ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 341-3 ของกำนัลที่เพิ่มมา
“คู่ควรเหมาะสมพอหรือ” เสียงเย็นเยียบของม่อซิวเหยาดังขึ้นเบาๆ ภายในหอทัศนา ทิ้งความสงบเงียบเอาไว้ทั่วทั้งหอยิ่งส่งให้ด้านนอกคึกคักเป็นพิเศษ “เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็นถึงจุดที่สู้พระชายาของข้าได้เลยเล่า” เหลยเจิ้นถิงยิ้มเอ่ยด้วยความมั่นใจสุดแสน “พระชายาย่อมเป็นสตรีล้ำเลิศที่หาได้ยากในใต้หล้านี้ แต่ว่า สตรีตรงหน้านางนี้ก็มิได้แตกต่างกันนัก ข้ารับรองได้ว่า วรยุทธ์ของนาง ความสามารถพิเศษด้านการประพันธ์ ความสามารถต่างๆ กระทั่งฝีมือด้านการแพทย์ วิชามากมายหลายหลาก ล้วนโดดเด่นจากสตรีทั่วทั้งใต้หล้าอย่างแน่นอน หากท่านอ๋องไม่เชื่อ เช่นนั้นขอเชิญพระชายาลงมาประลองกับนางดูสักครา”
“บังอาจ!” ม่อซิวเหยาตะคอกตำหนิ เห็นเงาร่างสีขาวโฉบผ่านไปกลางอากาศ ผู้คนต่างส่งเสียงตกใจกันอย่างอดมิได้ ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ม่อซิวเหยาโผไปอยู่ตรงหน้าสตรีชุดขาวนางนั้น ยื่นมือไปโจมตีใส่กลางศีรษะของสตรีนางนั้นอย่างไร้ปรานี ในขณะที่เหล่าผู้คนต่างคิดว่าสตรีนางนั้นคงสิ้นชีพแน่แล้ว กลับเห็นนางเงยหน้าขึ้น พลิกมือขึ้นขวางเอาไว้ นึกไม่ถึงว่าจะสกัดการโจมตีของม่อซิวเหยาเอาไว้ได้ ม่อซิวเหยาส่งเสียงเฮอะเบาๆ คราหนึ่ง แล้วกางมือออกไปยังหัวไหล่นางอีกครั้ง ครานี้สตรีนางนั้นกลับไม่ใช้ไม้แข็งรับไม้แข็งอีก แต่นางลอยถอยหนีออกไป ม่อซิวเหยาคว้าไว้ได้เพียงอากาศทำเอาตู้ไม้ที่อยู่ข้างๆ เป็นรูเพราะการโจมตีนี้ เห็นได้ชัดว่า ฝ่ามือนี้หากจับสตรีนางนั้นไว้ได้จริงๆ เกรงว่าไหล่ซ้ายของนางได้แหลกละเอียดเป็นแน่
ม่อซิวเหยาพลาดไปทั้งสองกระบวนท่า จึงมิได้ตามโจมตีต่อ เขาสะบัดแขนเสื้อลอยกลับไปอยู่บนที่นั่งเดิม เพียงแต่ขณะเดียวกันนั้นเองกลับโจมตีไปยังสตรีชุดขาวนางนั้นอีกรอบ แม่นางที่หลบหนึ่งกระบวนท่ามาได้อย่างหวุดหวิด เพิ่งจะยืนได้มั่นครานี้จึงหลบไม่พ้นอีก ทำได้เพียงยกมือขึ้นรับ นึกไม่ถึงว่าจะถอยไปด้านหลังเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น กระทั่งสีหน้าก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม ทำเพียงยืนอยู่ข้างเหลยเจิ้นถิงเงียบๆ เท่านั้น
ม่อซิวเหยายืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่า ก้มมองเหลยเจิ้นถิงกับสตรีชุดขาวนางนั้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “สามารถรับกระบวนท่าสามกระบวนของข้าได้ นับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง” อันที่จริงนี่มิใช่เพียงมีความสามารถอยู่บ้างแล้ว สามกระบวนท่านั้นม่อซิวเหยาใช้กำลังภายในไปอย่างน้อยแปดส่วน สตรีชุดขาวนางนั้นสามารถรับได้โดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่เพียงแต่วรยุทธ์เท่านั้น แต่ปฏิกิริยาหรือกำลังภายในของนางล้วนไม่เลวทีเดียว เรียกได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุทธภพได้เลยทีเดียว ที่สำคัญก็คือ นางดูแล้วเพิ่งจะอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น กำลังภายในเท่านี้ใกล้เคียงกับตอนม่อซิวเหยาอายุไล่เลี่ยกันเลยทีเดียว
เหลยเจิ้นถิงกลับไม่ตกใจ เขาอมยิ้มเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วว่าจะต้องทำให้ติ้งอ๋องพอใจอย่างแน่นอน”
ม่อซิวเหยามองเขา ยิ้มเย็นอย่างประชดประชันว่า “ผู้ใดบอกกันว่าข้าพอใจแล้วจะรับนางไว้ เห็นแก่ที่นางมีความสามารถอยู่บ้าง ข้าจะไม่ถือโทษที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เจ้ามาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นแล้วกัน!” กล่าวจบ ผู้คนก็พลันส่งเสียงฮือฮาขขึ้น ขนาดสตรีชุดขาวนางนั้นที่สีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอดมายามนี้สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไป สาวงามเช่นนี้ถูกติ้งอ๋องปฏิเสธโดยไม่ลังเล ในสายตาฝูงชนแล้วนี่ไม่ต่างอะไรกับการทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจเลย อย่างไรเสียบนโลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดบังคับให้ต้องเลือกระหว่างพระชายาติ้งอ๋องกับคนงามนางนี้เสียหน่อย มีทั้งชายาและอนุห้อมล้อมคอยปรนนิบัติมิใช่สิ่งที่บุรุษต่างใฝ่ฝันหาหรอกหรือ
