ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 338-3 จุดประสงค์ของพระชายาเห่อหลัน
“คนเป่ยจิ้งหรือ” เยี่ยหลีพลันอึ้งไป “มิใช่แคว้นเป่ยจิ้งหรือ” ในเขตแดนของเป่ยจิ้งยามนี้มีคนอยู่สองประเภท คือคนที่มีรากเหง้าเป็นคนเป่ยจิ้ง กับคนจงหยวนที่อพยพไปตั้งรกรากที่เป่ยจิ้งเมื่อสมัยราชวงศ์ก่อน ส่วนประชาชนอพยพเหล่านี้ก็คือคนต้าฉู่ที่เข้าเป็นฝ่ายเดียวกับเหรินฉีหนิงหรือไม่ก็ถูกเหรินฉีหนิงสมัครเป็นพรรคพวกด้วยในช่วงหลายปีนี้นั่นเอง คนที่เหรินฉีหนิงไว้วางใจโดยมากก็ยังคงเป็นคนจงหยวน เขาคิดอยากฟื้นคืนอำนาจการปกครองของราชวงศ์ก่อน ในตอนหลังจึงยิ่งต้องกดอำนาจของคนเป่ยจิ้งเอาไว้ เมื่อถึงตอนท้ายอาจถึงขั้นต้องกำจัดคนเป่ยจิ้งออกไป มิเช่นนั้นแล้ว การรวมอำนาจปกครองโดยคนจงหยวนก็อาจเป็นเพียงคำพูดแต่ปฏิบัติจริงไม่ได้ และหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากปัญญาชนชาวจงหยวน นอกเสียจากว่าเขาจะยินยอมใช้ชื่อเป่ยจิ้งเป็นชื่อแคว้นเสียตั้งแต่บัดนี้ ใช้ฐานะอย่างคนต่างชาติพันธุ์ในการปกครองดินแดนจงหยวน แต่หากทำเช่นนั้น การต่อต้านที่เคยมีคงไม่เพียงเพิ่มขึ้นหลายเท่าหรืออาจถึงขั้นหลายร้อยเท่า แต่แม้แต่คนจงหยวนที่เคยภักดีต่อเขาก็อาจแปรพักตร์ด้วยเช่นกัน ตั้งแต่แรกเริ่ม คนสองชาติพันธุ์นี้ก็มีความขัดแย้งที่ไม่อาจประนีประนอมได้อยู่แล้ว ดังนั้นท่านชิงอวิ๋นจึงได้พูดกับเหรินฉีหนิงว่า เขาผิดพลาดมาตั้งแต่เริ่มต้น
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหลีก็เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “พระชายาเห่อหลันสามารถตัดสินใจเรื่องเช่นนี้ได้หรือ”
พระชายาเห่อหลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วก็ย่อมตัดสินใจได้ เป่ยจิ้งของพวกเราหาได้เหมือนจงหยวนที่เก็บสตรีไว้แต่เพียงในเรือนไม่ เรื่องที่บุรุษทำได้ พวกเราก็สามารถทำได้เช่นกัน ตระกูลของพวกเรามีทายาทน้อยคนมาโดยตลอด ข้าเองก็ไม่มีพี่น้อง เมื่อบิดาข้าเสียชีวิตลงแล้ว ก็เป็นข้าที่จะขึ้นมารับตำแหน่งของชนเผ่าแทน หนำซ้ำหลังจากพี่สาวลูกพี่ลูกน้องข้าเสียชีวิตลง ตามกฎแล้วชนเผ่าของพวกนางก็ต้องมีข้าหรือบุตรของข้าไปรับช่วงต่อ แต่คนจงหยวนข้างกายเหรินฉีหนิงที่น่ารังเกียจเหล่านั้นกลับยึดอำนาจของคนเป่ยจิ้งอย่างพวกเราไป พวกเราเพียงต้องการนำสิ่งที่เป็นของพวกเรากลับคืนมาเท่านั้น”
เยี่ยหลีเคยคิดว่าจะสอดมือเข้าไปทำบางอย่างผ่านพระชายาเห่อหลัน แต่คิดไม่ถึงว่าพระชายาเห่อหลันที่อายุยังน้อยผู้นี้จะเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเยี่ยงนี้ นางจึงรู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย ทว่านางเป็นคนสงบนิ่งมาแต่ไหนแต่ไร พระชายาเห่อหลันจึงย่อมมองความคิดในจิตใจนางยามนี้ไม่ออก เยี่ยหลีมองนางพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าพระชายาเป่ยจิ้งอ๋ององค์ก่อนก็เป็นหญิงงามเช่นกัน น่าเสียดายที่ไม่มีวาสนาได้พบหน้า”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ พระชายาเห่อหลันพลันตาแดงขึ้นทันที กัดฟันเอ่ยด้วยความโกรธเกลียดว่า “หากไม่ใช่เพราะเหรินฉีหนิง พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของข้าจะยอมให้ตนเองเสียเปรียบเช่นนั้นได้อย่างไร พี่สาวของข้ายอมทิ้งตำแหน่งหัวหน้าเผ่าก็เพราะเขา แต่เขากลับคอยขัดขวางพี่สาวข้าทุกทาง ปล่อยให้สตรีเหล่านั้นทำให้นางโกรธ ทั้งยังหาโอกาสสังหารคนที่พี่สาวข้าไว้วางใจ เดิมทีหากไม่ใช่เพราะพี่สาวข้าช่วยเหลือเขาไว้ เจ้าคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคานั่นจะมีเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร”
