ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 340-2 ไม่พบไม่รู้จัก
เยี่ยหลีเห็นสีหน้าของม่ออู๋โยว แต่กระนั้นก็ไม่พูดออกไปให้นางขายหน้า สวีชิงปั๋วอย่างไรก็ต้องมีใจให้อู๋โยวอยู่บ้าง มิเช่นนั้นแล้วเขาที่ถึงแม้จะสุภาพเรียบร้อย แต่กลับมีความคิดเป็นของตัวเองสูง ไม่มีทางโอนอ่อนตามที่สวีฮูหยินใหญ่ต้องการอย่างแน่นอน ท่าทางยามที่ม่ออู๋โยวเอ่ยถึงสวีชิงปั๋วนั้น ก็ดูไม่เหมือนคนไม่มีใจ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ยังอายุไม่มาก ยังมีเวลาให้บ่มเพาะอีกนานก็เท่านั้น
“พระชายา ฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิงขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” ในระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยเล่นกันอยู่นั้น ชิงซวงก็เข้ามารายงาน
ทุกคนพากันอึ้งไป สีหน้าฮว่าฮองเฮากับอู๋โยวดูจะซับซ้อนกว่าใครเพื่อน คนอื่นๆ อย่างมากก็เพียงรู้สึกแปลกใจ แต่พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์กับม่อเสี้ยวอวิ๋นและองค์หญิงเจินหนิงมากกว่า มู่หรงถิงเอ่ยขึ้นด้วยความใคร่รู้ว่า “พวกเขามาตำหนักติ้งอ๋องในเวลานี้ทำไมกัน” ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เมืองหลี ม่อเสี้ยวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงก็เก็บตัวเงียบไม่ค่อยออกไปไหนมาไหน นอกจากตอนมาคารวะเยี่ยหลียามที่เพิ่งมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ก็ไม่เคยเหยียบเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องอีกเลย จึงไม่แปลกที่มู่หรงถิงจะรู้สึกแปลกใจ
เยี่ยหลีนิ่งคิดก่อนพูดว่า “เชิญพวกเขาเข้ามาเถิด”
ชิงซวงรับคำสั่งออกไป สวีฮูหยินใหญ่ถามว่า “ฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิงมาคุยธุระกับเจ้า เช่นนั้นพวกเราหลบไปก่อนก็แล้วกัน” เยี่ยหลีส่ายหน้า “ต่อไปพวกเขาจะมาอาศัยที่เมืองหลีอีกนานพอดู จะไม่พบหน้ากันเลยคงมิได้กระมัง พวกเขาน่าจะมาด้วยเรื่องของหลิ่วกุ้ยเฟย”
“หลิ่วกุ้ยเฟย!” สตรีทุกคนพากันอึ้งไป สำหรับพวกนาง หลิ่วกุ้ยเฟยคือคนที่ตายไปนานแล้ว
เยี่ยหลีพยักหน้า นิ่งเงียบไปครู่แล้วถึงได้เอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่ตาย และยามนี้นางก็อยู่ในเมืองหลีนี้เอง ฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิงน่าจะได้ทราบข่าว เลยมาขอคำยืนขันจากข้า” ไม่นาน ม่อเสี้ยวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงก็มีคนเดินนำเข้ามา สีหน้าทั้งสองถือว่าไม่เลวนัก ดูท่าแล้วการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลีคงถือว่าสบายใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นรอยแผลฉกรรจ์บนใบหน้าที่ก้มลงครึ่งหนึ่งขององค์หญิงเจินหนิง กลับทำให้ทุกคนพากันถอนใจออกมาอย่างอดไม่อยู่
“คารวะพระชายาติ้งอ๋อง” ทั้งสองมิได้มีความหยิ่งผยองอย่างองค์ชายองค์หญิงของต้าฉู่ เมื่อเห็นเยี่ยหลีก็เอ่ยทักทายทำความเคาระอย่างนอบน้อม เยี่ยหลีอมยิ้ม “ฉางซิ่งอ๋องและองค์หญิงเจินหนิงไม่ต้องมากพิธี เชิญเข้ามานั่งเถิด ช่วงที่ผ่านมาพอคุ้นเคยกับการอยู่ในเมืองหลีบ้างหรือไม่” ม่อเสี้ยวอวิ๋นพยักหน้าขรึมๆ “ขอบคุณพระชายาที่เป็นห่วง ข้ากับพี่สาวสบายดีทุกอย่าง” คำตอบนี้ถึงแม้จะเป็นคำตอบตามมารยาทแต่ก็มาจากใจจึง ถึงแม้เมื่ออยู่ในเมืองหลีพวกเขาจะเป็นท่านอ๋องและองค์หญิงที่ไร้ซึ่งอิทธิพลอำนาจ แต่หลังจากผ่านความทุกข์ยากและความเจ็บปวดต่างๆ นานาในช่วงสองปีที่ผ่านมาแล้ว ชีวิตเช่นนี้ก็ไม่ถือว่ายากเย็นอันใดนัก อีกทั้งตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่ได้ดูแลพวกเขาสองพี่น้องไม่ดีเลยสักนิด ม่อเสี้ยวอวิ๋นถึงแม้จะอายุยังไม่มาก แต่กลับมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง ในใต้หล้านี้ นอกจากเมืองหลี นอกจากตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ก็ไม่มีที่ไหนให้พวกเขาสองคนพี่น้องยืนอีก ด้วยอายุและความสามารถอย่างเขา ยังห่างไกลอีกมากที่จะปกป้องตนเองและต้านทานพลังอำนาจจากทุกสารทิศของใต้หล้าได้
