจิ่งหลีกวาดตามององครักษ์ในชุดดำที่ยืนประสานมืออยู่หน้าประตูด้วยความนอบน้อม สีหน้าก็พลันนิ่งขรึมลงไป ในที่สุดเขาก็ข่มความร้อนรนในใจเอาไว้
“เช้าตรู่เพียงนี้ หลีอ๋องมาที่จวนเยี่ยได้อย่างไรหรือ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเจือแววเกียจคร้านของม่อซิวเหยาดังมาจากหน้าประตู หางตาม่อจิ่งหลีกระตุกขึ้น พอเงยหน้าก็มองเห็นเงาคนคู่หนึ่งที่เดินจับมือกันเข้ามา สายตาเขามองไปยังสองมือที่จับประสานกันอยู่ สีหน้าม่อจิ่งหลีจึงยิ่งดูย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก เขามองไปยังม่อซิวเหยา ปากยิ้มตาไม่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ติ้งอ๋องกับพระชายาติ้งอ๋องไม่ได้มาเช้ากว่าข้าอีกหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีให้เดินไปนั่งลงบนตำแหน่งประธาน เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้น่ะหรือ…เมื่อวานมีคนมารายงานว่าพบเห็นคนหนีความผิดที่ตำหนักติ้งอ๋องล่าตัวอยู่หลายปีที่จวนเยี่ย ข้ากับอาหลีจึงนึกเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคนในจวน ถึงได้มาดูกันแต่เข้า หรือว่าหลีอ๋องเองก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน” ม่อจิ่งหลีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ติ้งอ๋องล้อเล่นแล้ว ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องนี้เลย” ในใจม่อจิ่งหลีนึกยิ้มเย็น เขามีหรือจะไม่รู้จักม่อซิวเหยาดี เกรงว่าต่อให้ตระกูลเยี่ยตายลงต่อหน้าเขา ก็ไม่แน่ว่าเขาจะกะพริบตาด้วยซ้ำ พูดจาเพ้อเจ้อเช่นนี้ออกมาได้ ตั้งใจกวนอารมณ์เขาชัดๆ
“หลีอ๋องยังไม่บอกข้าเลย ว่าหลีอ๋องมาที่นี่แต่เช้าเช่นนี้เพราะเหตุใด” ม่อซิวเหยาถามเขาอย่างอารมณ์ดี ม่อจิ่งหลีตอบเสียงเย็นว่า “ข้ามาที่จวนเยี่ยไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ม่อซิวเหยายักไหล่ “หลีอ๋องก็เป็นบุตรเขยของตระกูลเยี่ยเช่นกัน ย่อมมาได้อยู่แล้ว ช่างเถิด หลีอ๋องเป็นผู้มาเท่ากับเป็นแขก หากข้าซักไซ้ต่อไป คนนอกจะคิดได้ว่าตำหนักติ้งอ๋องไม่รู้จักกาละเทศะในการต้อนรับแขก เช่นนั้นหลีอ๋องก็เชิญนั่งตามสบายเถิด ข้าเพิ่งได้ของที่น่าสนใจอย่างหนึ่งจากในจวนไป กำลังคิดจะกลับไปศึกษาอยู่พอดี”
นัยน์ตาม่อจิ่งหลีมีประกายประหลาด เดิมทีเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเยี่ยเย่ว์จะทนรับมือม่อซิวเหยาและไม่คายความลับออกมาได้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาได้ยินม่อซิวเหยาพูดเช่นนี้กับปาก กลับยังอดนึกโกรธเกลียดอยู่ในใจไม่ได้ หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เมื่อวานต่อให้ต้องกลัวว่าจะถูกม่อซิวเหยาจับได้แค่ไหน ก็ต้องจับตัวเยี่ยเย่ว์ผู้นั้นกลับไปที่โรงพักม้าก่อนให้ได้ สตรีตระกูลเยี่ย นอกจากเยี่ยหลีแล้ว ที่เหลือก็ล้วนแต่ไม่ได้ความ ทำประโยชน์อะไรไม่ได้เลยจริงๆ!