เมื่อเห็นท่าทางเดือดดาลของพระชายาเห่อหลัน เยี่ยหลีก็นึกทอดถอนใจ ด้วยวรยุทธและอิทธิพลของเหรินฉีหนิง จะบังเอิญพบเจอกับอันตรายในสถานที่อย่างเป่ยจิ้งได้อย่างไร เกรงว่าเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นในคราแรกคงจะเป็นแผนการของเขาแต่แรกแล้ว ทว่าเพื่อสิ่งที่เขาเรียกว่าการใหญ่แล้ว เหรินฉีหนิงกลับยอมที่จะสละเงินทุนในส่วนนี้ “พระชายา ข้าว่าท่านน่าจะรู้ การตายของพี่สาวท่าน…” เดิมทีเรื่องนี้ก็มิใช่ความลับอะไร แต่เยี่ยหลีคิดว่าพูดกันให้ชัดเจนแต่แรกเลยจะดีกว่า นางไม่อยากให้พอร่วมมือกันไปครึ่งทางแล้วมีคนสามารถเสียบมีดเข้าแทงกลางคันได้
พระชายาเห่อหลันเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ข้ารู้ พ่อข้าบอกไว้แล้ว ความโกรธแค้นบางอย่างสามารถทิ้งไว้ข้างๆ ก่อนได้ คนเป่ยจิ้งอย่างพวกเราเป็นคนที่ถือสัจจะมาโดยตลอด ขอเพียงพระชายาช่วยเหลือพวกเราขับไล่เหรินฉีหนิงออกไป พวกเราจะไม่มีทางเป็นศัตรูกับตำหนักติ้งอ๋อง “เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หากเป็นเช่นนั้น จะมีผลดีเช่นไรต่อข้า”
พระชายาเห่อหลันเอ่ยว่า “ทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งทั้งหมดจะถอนทัพออกจากเขตแดนที่เดิมเป็นของต้าฉู่ จงหยวนของพวกเจ้าถึงแม้จะดี แต่ภูเขาแห้งแล้งกับแม่น้ำขุ่นๆ ของพวกเราเป่ยจิ้งก็ไม่ได้แย่ พวกเราเพียงต้องการใช้ชีวิตของพวกเราเท่านั้น” ไม่ใช่ว่าคนเป่ยจิ้งไม่มีใจทะเยอทะยาน แต่ความเจริญของคนเป่ยจิ้งยังไม่เพียงพอให้ทะเยอะทะยานได้ ก่อนที่เหรินฉีหนิงจะไปปรากฏตัวที่เป่ยจิ้ง คนเป่ยจิ้งล้วนกระจายกันอยู่ตามชนเผ่า คนเป่ยจิ้งเองมีชีวิตอยู่ด้วยการตกปลาล่าสัตว์ ไม่ต้องพูดถึงการเพาะปลูกอย่างคนจงหยวนเลย แม้แต่การเลี้ยงม้าเลี้ยงแพะอย่างคนเป่ยหรงก็ยังไม่มี ชาวบ้านที่อยู่ก็ย่อมมีชีวิตที่เรียบง่าย เหรินฉีหนิงนำความเปลี่ยนแปลงมามากเกินไป เพียงแต่ความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าล้มปฐพีนั้น ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงยี่สิบปี ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถยอมรับได้ จากในอดีตที่แต่ละชนเผ่าต่อสู้ฆ่าฟันกันบ้างเป็นครั้งคราว มาจนถึงทุกวันนี้ที่เปิดศึกสงครามอย่างมีรูปแบบกับต้าฉู่และกองทัพตระกูลม่อ คนที่เสียหายอย่างหนักหน่วงที่สุดก็คือคนเป่ยจิ้ง คนเป่ยจิ้งหาใช่คนโง่เขลาทั้งหมดไม่ พวกเขาแทบจะสามารถคาดการณ์ได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้วันหนึ่งเหรินฉีหนิงได้ปกครองใต้หล้าจริงๆ แต่คนเป่ยจิ้งก็น่ากลัวว่าจะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะขับไล่เหรินฉีหนิงและคนที่เขาไว้ใจออกไป แล้วดึงอำนาจที่เป็นของคนเป่ยจิ้งกลับมา บางทีในวันใดวันหนึ่งพวกเขาอาจได้เข้าร่วมสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนในใต้หล้ากับคนอื่นเขา แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอีกนานแสนนานหลังจากนี้ ซึ่งยังไม่ใช่ตอนนี้อย่างแน่นอน
