ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 338-2 จุดประสงค์ของพระชายาเห่อหลัน
ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีแน่นอนว่าย่อมไม่ต้องต่อแถว ต่อให้พวกเขายินดีที่จะต่อแถว แต่แขกที่อยู่ข้างหน้าก็คงให้เขาก่อนในทันทีอยู่ดี ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถูกต้องแล้ว อาหลีก็ชอบมากเช่นกัน หากพระชายาชื่นชอบก็เชิญชิมได้ตามสบาย”
พระชายาเห่อหลันก็ไม่เกรงใจ ยิ้มกว้างพลางพูดว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องมากแล้ว ติ้งอ๋องเป็นคนดีจริงๆ เสียด้วย”
ผู้ที่นั่งอยู่ต่างอดมุมปากกระตุกขึ้นมาไม่ได้ หากติ้งอ๋องเป็นคนดี…ในใต้หล้านี้จะยังมีคนไม่ดีอยู่สักกี่คนกัน พระชายาเห่อหลันประหนึ่งไม่สังเกตเห็นถึงสายตาของผู้อื่น หยิบขนมขึ้นมากินด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข และแน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะแบ่งขนมครึ่งหนึ่งให้กับผู้เป็นเจ้าของขนมกล่องนี้ด้วย
“แค่ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ปี เมืองหลีก็รุ่งเรืองถึงเพียงนี้แล้ว ติ้งอ๋องกับพระชายาช่างปกครองได้ดีจริงๆ” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยเสียงขรึม งานอายุครบขวบปีของม่อตัวน้อยในครั้งนั้น เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ได้มาร่วมงานด้วย แน่นอนว่าย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองหลีในช่วงหลายปีนี้อย่างชัดเจน เมืองหลีในยามนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในใต้หน้าแล้วก็ว่าได้ เป่ยหรงยากจนข้นแค้น คนเป่ยหรงล้วนอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าริมแม่น้ำ แม้จะมีตัวเมืองอยู่บ้างแต่ขนาดก็ไม่ใหญ่นัก เมืองเป่ยหรงอ๋องที่รุ่งเรืองที่สุดของเป่ยหรงก็ไม่แน่ว่าจะสู้เมืองรองของจงหยวนได้ ดังนั้นความเจริญรุ่งเรืองของจงหยวนจึงทำให้คนเป่ยหรงเกิดความอิจฉาริษยาเหลือประมาณ ถึงแม้ทุกวันนี้เป่ยหรงจะมีเมืองของต้าฉู่ที่บุกยึดมาได้อยู่ในมือ แต่กระนั้นคนเป่ยหรงที่ทำการทำศึกได้องอาจห้าวหาญไม่มีผู้ใดเทียม เรื่องการปกครองบ้านเมืองกลับอาศัยเพียงความสามารถในการทำศึกไม่ได้ เมืองที่แต่เดิมก็ถือว่าไม่เลวนัก พอไปอยู่ในมือเยียหลี่ว์เหยี่ยก็กลับถดถอยลง และค่อยๆ เสื่อมถอยไปราวกับพระอาทิตย์ตกดิน
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์ชายเจ็ดกล่าวชมผิดไปแล้ว หากเทียบกับต้าฉู่หรือเจียงหนาน ซีเป่ยยังถือว่าข้นแค้นอยู่มาก ข้าก็เพียงทำสุดความสามารถเท่านั้น”
บุรุษทั้งสองต่างไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำถ่อมตนของเขา ม่อจิ่งหลีตั้งมั่นอยู่ที่เจียงหนาน ต่อให้มั่งคั่งรุ่งเรืองเพียงใด แต่ของที่ตกอยู่ในภาวะอันตรายอย่างไรก็ไม่อาจถือว่ามีอยู่ได้ ไม่เหมือนกับม่อซิวเหยา อย่างน้อยในชั่วระยะเวลาอันสั้น ก็ไม่มีใครกล้าแย่งของที่อยู่ในมือเขาไป ถึงแม้หลายวันนี้ชนชั้นสูงและผู้มีอิทธิพลจากแต่ละแคว้นจะไม่ค่อยไปหามาสู่กันเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายและเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าบ้าน แต่ต่างฝ่ายต่างก็มีแหล่งข่าวเป็นของตนเอง อย่างน้อยๆ ในตอนนี้ซีหลิงที่ถึงแม้จะสูญเสียพื้นที่ขนาดใหญ่ไป แต่ก็ยึดพื้นที่จากต้าฉู่กลับมาชดเชยได้บางส่วนและยังคงแข็งแกร่งห้าวหาญ แต่กระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยั่วยุม่อซิวเหยาในตอนนี้ เหลยเจิ้นถิงเบนเป้าหมายไปยังม่อจิ่งหลีที่ยึดครองเจียงหนานอยู่แทน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากพวกเขาคิดจะวัดกำลังกับม่อซิวเหยาก็ยิ่งต้องไตร่ตรองให้ดี ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะรบชนะได้หรือไม่ แต่หากกลายเป็นไปสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น เช่นนั้นก็คงจะได้ไม่คุ้มเสีย