เมื่อพูดสิ่งเหล่านี้จบ ม่อซิวเหยาก็ไม่รีบร้อนอีก เอนหลังพิงเก้าอี้ จับผมเยี่ยหลีเล่นพลางรอดูปฏิกิริยาของม่อจิ่งหลีไปด้วย ถึงอย่างไรหมากก็อยู่ในมือเขาแล้ว จะเสนออะไรอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขา เช่นนี้แล้ว ดูท่าว่าเยี่ยเย่ว์คงให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เขาแล้วจริงๆ
ผ่านไปพักใหญ่ ม่อจิ่งหลีถึงได้หันมาจ้องม่อซิวเหยาพลางเอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าจะเอาอย่างไร”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ประหนึ่งไม่เข้าใจสิ่งที่ม่อจิ่งหลีต้องการจะเอ่ย “หลีอ๋องหมายความเช่นไรหรือ ขออภัยที่ข้าฟังไม่เข้าใจ” ความโกรธเกรี้ยวในแววตาของม่อจิ่งหลีเป็นประกายชัดเจน ถลึงตาดุใส่ม่อซิวเหยาพลางพูดว่า “ของที่เจ้าได้ไปจากเยี่ยเย่ว์นั้น จะต้องทำเช่นไรถึงจะยอมมอบมันให้ข้า!” เมื่อวานเขาได้ของจากเยี่ยเย่ว์ไปเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น หลังจากให้หมอดูแล้ว ก็ยืนยันว่าสิ่งนั้นเป็นยาถอนพิษเพียงตัวเดียวที่สามารถถอนยาพิษที่ม่อจิ่งฉีวางยาเขาในครั้งนั้นได้จริงๆ แต่ปริมาณของมันช่างเล็กน้อยจนแทบไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย
“เรื่องนี้น่ะหรือ…” ม่อซิวเหยามองท่าทางโกรธเกรี้ยวด้วยความร้อนรนประหนึ่งแมวถูกไฟลวกของม่อจิ่งหลีอย่างนึกสนุก อารมณ์พลันดีขึ้นในทันที เขาอารมณ์ดีจนถูไถศีรษะกับเส้นผมของเยี่ยหลี แล้วจึงเอ่ยถามเสียงอ่อนโยนว่า “อาหลี มีสิ่งใดที่อยากได้หรือไม่ รีบขอจากหลีอ๋องเร็วเข้า เจียงหนานที่หลีอ๋องปกครองอยู่ไม่ได้แร้นเค้นไปกว่าซีเป่ยของพวกเราเลย หรือว่าหลีอ๋องจะใจกว้างเช่นนั้น”
เยี่ยหลีมองท่าทางม่อจิ่งหลีที่ถูกม่อซิวเหยายั่วแหย่ด้วยความขบขัน ก็ไม่แปลกที่ม่อจิ่งหลีจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ว่าบุรุษคนใด หากถูกคนจับไพ่ตายเช่นนี้เอาไว้ได้ ก็เป็นต้องหัวร้อนเดือดดาลกันทุกคน แน่นอนว่าเยี่ยหลีย่อมไม่รู้ว่า ที่ม่อจิ่งหลีโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะเยี่ยหลีนั่งฟังพวกเขาสนทนากันอยู่ด้วย ถึงแม้ตนเองจะถูกม่อจิ่งฉีวางยา แต่ไม่ว่าบุรุษคนใดที่มีปัญหาในด้านนี้ ก็มักรู้สึกประดักประเดิดและไม่กล้าสบตาผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามอยู่ต่อหน้าสตรีที่เขาต้องการตัวมาตลอดเช่นนี้
ม่อจิ่งหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ หอบหายใจด้วยความโกรธ ดวงตาที่ถลึงมองม่อซิวเหยาแดงก่ำ หากไม่ใช่เพราะวรยุทธของพวกเขาต่างกันมากเกินไปแล้ว เยี่ยหลีเชื่อว่า ม่อจิ่งหลีจะต้องพุ่งเข้ามาฉีกทึ้งม่อซิวเหยาโดยไม่นึกลังเลอย่างแน่นอน
พอลองคิดดูอย่างจริงจังแล้ว เยี่ยหลีก็ส่ายหัวน้อยๆ “ดูเหมือนข้าจะไม่มีอันใดที่อยากได้” อยู่ๆ จะให้เยี่ยหลีมาคิดว่าต้องการสิ่งของที่มีคุณค่าอันใดจากม่อจิ่งหลีและเป็นสิ่งที่ม่อจิ่งหลียินยอมให้เช่นนี้ นางคิดไม่ออกจริงๆ ม่อซิวเหยาระบายยิ้มอบอุ่น “ในเมื่ออาหลีคิดไม่ออก เช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นคนคิดก็แล้วกัน” เยี่ยหลีหันมองเขาโดยไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เดิมทีเขาก็คิดจะแหย่ม่อจิ่งหลีเล่นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