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปนาน แล้วถึงได้พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้อเสนอของพระชายาเห่อหลันทำให้ข้าสนใจไม่น้อย หากพระชายาเห่อหลันต้องการร่วมมือด้วยใจจริง เช่นนั้นข้าก็คิดว่าเป็นไปได้”
เมื่อได้รับคำตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับทำให้พระชายาเห่อหลันอึ้งไปเล็กน้อย คนจงหยวนที่นางคุ้นชินมักชอบใคร่ครวญไปมาแล้วจึงค่อยตัดสินใจ คนที่ตัดสินใจรวดเร็วฉับไวเช่นเยี่ยหลีนี้หาได้น้อยนัก “พระชายาสามารถตัดสินใจได้หรือ” เยี่ยหลีระบายยิ้ม “หากข้าไม่สามารถตัดสินใจได้ ที่พระชายาให้ข้าออกมาพูดคุยด้วยเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียเวลาหรอกหรือ”
พระชายาเห่อหลันรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย “เดิมทีข้าเพียงอยากให้พระชายานำคำข้าไปบอกแก่ติ้งอ๋องเท่านี้ อีกอย่าง ข้าเองก็เคยได้ยินว่าพระชายานั้นเก่งกาจมาก ไม่แน่ว่าพระชายาติ้งอ๋องจะสามารถช่วยข้าพูดเกลี้ยกล่อมติ้งอ๋องได้ เพราะติ้งอ๋องอาจไม่เต็มใจร่วมมือกับข้า คนจงหยวนอย่างพวกท่านอย่างไรก็ไม่ชอบให้สตรียื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ”
เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าสามารถตัดสินใจได้จริงๆ เพียงแต่…อย่างไรเสียท่านก็ควรให้ข้าเห็นถึงความจริงใจของเป่ยจิ้งใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นข้าจะเชื่อใจพระชายาได้อย่างไร”
พระชายาเห่อหลันพยักหน้า หยิบกล่องกล่องหนึ่งออกมาวางตรงหน้าเยี่ยหลีด้วยท่าทีสุขุม “ข้างในนี้มีของศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษเป่ยจิ้ง หากมีของสิ่งนี้อยู่สามารถให้คนเป่ยจิ้งทั้งยี่สิบหกชนเผ่าช่วยท่านทำเรื่องอะไรก็ได้หนึ่งเรื่อง ขอเพียงท่านเอ่ยออกมา คนเป่ยจิ้งทั้งหมดจะกรูกันเข้ามาช่วยท่านทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน สิ่งนี้เป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของพวกเราชาวเป่ยจิ้ง ข้าขอมอบให้พระชายารักษาไว้ชั่วคราว”
เยี่ยหลีเปิดออกดู ด้านในกล่องปูด้วยแผ่นหนังสีน้ำตาลที่มีลวดลาย มองดูคล้ายเป็นหนังเสือ ด้านบนแผ่นหนังมีมีดสั้นวางอยู่เล่มหนึ่ง มองดูแล้วทำขึ้นอย่างหยาบๆ ร่องรายที่สลักอยู่ด้านบนล้วนเลือนรางและมนกลมไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าผ่านช่วงเวลามาไม่น้อย วัสดุของมีดสั้นเล่มนั้นจะเป็นเหล็กก็ไม่ใช่จะเป็นทองแดงก็ไม่เชิง และก็ไม่เหมือนมีดหยกที่เอาไว้จับเล่น แต่ดูเหมือนจะทำขึ้นจากก้อนหินเสียมากกว่า ถึงแม้เยี่ยหลีจะไม่ได้เชื่อในสัญญาของของดูต่างหน้านัก แต่นางก็รู้ดีว่ายังมีบางชนเผ่าที่เชื่อในของศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
“พระชายาไม่กลัวว่าข้าจะไม่คืนให้หรือ”
พระชายาเห่อหลันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากเป็นเช่นนั้น เป่ยจิ้งจะทุ่มกำลังคนทั้งหมดเพื่อให้ได้ของศักดิ์สิทธิ์นี้คืนมา เพียงแต่ข้าเชื่อว่าพระชายาติ้งอ๋องและติ้งอ๋องไม่ใช่คนเช่นนั้น”
เยี่ยหลีเก็บกล่องนั้นมา พยักหน้าแล้วพูดว่า “อย่างช้าไม่เกินพรุ่งนี้ ข้ากับท่านอ๋องจะต้องให้คำตอบแก่พระชายาแน่นอน”
พระชายาเห่อหลันถึงได้ระบายยิ้มออกมา พยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณพระชายามาก”