ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 340-3 ไม่พบไม่รู้จัก
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “แท้จริงแล้วเรื่องราวเป็นอย่างไรก็ยังไม่มีใครรู้ ครานั้นตอนช่วยนางออกมา หลิ่วกุ้ยเฟยก็หายตัวไปแล้ว ทั้งตำหนักเย็นมีนางอยู่เพียงคนเดียว หากพวกเราไม่ได้ช่วยนางออกมาได้ทันการณ์ เกรงว่าทุกคนคงคิดว่าคนที่ตายอยู่ภายในนั้นเป็นหลิ่วกุ้ยเฟยไปแล้ว” เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าความจริงเป็นเช่นไร สำหรับองค์หญิงเจินหนิงที่มีชีวิตรอดออมานี้ ก็เป็นมารดาแท้ๆ ของนางที่โยนนางเข้ากองไฟเพื่อให้ตายแทนนางอยู่ดี
ฮว่าฮองเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “ข้าว่าเจินหนิงคงโกรธแค้นหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างยิ่งยวดแล้ว หากพวกเขาไปหานางจะไม่เกิดเรื่องขึ้นหรือ”
“มีฉางซิ่งอ๋องอยู่ คงไม่น่ามีอะไร” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ย
เมื่อเอ่ยถึงหลิ่วกุ้ยเฟย ทุกคนล้วนปิดบังความรังเกียจไม่มิด เรื่องที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจให้ม่อซิวเหยารวมถึงความดื้อรั้นจะให้ม่อซิวเหยาแต่งงานกับนางให้ได้นั้น ทุกคนต่างรู้เรื่องเป็นอย่างดี กอปรกับเรื่องขององค์หญิงเจินหนิง ความรังเกียจที่มีต่อหลิ่วกุ้ยเฟยจึงยิ่งทบทวีขึ้นไปอีก มู่หรงถิงกอดเหลิ่งจวินหานไว้พลางถามด้วยความโกรธเคืองว่า “ผู้หญิงประเภทนั้น ถ้าข้าเจอคงได้ตรงเข้าไปฟาดนางด้วยแส้สักยกหนึ่ง”
ม่อตัวน้อยที่นั่งกินขนมอย่างเรียบร้อยน่ารักอยู่ข้างเยี่ยหลี กะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ คนที่พวกท่านพูดถึงคือท่านป้าในชุดขาวผู้นั้นที่ฉู่จิงหรือ” ได้ยินอย่างนั้น เยี่ยหลีก็มองม่อตัวน้อยด้วยความตกใจ “เจ้ายังจำหลิ่วกุ้ยเฟยได้หรือ”
ม่อตัวน้อยเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ “ท่านป้าคนนั้นน่ารำคาญที่สุดแล้ว ชอบใช้สายตาประหลาดมองข้ากับท่านแม่อยู่เรื่อย ข้าอยากบอกกับท่านพ่อว่า หากนางยังมองอย่างนั้นอีกจะควักลูกตานางออกมาเสีย ใครจะรู้ว่านางจะตายไปก่อนเสีย ที่แท้ยังไม่ตายหรอกหรือ” เยี่ยหลีถึงกับปวดหัวหนึบ น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีเช่นนี้นี่มันอะไรกันหนอ นางเคยสอนความคิดโหดร้ายแบบนี้ให้เขาตั้งแต่เมื่อไรกัน ยามนั้นม่อตัวน้อยยังอายุไม่ถึงเจ็ดขวบด้วยซ้ำ
ภายในโรงพักม้าของเป่ยหรง องค์หญิงหรงหวาได้ข่าวว่าฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิงมาขอเข้าพบ มุมปากนางก็ยกขึ้นเป็นรายยิ้มประหลาด ก่อนสั่งให้บ่าวข้างกายไปเชิญทั้งสองคนเข้ามาโดยเร็ว ก่อนหน้านี้ม่อเสี้ยวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงเคยมาที่นี่แล้วสองครั้ง แต่ถูกคนของโรงพักม้าไล่กลับไป แม้แต่ประตูก็ยังไม่ได้เหยียบย่างเข้ามา ครั้งนี้เปลี่ยนมาเป็นขอเข้าพบองค์หญิงหรงหวา เพียงไม่นานก็มีคนเชิญเข้าไปข้างในจริงๆ อย่างที่คาดไว้
