ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 339-3 แผนการของติ้งอ๋อง
สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว “เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขระหว่างท่านกับเยียหลี่ว์หงหรือ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “เรื่องเช่นนี้ทุกคนรู้กันอยู่ในใจก็พอ การเอ่ยขึ้นมาหาใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์ไม่”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “เช่นนั้นเป่ยจิ้งเล่า พระชายาเห่อหลันจะเล่นงานเหรินฉีหนิง มีความมั่นใจหรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มน้อยเอ่ยว่า “เพียงดูจากจนทุกวันนี้ที่เหรินฉีหนิงยังคงมองจุดประสงค์ที่แท้จริงของพระชายาเห่อหลันไม่ออก ข้าก็เห็นว่าน่าลองเสี่ยงดูสักตั้ง” ถึงอย่างไรหากแพ้ก็ไม่มีอะไรเสียหาย สวีชิงเฉินพยักหน้า ใคร่ครวญพลางเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขวางเยียหลี่ว์เหยี่ยไม่ให้ร่วมมือกับเหรินฉีหนิงได้แล้ว” ก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวก็เพียงเพื่อโจมตีต้าฉู่เท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่บุกยึดฉู่จิงได้ ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องแปรพักตร์ แต่หากกองทัพตระกูลม่อเลือกที่จะช่วยเหลือเยียหลี่ว์หงและพระชายาเห่อหลัน เช่นนั้นทั้งสองคนก็จะยิ่งร่วมมือกันเหนียวแน่นมากขึ้น
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่สำคัญ ถึงอย่างไร…ข้าก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปอยู่แล้ว” ทัพใหญ่เป่ยหรงที่เข้ามาอยู่ภายในเขตแดนต้าฉู่ ไม่ช้าก็เร็วต้องทำสงครามชี้เป็นชี้ตายกับกองทัพตระกูลม่อ ส่วนเหรินฉีหนิงที่จิตใจคิดแต่จะฟื้นฟูแคว้น เขาก็ย่อมไม่ปล่อยไปด้วยเช่นกัน
สวีชิงเฉินพยักหน้า “ท่านพอรู้แก่ใจก็ดีแล้ว ทางฟากเยียหลี่ว์หงนั่นข้าจะคุยกับท่านอารองเอง ส่วนทางฟากพระชายาเห่อหลัน คงต้องลำบากหลีเอ๋อร์แล้ว” เยี่ยหลียิ้ม “หน้าที่ข้าทั้งนั้น พี่ใหญ่เอ่ยว่าลำบากอะไรได้”
“เยี่ยเย่ว์ของตระกูลเยี่ยนั่นพวกเจ้าคิดจะจัดการนางอย่างไรหรือ” สวีชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ยถาม กับคนของตระกูลเยี่ย สวีชิงเฉินไม่มีความรู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อยมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะเยี่ยเย่ว์ผู้นี้ยิ่งแล้วใหญ ต่อให้ในครานั้นนางถูกคนบังคับ แต่กระนั้นกลับไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่านางวางแผนคิดสังหารเยี่ยหลีไปได้ แม้นจะเป็นตระกูลบัณฑิตเช่นตระกูลสวี สายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำนั่นยิ่งยึดถือเป็นที่ยิ่ง ในสายตาของตระกูลสวี เยี่ยหลีย่อมสำคัญกว่าเยี่ยเย่ว์ที่ไม่มีสัมพันธ์อันใดด้วยเป็นร้อยเท่าพันเท่า เมื่อก่อนคิดว่าเยี่ยเย่ว์ตายไปแล้วก็แล้วไปเถิด แต่ตอนนี้นางมาโผล่อยู่ที่เมืองหลีอย่างแข็งแรงดีทุกอย่าง ทั้งยังไม่หมดใจที่จะกระทำการทะเยอทะยาน ซึ่งนี่ก็ไม่อยู่ในขอบข่ายที่คุณชายชิงเฉินจะยอมรอมชอมได้แล้ว ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจในม่อซิวเหยาที่จัดการเรื่องนี้ได้ไม่เรียบร้อยอีกด้วย
ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยท่าที่สบายๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง ย่อมมีคนช่วยพวกเราจัดการนางอยู่แล้ว” นัยน์ตาที่เจือแววยิ้มมีประกายคมกล้าวาบผ่าน เขาจะปล่อยคนที่เคยคิดทำร้ายอาหลีไปได้อย่างไร
ภายในห้องหนึ่งที่ห่างไกลที่สุดของจวนเยี่ย เยี่ยเย่ว์นั่งเหม่อลอยอยู่ข้างเตียงราวกับวิญญาณไม่อยู่กับตัว นางรู้ว่าการที่ถูกตำหนักติ้งอ๋องพบตัวเข้า เท่ากับแผนการทั้งหมดที่นางวางเอาไว้ได้ล้มเหลวจนหมดสิ้นแล้ว แต่กระนั้นนางก็ทำใจยอมแพ้ไม่ได้จริงๆ ผ่านมาตั้งหลายปีเพียงนี้ นางต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใดกว่าจะทนมาได้ถึงทุกวันนี้ เพื่อหลบหนีการตามล่าของตำหนักติ้งอ๋อง นางเพียรอดทนระมัดระวังไม่ให้เผยร่องรอยที่คล้ายคลึงกับเยี่ยเย่ว์ออกมาให้ผู้อื่นเห็นอยู่ตลอดเวลา กว่าจะทนมาถึงทุกวันนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย แต่เยี่ยเย่ว์กลับรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ หากในครานั้นตนไม่คิดแผนเจ้าเล่ห์ หากตรงไปที่เจียงหนาน บางทีอาจทำตามที่นางตั้งเป้าไว้ได้อย่างราบรื่นก็เป็นได้ บางทีอาจไม่ถูกคนของฮองเฮาพบตัวเข้า… น่าเสียดายก็เพียงจะมาเสียใจเอาตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว
“เยี่ยเย่ว์” น้ำเสียเย็นชาดังเข้าสู่โสตประสาทของนาง เยี่ยเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อย พอเรียกสติกลับมาได้ถึงได้เห็นม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่ตรงปากประตู
“หลีอ๋อง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เยี่ยเหวินหวาให้คนเฝ้าประตูห้องและประตูเรือนไว้หมดแล้ว นอกจากท่านแม่ที่นำอาหารมาส่งให้นางแล้ว ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดย่างกรายเข้ามาอีก ม่อจิ่งหลีจ้องนางด้วยสายตาเย็นชา “หากข้าอยากเข้ามา ก็ย่อมเข้ามาได้” เยี่ยเย่ว์พลันยินดี “ท่านเข้ามาพาข้าออกไปหรือ”
ม่อจิ่งหลีจ้องหน้านาง “ยาที่ข้าต้องการเล่า”
เยี่ยเย่ว์พลันสีหน้าเปลี่ยนไป ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราคุยกันไว้แล้ว เมื่อไปถึงเจียงหนาน...ไว้ทำสำเร็จแล้วข้าถึงจะให้มันกับเจ้า” ม่อจิ่งหลีสะบัดมือ สะบัดนางล้มลงไปบนเตียงโดยแรง “เจ้าเอายาให้ม่อซิวเหยาไปแล้วใช่หรือไม่”
ได้ยินอย่างนั้น เยี่ยเย่ว์ก็พลันหน้าถอดสี ม่อจิ่งหลีเดือดดาลขึ้นทันที “สารเลว!” เดิมทีเขามาพร้อมความหวังอันริบหรี่ แต่เมื่อมาได้ยินเรื่องนี้กับหูก็ไม่อาจฝืนข่มความโกรธเกรี้ยวเอาไว้ได้ ทุกอย่างพังพินาศลงด้วยน้ำมือของนังสารเลวคนนี้ เพราะความอวดฉลาดของนาง ทำให้เขาจำต้องยอมสละมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าหรืออาจถึงร้อยเท่า ให้กับของที่กำลังจะได้มาครอบครองอยู่แล้ว
“หลีอ๋อง…” เยี่ยเย่ว์ร้องเรียก ม่อจิ่งหลีกำลังโกรธเกรี้ยวเหลือประมาณ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าม่อซิวเหยาร้องขอสิ่งใดกับข้า สี่มหาสมบัติแห่งแคว้น! แค่เพียงเพราะเจ้า…” เยี่ยเย่ว์ถูกม่อจิ่งหลีดึงแขนเสื้อแกว่งไปมาจนมึนงงไปหมด สี่มหาสมบัติแห่งแคว้น… นางรู้ดี สมบัติล้ำค่าสี่ชิ้นที่เคยเก็บอยู่ในพระราชวังต้าฉู่ เมื่อครั้งนางยังเป็นที่โปรดปรานที่สุด นางเคยคิดอยากเห็นมัน แต่แค่เพียงเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค ก็ถูกม่อจิ่งฉีว่ากล่าวทั้งยังมึนตึงใส่นางไปเกือบครึ่งเดือน ว่ากันว่าแม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นที่รักที่สุดก็ยังไม่เคยมีวาสนาได้เห็นของมีค่าเหล่านั้นสักครั้ง สมบัติล้ำค่าทั้งสี่ชิ้นนี้ไม่เพียงมีมูลค่าท่วมแคว้นเท่านั้น แต่ยังเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรีของราชวงศ์ต้าฉู่อีกด้วย
เยี่ยเย่ว์ย่อมรู้ว่ายามนี้ม่อจิ่งหลีจะต้องเกลียดตนเองอย่างมาก นางรีบเอ่ยว่า “หลีอ๋อง ท่านพาข้าไปจากที่นี่ ต่อให้ไม่มี…ข้าก็ยังสามารถช่วยท่านต่อกรกับไทเฮาได้…”
ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ “ต่อกรกับไทเฮาหรือ ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าไปด้วยตนเองหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ข้ารู้สึกว่า…ก่อนหน้านี้ที่เอาของสิ่งนั้นมาจากมือเจ้าไม่ได้ ก็เพราะข้ายอมอ่อนให้เจ้ามากเกินไป ยามนี้ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว” ม่อจิ่งหลีโบกมือ องครักษ์ที่หน้าประตูสองคนก็หิ้วปีกเด็กชายคนหนึ่งที่อายุไม่ถึงสิบขวบเข้ามา
“ลูกแม่!” เยี่ยเย่ว์หน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง นางซ่อนบุตรชายไว้นอกเมืองอย่างดี เหตุใดจึง…
ม่อจิ่งหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยความพอใจ “เยี่ยเย่ว์ เจ้าอวดฉลาดเกินไป เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะช่วยเจ้าสนับสนุนเด็กคนนี้ให้ขึ้นสืบทอดบัลลังก์ บุตรชายของม่อจิ่งฉี ข้าแทบอยากจะ…ฆ่าให้ตายทุกคนที่เจอ! ข้ามอบนางให้พวกเจ้า ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เค้นสิ่งที่ค้าต้องการออกมาจากปากนางให้ได้” พูดจบ ม่อจิ่งหลีก็มองเยี่ยเย่ว์ด้วยสายตาเคียดแค้นก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
ภายในเรือนหลังเล็กที่ห่างไกล มีเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของหญิงสาวดังออกมาเป็นระยะๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม องครักษ์ที่อยู่ด้านในก็เดินออกมา ภายในห้อง เยี่ยเย่ว์คุกเข่าอยู่กับพื้น ตามตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล นางกอดบุตรชายที่หายใจรวยรินเงียบๆ อยู่ในอ้อมแขนแล้วจึงทนไม่ไหวร้องไห้โฮออกมา ณ วินาทีนี้ นางรู้สึกเสียใจแล้วจริงๆ หากนางอยู่ที่บ้านเดิมต่อไป ต่อให้ต้องยากจนข้นแค้นไปทั้งชีวิตก็ยังดีกว่าในยามนี้…
“พี่รอง” ที่หน้าประตูปรากฏร่างเยี่ยอิ๋งในชุดสีอ่อน ยืนตัวตั้งตรงอยู่ตรงนั้น มองเยี่ยเย่ว์ด้วยสายตาเจือรอยยิ้ม สายตาเรียบเย็นตราตรึงใจผู้คน
“อิ๋งเอ๋อร์!” เยี่ยเย่ว์พอตั้งสติได้ ก็รีบโผเข้าไปจับมือเยี่ยอิ๋งไว้ “อิ๋งเอ๋อร์ ช่วยข้าตามหมอมาที ลูก ลูกข้าได้รับบาดเจ็บ…” เยี่ยอิ๋งดึงมือนางออกเบาๆ บนใบหน้าอ่อนหวานเผยให้เห็นรอยยิ้มเย็นแห่งความยินดี “พี่รอง ท่านอ๋องได้สั่งไว้แล้ว ห้ามไม่ให้ผู้ใดไปเชิญท่านหมอมาทั้งสิ้น น้องเองก็ตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้”
“อิ๋งเอ๋อร์…” เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยอิ๋งได้ถนัดตา เยี่ยเย่ว์ก็มองใบหน้าน้องสาวที่อ่อนหวานนุ่มนวลด้วยความตกใจ
“เพราะเหตุใด”
“เพราะเหตุใดหรือ” เยี่ยอิ๋งยิ้มเย็น “พี่รอง ตอนที่ท่านคิดจะเข้ามาเกาะท่านอ๋อง เหตุใดถึงไม่เคยคิดบ้างว่าเพราะเหตุใด ในครานั้นท่านพูดไว้เช่นไร ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็ไม่โปรดปรานข้าอยู่แล้ว หากมีท่านอยู่ยังพอช่วยเหลือข้าได้ ท่านช่วยอันใดข้า… แย่งสามีข้า เรียกว่าช่วยเหลือข้าหรือ”
“ข้าเปล่า…” เยี่ยเย่ว์เอ่ยอย่างยากลำบาก นางไม่เคยคิดที่จะแย่งม่อจิ่งหลี นั่นเป็นเพียงแผนการที่คิดขึ้นเฉพาะหน้าเท่านั้น เหตุใดน้องสาวนางจึงไม่เข้าใจ “อิ๋งเอ๋อร์ ขอร้องเจ้าล่ะ เขาเป็นหลานของเจ้านะ ช่วยข้าช่วยชีวิตเขาที...” ใบหน้าเยี่ยอิ๋งเผยแววมาดร้าย “บิดาของเขาเอาลูกข้าไปไว้ที่ใดเสียเล่า ยังไม่ทันรู้ว่าลูกข้าไปอยู่เสียที่ใด เขาก็ตายไปเสียก่อนแล้ว” พูดจบ เยี่ยอิ๋งก็ผลักเยี่ยเย่ว์ออก แล้วหมุนตัวจากไปอย่างไร้เยื่อใย
“อิ๋งเอ๋อร์…” เยี่ยเย่ว์คร่ำครวญอย่างไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ทำได้เพียงมองดูนางเดินไกลออกไปเท่านั้น