ส่วนเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ยังไม่คิดจะเปิดศึกกับม่อซิวเหยาในตอนนี้ ในแคว้นเป่ยหรงเองมีข่าวคราวความเคลื่อนไหวของพี่ชายรัชทายาทของเขาออกมาเป็นระยะๆ กอปรกับช่วงนี้การศึกกับกองทัพตระกูลม่อก็กำลังอยู่ในช่วงตึงเครียด ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ในหัวเขาก่อนหน้านี้ที่ถูกชัยชนะกล่อมจนมึนงงไปหมด ได้มีสติชัดเจน เข้าใจอะไรกระจ่างแจ้งขึ้นเล็กน้อย หากภายในแคว้นถูกพี่ชายรัชทายาทของเขาครองอำนาจไปได้แล้ว การที่เขาอยู่แนวหน้าแล้วรบชนะม่อซิวเหยาได้ครั้งหรือสองครั้งนั้นก็หาได้มีประโยชน์อันใดไม่ นอกเสียจากว่าเขาสามารถกำจัดกองทัพตระกูลม่อจนสิ้นซากได้ มิเช่นนั้นแล้วก็มีแต่จะเสียกำลังของตนเองไปโดยเปล่าประโยชน์ ยิ่งเมื่อคิดถึงความปรองดองของเยียหลี่ว์หงกับตำหนักติ้งอ๋องที่ดีกว่าตนอยู่มากแล้ว ในใจเยียหลี่ว์เหยี่ยก็พลันสั่นไหว สายตาที่มองม่อซิวเหยาจึงดูกระจ่างแจ้งและล้ำลึกขึ้นหลายส่วน “ติ้งอ๋อง ข้ามีเรื่องอยากเจรจากับติ้งอ๋องสักหน่อย ท่านคิดเห็นเช่นไร”
“เจรจาหรือ” ม่อซิวเหยาประหนึ่งได้ยินเรื่องน่าขัน “องค์ชายเจ็ด ทัพใหญ่หลายแสนนายของท่านยังจับจ้องตาเป็นมันอยู่ที่ชายแดนอยู่เลย ท่านบอกว่าจะเจรจากับข้าอย่างนั้นหรือ”
เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างไม่ถือสาว่า “พวกเจ้าจงหยวนมีคำพูดประโยคหนึ่งที่ว่า ไม่มีมิตรแท้ที่จีรัง ผลประโยชน์เท่านั้นถึงยั่งยืน เช่นเดียวกัน ก็ไม่มีศัตรูที่ถาวรเช่นกันมิใช่หรือ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “ก็ฟังดูมีเหตุผล องค์ชายเจ็ดเชิญพูดมาได้เลย” เหรินฉีหนิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามพอเห็นว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยถึงขั้นบอกว่าต้องการเจรจรกับม่อซิวเหยาต่อหน้าตน สีหน้าพลันย่ำแย่ขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรเป่ยจิ้งกับเป่ยหรงต่างหากที่เป็นพันธมิตรกัน แน่นอนว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ย่อมไม่ต้องการทำให้เหรินฉีหนิงไม่พอใจ จึงอมยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงเรื่องนี้ล้วนมีข้อดีสำหรับทุกท่าน ไม่รู้ว่าเป่ยจิ้งอ๋องสนใจหรือไม่”
เหรินฉีหนิงเอ่ยเรียบๆ ว่า “รับฟังด้วยความเคารพ”
ที่ข้างกายเขา พระชายาเห่อหลันขมวดคิ้วเอ่ยว่า “บุรุษอย่างพวกท่านนี่อย่างไรกันนะ ไม่ได้บอกว่าออกมาเที่ยวเล่นหรอกหรือ พอมานั่งอยู่ด้วยกันก็เอ่ยเรื่องน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ขึ้นมาอีกแล้ว ข้าไม่อยากฟังพวกท่านคุยเรื่องไร้สาระพวกนี้กันหรอกนะ” ได้ยินอย่างนั้น เหรินฉีหนิงก็ขมวดคิ้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ถ้าเช่นนั้น พระชายาก็เชิญกลับโรงพักม้าไปก่อนเถิด”
“กลับอันใดกัน ข้ายังเที่ยวเล่นไม่หนำใจเลย” พระชายาเห่อหลันเอ่ยขัดเขาอย่างไม่เกรงใจสักนิด และทำให้สีหน้าเหรินฉีหนิงย่ำแย่ลงได้สำเร็จ เยี่ยหลีลุกยืนพลางยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น พระชายาเห่อหลันออกไปเดินเล่นกับข้าดีหรือไม่ ข้าจะได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีด้วย” ดวงตาของพระชายาเห่อหลันพลันเป็นประกาย เข้าไปจับแขนเยี่ยหลีด้วยความยินดี “พระชายาจะพาข้าไปเดินเล่นที่ไหนหรือ ในเมืองหลีมีคนอยู่มากมาย มีสิ่งของที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ข้าอยากซื้อกลับไปสักหน่อย” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ไว้คราวพระชายาจะกลับ ท่านชอบสิ่งใด ข้าจะให้คนนำไปให้ท่านดีหรือไม่”