เหลยเจิ้นถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองม่อซิวเหยาด้วยความลำบากใจ “ติ้งอ๋องจะปฏิเสธจริงๆ หรือ”
ม่อซิวเหยายิ้มเย็นไม่ตอบคำใด เหลยเจิ้นถิงดูราวกับจนใจ เขาถอนใจกล่าวว่า “ติ้งอ๋องคงไม่ทราบกระมังว่านางมาจากที่ใด”
ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้น “ข้าบอกว่า มาจากทางไหนก็เอากลับไปทางนั้นอย่างไร”
“นางมาจากภูเขาซางหมาง” คำพูดของเหลยเจิ้นถิงเสมือนน้ำที่หยดลงในกระทะ ทันใดนั้นทั่วทั้งหอทัศนาก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง ภูเขาซางหมางสำหรับชาวต้าฉู่นั้นคุ้นเคยดี ยอดเขาหลักเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งอยู่ทางใต้ของต้าฉู่ ยามนี้กลับตกไปอยู่ในมือของเหลยเจิ้นถิง แต่ที่ผู้คนคุ้นเคยกับที่นี่ดีกลับมิใช่เพราะว่าทิวทัศน์ของที่นั่นงดงามเพียงใด หรือเกิดเรื่องปาฏิหาริย์ขององค์เทพใด ความจริงแล้วภูเขาซางหมางหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่เขามากมาย ยอดเขาที่รายล้อมอยู่โดยรอบล้วนเหมือนกันไปหมด หากไม่มีคนคุ้นทางนำทางก็จะมองไม่ออกว่าเขาลูกใดคือภูเขาซางหมาง จึงเป็นไปได้อย่างมากที่จะหลงอยู่ภายในหุบเขา
มีเรื่องเล่าขานว่า บนเขาซางหมางมีครอบครัวหนึ่งหลบซ่อนอยู่ สมาชิกในครอบครัวต่างเชี่ยวชาญในดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการทำนายทายทัก บุรุษมีความสามารถลั่นฟ้าสะเทือนดิน สตรียิ่งมีสติปัญญาในการช่วยกษัตริย์ปกครองประเทศและช่วยเหลือชาติบ้านเมือง ทุกๆ หกสิบปีจะส่งคนลงเขาไปหาประสบการณ์ แต่ครอบครัวนี้สตรีมีมากบุรุษมีน้อย หลายร้อยปีมานี้น้อยนักที่จะมีบุรุษมาสักคนหนึ่ง และสตรีที่ลงเขาไปหาประสบการณ์นั้น ทุกนางต่างมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนั้นก็คือฮองเฮาราชวงศ์ก่อนแห่งฮ่องเต้จงซิ่ง รวมทั้งพระมเหสีแห่งจวิ้นหวังรุ่นที่สองของต้าฉู่ รวมถึงพระมเหสีซีหลิงเมื่อหกสิบปีที่แล้ว ซึ่งเป็นท่านยายที่เสียไปแล้วของเหลยเจิ้นถิง ว่ากันว่าตระกูลสวีก็เคยแต่งสตรีแห่งเขาซางหมางมานางหนึ่ง แม่สกุลสวีจะไม่เคยยอมรับมาก่อนก็ตาม ทว่าด้วยเพราะภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี กลับมีฮองเฮาถึงสามพระองค์ อีกทั้งการปรากฏตัวของพวกนางล้วนนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ราชวงศ์ ตั้งแต่นั้นมาเขาซางหลางซานจึงได้มีการติดต่อกับราชวงศ์อย่างลับๆ ยามนี้ สตรีชุดขาวนางนี้ได้เลือกติ้งอ๋อง หรือจะบอกว่า…สายตาของผู้คนที่นั่งอยู่ที่มองไปยังม่อซิวเหยาพลันต่างไปจากเดิม
เหลยเจิ้นถิงยิ้มเอ่ยว่า “ยามนี้ติ้งอ๋องคงเข้าใจแล้วกระมัง มิใช่ว่าข้าตั้งใจอยากจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างติ้งอ๋องกับพระชายา ช่างเป็น…”
ผู้คนต่างเริ่มจะเข้าใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว เรื่องนี้เหลยเจิ้นถิงย่อมไม่อาจตัดสินใจได้ หากเหลยเจิ้นถิงสามารถตัดสินใจได้ เช่นนั้นต่อให้ตนไม่สามารถแต่งงานกับสตรีชุดขาวนางนี้ได้ ก็สามารถให้บุตรชายของตนแต่งงานกับนางได้อยู่ดี มีหรือจะยอมไปเอื้อประโยชน์ให้แก่ศัตรู ผู้คนต่างมองไปยังติ้งอ๋องกันอย่างอดมิได้ ติ้งอ๋องที่ยืนกรานว่าจะไม่รับสตรีนางนี้เมื่อครู่ พอได้รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้แล้วจะยังคงยืนหยัดในความคิดเดิมได้อีกหรือไม่หนอ
ภายในหอทัศนาเงียบลงไปเนิ่นนาน ในขณะที่คนไม่น้อยกำลังคิดว่าติ้งอ๋องคงยอมตกลงเป็นแน่แล้วนั้น ก็ได้ยินเสียงอันเย็นเยียบของม่อซิวเหยาดังขึ้นว่า “ไสหัวไป”