เยี่ยหลีพยักหน้า พอใจกับการตื่นรู้และรู้หน้าที่ของม่อเสี้ยวอวิ๋น
ทั้งสองขอบคุณเยี่ยหลีก่อนไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างที่ยังว่างอยู่ ถึงได้เห็นคนจำนวนมากที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วก็อดตกใจขึ้นไม่ได้ “เสด็จแม่…เสด็จพี่…” ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่ลงรอยกับฮว่าฮองเฮามาแต่ไหนแต่ไร แต่ม่อเสี้ยวอิซ่นกับองค์หญิงเจินหนิงกลับไม่มีใจมาดร้ายต่อฮว่าฮองเฮส อย่างมากก็มีเพียงเมื่อก่อนที่องค์หญิงเจินหนิงนึกอิจฉาม่ออู๋โยวเท่านั้น แต่กระนั้นความอิจฉานั้นมาถึงทุกวันนี้ก็ยิ่งไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว ส่วนม่ออู๋โยว เดิมทีด้วยเพราะหลิ่วกุ้ยเฟย จึงไม่ชอบใจคู่สองพี่น้องนี้อย่างมาก แต่ก็ด้วยรู้ว่าช่วงสองปีนี้ที่พวกเขาอยู่ในเมืองหลีก็ไม่ได้ดีไปกว่าเคราะห์กรรมในครั้งนั้นของตนเท่าไรนัก ยิ่งเมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าขององค์หญิงเจินหนิงกับสีหน้าท่าทางเมื่อครั้งฉู่จิงถูกล้อมของพวกเขาสองคนพี่น้องแล้ว ม่ออู๋โยวก็อดใจอ่อนไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นพี่น้องแท้ๆ กัน จึงพยักหน้าพูดว่า “พวกเจ้าสบายดีหรือไม่”
ดวงตาองค์หญิงเจินหนิงแดงขึ้นเล็กน้อย กัดริมฝีปากพยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด ครานั้นตอนที่นางรู้ว่าม่อู๋โยวจะถูกส่งตัวไปให้หนานจ้าวอ๋อง นางยังเคยนึกยินดีอยู่ในใจด้วยซ้ำ ยามนี้เมื่อได้เห็นม่ออู๋โยวที่ไม่นึกเยาะหยันแม้รูปโฉมตนจะเสียหาย และถึงขั้นเห็นใจและไม่รังเกียจตน ในใจจึงบังเกิดความรู้สึกผิดเพิ่มมากขึ้น
“เสด็จพี่…”
ม่ออู๋โยวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรียกข้าว่าอู๋โยวก็พอ ทุกวันนี้ข้าไม่ใช่องค์หญิงอีกแล้ว”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ก่อนพูดกับฮว่าฮองเฮาและม่ออู๋โยวว่า “ท่านแม่ พี่อู๋โยว” การเรียกขานฮว่าฮองเฮาว่าท่านแม่นั้นออกจะฟังดูแปลกหูอยู่บ้าง แต่กลับไม่ถือว่าผิด เพราะเดิมทีฮว่าฮองเฮาก็เป็นภรรยาเอกของม่อจิ่งฉี องค์ชายองค์หญิงทุกคนต่างต้องเรียกขานนางว่าเสด็จแม่ นางก็คือแม่ใหญ่ของบรรดาองค์ชายองค์หญิงอย่างม่อเสี้ยวอวิ๋น ฮว่าฮองเฮาพยักหน้า มองม่อเสี้ยวอวิ๋นแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “สองปีนี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ในเมื่อทนมาได้ถึงทุกวันนี้ เรื่องในอดีตก็ลืมมันไปเสียเถิด ใช้ชีวิตกับพี่สาวเจ้าให้ดีก็แล้วกัน”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นพยักหน้า “ขอบคุณท่าน…ฮูหยินที่ชี้แนะ”
“ที่ฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิงมาที่ตำหนักติ้งอ๋องนี้ ด้วยเพราะมีธุระอันใดหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม ม่อเสี้ยวอวิ๋นเหลือบมองบรรดาสตรีที่อยู่ตรงหน้าทีหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยอย่างไม่ปิดบังว่า “เรียนพระชายา ข้ากับพี่สาวได้ยินมาว่า ข้างกายองค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงมีสตรีนางหนึ่ง รูปลักษณ์ของนางมีส่วนคล้าย…เสด็จแม่พระสนมอยู่มาก ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” เยี่ยหลีมองทั้งสองที่มองตนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนถอนใจเบาๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ถูกต้องแล้ว สตรีข้างกายเยียหลี่ว์เหยี่ยมีชื่อว่าชิงอีน่า เห็นว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายขององค์ชายเจ็ด ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง แต่ตามที่องค์หญิงหรงหวาเอ่ย นางมีรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับหลิ่วกุ้ยเฟยจริงๆ หากในใจพวกเจ้ามีข้อสงสัยประการใด ไปสอบถามจากนางที่โรงพักม้าก็แล้วกัน”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นใบหน้าขรึมลงไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้ากับพี่สาวเคยไปขอพบที่โรงพักม้ามาแล้วสองครั้ง แต่ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง ดังนั้นถึงได้…มาขอพบพระชายา เพราะอยากให้พระชายาช่วยยืนยัน…” เยี่ยหลีใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ชิงอีน่าเป็นคนที่องค์ชายเยียหลี่ว์พามาด้วย จึงถือว่าเป็นแขก ข้าเลยไม่สะดวกที่จะส่งคนไปสอบถามจากนางตรงๆ เพียงแต่พวกเจ้าสามารถไปสอบถามจากองค์หญิงหรงหวาดูได้ เมื่อครั้งองค์หญิงหรงหวาอายุยังน้อยก็เคยเข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง น่าจะคุ้นเคยกับคนผู้นั้นมากกว่าข้า”
อันที่จริงได้ยินเยี่ยหลีพูดเช่นนี้ ทั้งสองก็พอจะทราบถึงฐานะของหลิ่วกุ้ยเฟยแล้ว ใบหน้าม่อเสี้ยวอวิ๋นเคร่งขรึมยังไม่ต้องพูดถึง มือขององค์หญิงเจินหนิงยิ่งกำผ้าเช็ดหน้าจนมือเริ่มขาว และเริ่มมีอาการสั่นให้เห็นเล็กน้อย
เยี่ยหลีมองทั้งสอง พูดอย่างมีความนัยลึกซึ้งว่า “ไม่ว่าคนผู้นั้นจะใช่หรือไม่ แต่พวกเจ้าจะต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนจะลงมือทำสิ่งใด อย่าได้กระทำการผลีผลามเป็นอันขาด หากมีตรงใดที่ลำบากใจ ก็มาพูดคุยกับข้าและท่านอ๋องที่ตำหนักติ้งอ๋องได้ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นเมืองหลี แต่ถึงอย่างไรเยีหลี่ว์เหยี่ยก็เป็นองค์ชายที่มีกำลังทหารของเป่ยหรงอยู่ในมือง อำนาจและอิทธิพลของเขาไม่ใช่น้อยๆ พวกเจ้าจะกระทำการใดที่บุ่มบ่ามไม่ได้”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นนิ่งเงียบไปเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า “ขอบคุณพระชายาที่ชี้แนะ พวกเราเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่รบกวนพระชายาแล้ว ข้ากับพี่สาวขอตัวก่อน” เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ มององค์หญิงเจินหนิงพลางเอ่ยเสียงอ่อนว่า “อย่าเอาแต่หมพตัวอยู่ในห้องทั้งวัน การออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้างก็ไม่ใช่เรื่องย่ำแย่อะไร” องค์หญิงเจินหนิงกัดริมฝีปาก พยักหน้าก่อนซอยเท้าเดินตามม่อเสี้ยวอวิ๋นออกไป
ทุกคนมองตามสองพี่น้องเดินจากไป ในใจทุกคนบังเกิดความหดหู่ ฮว่าเทียนเซียงขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ใบหน้าขององค์หญิงเจินหนิง ถูกหลิ่วกุ้ยเฟยทำร้ายจริงๆ หรือ” ในอดีตนางเคยเข้าออกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับองค์หญิงเจินหนิงสักเท่าไร อันที่จริงบุตรทั้งสองของหลิ่วกุ้ยเฟยนั้น ล้วนไม่เหมือนกับนาง องค์หญิงเจินหนิงเป็นบุตรสาว ไม่ได้รับความใส่ใจจากผู้เป็นมารดานั้นก็เรื่องหนึ่ง หนำซ้ำม่อจิ่งฉียังค่อนข้างเอ็นดูม่ออู๋โยว จึงทำให้นางไม่ค่อยมีตัวตนนักยามอยู่ในวังหลวง ไม่เหมือนเป็นบุตรสาวของพระสนมผู้ยิ่งใหญ่คับวังหลังเอาเสียเลย ยามนี้เมื่อได้มาเห็นใบหน้าเรียวเล็กที่อ่อนหวานมีรอยแผลเป็นฉกรรจ์ดูน่าตกใจเช่นนั้น ฮว่าเทียนเซียงจึงเกิดความเห็นใจนางขึ้นมาหลายส่วน