องค์หญิงหรงหวาตั้งใจต้อนรับแขกทั้งสองที่โถงหลักของโรงพักม้า พอเห็นม่อเสี้ยวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงเข้ามาก็ต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม จูงทั้งสองให้ไปนั่งลง “สมัยข้ายังอยู่ที่ฉู่จิง พวกเจ้ายังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าไม่ได้พบกันหลายปีเพียงนี้ พวกเจ้าจะโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว” พอได้มองคู่หนุ่มสาวตรงหน้า องค์หญิงหรงหวาก็ได้แต่ทอดถอนใจ ถึงแม้นางจะยังไม่แก่ แต่เมื่อได้เห็นคนที่เคยเป็นเด็กน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็อดทอดถอนใจให้กับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ได้
“เสด็จน้าหรงหวาอยู่ที่เป่ยหรงสบายดีหรือไม่” ม่อเสี้ยวอวิ๋นเอ่ยถาม
องค์หญิงหรงหวาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “รัชทายาทช่างดีกับข้าเหลือเกิน สบายดีทุกอย่าง เรื่องช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าได้ยินมาหมดแล้ว เพียงแต่พวกเจ้าทั้งสองเลยต้องลำบาก”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นไม่ใช่เด็กไม่รู้ประสามานานแล้ว จึงยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ข้ากับเสด็จพี่ก็สบายดีขอรับ ตำหนักติ้งอ๋องดีกับเรามาก”
“เช่นนั้นก็ดี ติ้งอ๋องมากล้นด้วยคุณธรรม ถึงแม้จะไม่มั่งคั่งทรงเกียรติเท่าราชวงศ์ แต่หากเทียบกับการแก่งแย่งชิงดีกันแล้ว อย่างไรก็คงสบายใจกว่า ในเมื่อกว่าจะออกมาได้นั้นไม่ง่าย ก็อย่าได้คิดเรื่องเหล่านี้อีกเลย หาใช่ทุกคนจะโชคดีหลุดออกจากวงโคจรเช่นนั้นได้” นั่นเป็นสิ่งที่องค์หญิงหรงหวารู้สึกได้ และถือโอกาสโน้มน้าวใจทั้งสองไปด้วย ม่อเสี้ยอวิ๋นพยักหน้า “หลานรับทราบแล้ว ขอบคุณท่านน้ามากที่ชี้แนะขอรับ”
“ท่านน้าหรงหวา…” องค์หญิงเจินหนิงมององค์หญิงหรงหวา คิดจะพูดบางอย่างแต่ชะงักไป องค์หญิงหรงหวาย่อมเข้าใจเหตุที่พวกเขามา จึงยกมือขึ้นตบหลังมือนางเบาๆ “เรื่องของเจ้าข้าได้ยินมาแล้ว เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว พวกเจ้าอยากพบชิงอีน่าใช่หรือไม่” ม่อเสี้ยวอวิ๋นเกิดสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
เมื่อก่อนพวกเขาเคยได้ยินว่าองค์หญิงหรงหวามีนิสัยหยิ่งทระนงจองหอง ยามนี้เมื่อได้มาเห็นท่าทางเอื้ออารีย์ของนางกลับรู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเด็กที่โตมาในราชวงศ์ ใครก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา จึงย่อมรู้สึกสงสัยในท่าทีเป็นมิตรขององค์หญิงหรงหวา
องค์หญิงหรงหวาแค่มองก็เห็นถึงความสงสัยของเขา จึงยิ้มน้อยๆ “เด็กโง่ ใครจะไปเหมือนกับยามเป็นหนุ่มสาวได้เล่า อันที่จริงข้าเองก็ไม่มั่นใจว่านางใช่หรือไม่ใช่…เดี๋ยวข้าให้คนไปเชิญนางมาให้พวกเจ้าพบหน้าหน่อยก็แล้วกัน แต่อย่าได้วู่วามเชียว” ทั้งสองพยักหน้ารับเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดสีขาวก็เดินเข้ามา ยังไม่ทันมองคนในห้องโถงก็หันไปพูดเสียงเรียบเย็นกับองค์หญิงหรงหวาว่า “เจ้าเรียกข้ามาที่นี่คิดอยากพูดอะไรหรือ” สองวันนี้หลิ่วกุ้ยเฟยอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ไม่เพียงเพราะเมื่อหลายวันก่อนหลังจากบังเอิญเจอม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีแล้ว พอกลับมาที่โรงพักม้านางถูกเยียหลี่ว์เหยี่ยต่อว่าอย่างรุนแรงเสียยกหนึ่ง แต่เมื่อวานนี้อยู่ๆ ม่อเสี้ยวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงก็มาขอพบนางถึงที่นี่ ก่อนมาที่นี่ นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กทั้งสองคนนั่นจะมาอยู่ที่เมืองหลีด้วย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นางไม่รู้เลยว่าจะเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างไร จึงยิ่งไม่อยากพบหน้าพวกเขาเข้าไปใหญ่
องค์หญิงหรงหวาเลิกคิ้ว “มิใช่ว่าข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า แต่มีคนที่อยากพบเจ้า”
“ใครกัน…” หลิ่วกุ้ยเฟยเงียบเสียงลงทันที มองดูเด็กหนุ่มสาวสองคนที่กำลังมองมาที่ตนด้วยสายตาเรียบเย็นด้วยความตกใจ ชั่วพริบตาเวลาสองปีก็ผ่านไป ม่อเสี้ยวอวิ๋นสูงขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อนมากทีเดียว และดูสุขุมขึ้นมาก องค์หญิงเจินหนิงนั่งอยู่ข้างม่อเสี้ยวอวิ๋น บนใบหน้ามีผ้าโปร่งปิดคลุมเอาไว้เช่นกัน ดวงตาคู่นั้นที่โผล่พ้นผ้าคลุมออกมาดูเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง หลิ่วกุ้ยเฟยพลันใจกระตุก “พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นใคร!” พักใหญ่ หลิ่วกุ้ยเฟยถึงทำใจให้สงบนิ่งลงได้ ก่อนฝืนเอ่ยปากขึ้น
แต่ประกายตกใจในแววตาในชั่วแวบนั้น กับทั้งท่วงท่าที่คุ้นตาเหล่านั้น จะปกปิดบุตรชายบุตรสาวแท้ๆ ไปได้อย่างไร เมื่อเห็นว่าหลิ่วกุ้ยเฟยถึงขั้นทำเป็นไม่รู้จักพวกเขา ในแววตาทั้งสองก็เป็นประกายเจ็บปวดและตัดพ้อ พอหันไปสบเข้ากับแววตาเย็นเยียบขององค์หญิงเจินหนิง หลิ่วกุ้ยเฟยก็รีบหลบสายตาด้วยความรู้สึกผิดทันที นางหันไปถลึงตาใส่องค์หญิงหรงหวา “พระชายารัชทายาท นี่เจ้าหมายความเช่นไร”
องค์หญิงหรงหวากำลังจิบชาสบายๆ ยิ้มเอ่ยเรียบๆ ว่า “หมายความเช่นไรอะไรกัน พวกเขาเป็นบุตรกำพร้าของเสด็จพี่ฮ่องเต้ของข้า ฉางซิ่งอ๋องกับองค์หญิงเจินหนิง พวกเขามาหาเจ้า ชิงอีน่า ท่านไม่รู้จักพวกเขาหรือ”
“ข้าจะไปรู้จักพวกเขาได้อย่างไร” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ย “ในเมื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้ากลับห้องก่อนล่ะ” พูดจบนางก็ไม่แม้แต่จะมองม่อเสี้ยวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิง หมุนตัวจะเดินจากไปทันที องค์หญิงหรงหวาวางถ้วยชาลง ยิ้มเอ่ยว่า “อย่าเพิ่งไปสิ ชิงอีน่า เด็กสองคนนี้เที่ยวลำบากตามหามารดา ถือว่ามีใจกตัญญูเป็นที่ยิ่ง ต่อให้เจ้าไม่รู้จักพวกเขาจริงๆ อย่างไรก็ควรพูดกับพวกเขาให้ชัดเจน”
หลิ่วกุ้ยเฟยอึ้งไป หันกลับมามองพวกเขาลวกๆ ทีหนึ่ง “พวกเจ้าจำคนผิดแล้ว”
ม่อเสี้ยวอิว๋นกับองค์หญิงเจินหนิงนิ่งเงียบ พอเห็นว่าหลิ่วกุ้ยเฟยกำลังจะหมุนตัวจากไป องค์หญิงเจินหนิงก็กัดฟันเอ่ยว่า “เสด็จแม่ ท่านจำพวกเราไม่ได้จริงๆ หรือ”