ม่อซิวเหยาจับคาง ใคร่ครวญด้วยความจริงจังอยู่พักหนึ่งแล้วถึงเอ่ยว่า “ในเมื่อหลีอ๋องใจกว้างเพียงนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว ชุดคลุมไหมหิมะ ฉินหงส์หยกขาว ตราประทับลายเก้ามังกร กับดาบเพลิงอัคคีจักรพรรดิไท่หวัง แล้วก็ หลานชายกับหลานสาวของเจ้าเพิ่งอายุครบหนึ่งขวบไปได้ไม่นาน หลีอ๋องยังไม่ทันได้ให้ของขวัญเลย ข้าจำได้ว่ามีร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งที่ชื่อเฉินเซียงฝาง กิจการถือว่าไม่เลวทีเดียว น่าจะได้กระมัง แล้วก็…”
“ม่อ ซิว เหยา!” ดวงตาม่อจิ่งหลีแทบจะมีเลือดพุ่งออกมา สายตาที่จ้องม่อซิวเหยาไม่สามารถใช่คำว่าเจ็บแค้นมาอธิบายได้แล้ว ไม่ใช่ว่าม่อจิ่งหลีจิตใจคับแคบ นึกเสียดายไม่อยากให้ แต่เป็นม่อซิวเหยาที่ร้องขอมากเกินไปจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงร้านเฉินเซียงฝางที่เขาเรียกว่าเป็นร้านเล็กๆ ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของม่อจิ่งหลีที่ทำเงินได้มากที่สุดเลย แค่ของสี่อย่างที่เขาพูดว่าก็เป็นเพียงของสี่ชิ้นเท่านั้น แต่มูลค่าของของสี่สิงนี้ต่อให้เอาของในท้องพระคลังของราชวงศ์ต้าฉู่ขายไปจนสิ้น ก็ไม่แน่ว่าจะเทียบเคียงได้
ชุดคลุมไหมหิมะ ถักทอขึ้นจากหนอนไหมหิมะบนยอดเขา ว่ากันว่าหนอนไหมหิมะมีจำนวนน้อยมากหนำซ้ำแต่ละปียังคายเส้นไหมออกมาเพียงเล็กน้อย แค่เก็บรวบรวมมาทอเป็นเสื้อผ้าหนึ่งชุดก็จำเป็นต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีแล้ว ชุดคลุมไหมหิมะเป็นผ้าที่ใส่แล้วจะอุ่นในฤดูหนาว เย็นสบายในฤดูร้อน น้ำไฟหรือความคมจากมีดและหอกไม่อาจทะลุผ่านเนื้อผ้าได้ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเป็นชุดป้องกันตัวอันเลอค่าแห่งใต้หล้านี้ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการถักไหมหิมะนี้ไม่ได้ถูกสืบทอดต่อและได้หายสาบสูญไปแล้ว ที่พระราชวังต้าฉู่เก็บสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ถือว่าเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของโลก หากไม่ได้เก็บอยู่ในวังหลวงของต้าฉู่มาโดยตลอด เกรงว่าอาจก่อให้เกิดการนองเลือดไปทั้งใต้หล้าแล้วก็เป็นได้ ส่วนของที่เหลืออีกสามอย่างก็ไม่ต่างกับชุดคลุมไหมหิมะ ว่ากันว่าดาบเพลิงอัคคีจักรพรรดิเป็นดาบที่บันทึกถึงจักรพรรดิไท่หวังด้วยลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ ไม่ต้องนึกเลยว่าดาบเล่มนี้ผ่านอะไรมามากน้อยเพียงใด แต่มันยังเป็นถึงสัญลักษณ์ขององค์ฮ่องเต้เลยทีเดียว
ม่อซิวเหยาแค่เปิดปากก็ต้องการของทั้งสี่สิ่งนี้แล้ว เรียกได้ว่าขุดท้องพระคลังของต้าฉู่กว่าครึ่งไปในทีเดียวเลยก็ว่าได้ ซึ่งนี่ทำให้ม่อจิ่งหลีปวดใจเพียงใด เขาแทบจะใจสลายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากของสี่สิ่งนี้แล้วเขายังกล้าพูดว่า แล้วก็ ต่ออีก!
พอเห็นท่าทางเดือดดาลของม่อจิ่งหลี ม่อซิวเหยาก็ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมา เอ่ยต่อเรียบๆ ว่า “แล้วก็ ทางตอนเหนือ โดยเฉพาะที่ฉู่จิง หลีอ๋องยังเก็บของที่ไม่ควรเก็บเอาไว้อีก หลีอ๋องเห็นว่าจะเอากลับไปเองดี หรือจะมอบมันให้ข้าดีหรือ” ดวงตาม่อจิ่งหลีหรี่เล็กลง เขาย่อมรู้ดีว่าพูดถึงอะไร ถึงแม้ราชสำนักต้าฉู่จะย้ายถิ่นฐานลงใต้แล้ว แต่ไม่ว่าจะในฉู่จิงหรือซีเป่ย ม่อจิ่งหลียังคงแฝงสายสอดแนมเอาไว้ไม่น้อย ส่วนความหมายของม่อซิวเหยาก็คือ ต้องการให้เขาถอนคนเหล่านี้ออกไปทั้งหมด!