“พระชายาติ้งอ๋องท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ พวกเรารีบไปกันเถิด! พูดจบก็ไม่สนใจปฏิกิริยาของคนอื่นๆ อีก จูงเยี่ยหลีลงไปข้างล่างด้วยความตื่นเต้นทันที เยี่ยหลีหันไปโบกมือให้ม่อซิวเหยาเป็นสัญญาณว่าไม่เป็นไร แล้วจึงตามพระชายาเห่อหลันเดินลงไป ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองดูจากหน้าต่างจนเห็นว่าองครักษ์ที่อยู่ด้านล่างโรงน้ำชาติดตามพวกนางไปแล้วถึงได้นั่งลงด้วยความวางใจ
“ความรักลึกซึ้งที่ท่านอ๋องมีต่อรพะชายาช่างน่าอิจฉายิ่งนัก” หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องหน้าม่อซิวเหยา พูดขึ้นพลางกัดฟันกรอด เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยายังคงหล่อเหลาในเส้นผมสีขาวและมีสง่าราศีอย่างยิ่งยวด ในใจหลิ่วกุ้ยเฟยก็โกรธเกลียดเจ็บปวดรวดร้าวราวกับมีงูพิษเข้ามาฉกกัด ม่อซิวเหยาอายุมากกว่านางอยู่ปีหรือสองปี หากเมื่อสองปีก่อนทั้งสองยังดูอายุต่างกันไม่มากแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยในยามนี้หากดึงผ้าปิดหน้าออก ถึงแม้ความงดงามยังคงมีอยู่ แต่หากว่าด้วยเรื่องอายุแล้ว คงจะดูมากกว่าม่อซิวเหยาอยู่หลายปีทีเดียว
ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งไม่ได้ยิน ก้มหน้าลงจิบชาก่อนเอ่ยกับเยียหลี่ว์เหยี่ยว่า “ต้องการเจรจาสิ่งใด องค์ชายเยียหลี่ว์เชิญกล่าวมาได้เลย”
สตรีที่ถูกเมินเฉย ใบหน้างดงามที่อยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้าพลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวและดุดัน
ร้านขายเครื่องประดับชื่อร้านเฟิงหวาในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากโรงน้ำชาไปไม่ไกล ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองที่เงียบสงบ เยี่ยหลีกับพระชายาเห่อหลันนั่งอยู่ตรงข้ามกัน เยี่ยหลีชิมชาใหม่ที่หลงจู๊เพิ่งนำเข้ามาให้ด้วยท่าทีสบายๆ พลางอมยิ้มมองพระชายาเห่อหลันหยิบเครื่องประดับหลากหลายประเภทบนโต๊ะขึ้นมาดูเล่นด้วยความสนใจ พักใหญ่ เยี่ยหลีถึงได้เอ่ยถามขึ้นเบาๆ ว่า “พระชายาเห่อหลันมีสิ่งใดที่ต้องการพูดกับข้าหรือไม่”
ได้ยินอย่างนั้น พระชายาเห่อหลันถึงได้วางเครื่องประดับในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มด้วยความใคร่รู้ที่เดิมทีประดับอยู่บนใบหน้าค่อยๆ มลายหายไป สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความแหลมคมและเยือกเย็นของสตรีเป่ยจิ้ง และความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างที่น้อยนักจะพบเห็นในสตรีจงหยวน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้สตรีสาวที่เดิมทีดูเย่อหยิ่งจองหอง พลันมีสง่าราศีมากขึ้นหลายส่วน พระชายาเห่อหลันยิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าคงปิดพระชายาติ้งอ๋องไม่ได้”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงท่านก็แสดงท่าทีเป็นมิตรต่อข้า หากข้ามองไม่ออกจะไม่ทำให้พระชายาผิดหวังหรอกหรือ เพียงแต่ไม่รู้ว่าพระชายามีเรื่องอันใดที่จำต้องหลบเป่ยจิ้งอ๋องออกมาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวเช่นนี้” พระชายาเห่อหลันมองลึกเข้าไปในแววตาของเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าต้องการร่วมมือกับตำหนักติ้งอ๋อง ไม่สิ ควรจะกล่าวว่า…คนของเป่ยจิ้งเราต้องการร่วมมือกับตำหนักติ้งอ๋อง”