ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 342-1 เลือดย้อมปิ่นทอง
แต่ไหนแต่ไรมาม่อซิวเหยาไม่ชอบตะโกนเสียงดัง ทว่าอาจเพราะนิสัยจึงทำให้เป็นเช่นนั้น น้ำเสียงของเขามักจะเจือความเย็นชานิ่งเรียบแฝงไว้อยู่เสมอ ดังนั้นพอเขาทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แม้ว่าจะพูดโดยมิได้ตั้งใจก็ทำเอาคนสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันเย็นเยียบที่แฝงอยู่ในนั้นได้
สตรีที่เดิมทียืนอยู่ข้างเหลยเจิ้นถิงพลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังบุรุษอาภรณ์ขาวดุจหิมะด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่านางนึกไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ ต้องทราบก่อนว่า ทายาทของภูเขาซางหมางจะลงเขามาในทุกๆ หกสิบปีเท่านั้น แต่ความหมายที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาซางหมางกับแต่ละแคว้นที่เกี่ยวโยงซับซ้อนมานานหลายร้อยปีนั้นกลับทำให้ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง เดิมทีที่เหลยเจิ้นถิงเสนอให้ส่งมอบนางเป็นของกำนัลต่อหน้าผู้คนก็ทำนางไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ก็ทราบดีว่าที่เหลยเจิ้นถิงกล่าวมาล้วนมิใช่เรื่องโกหก นางมาช้าไปก้าวหนึ่งจริงๆ ติ้งอ๋องมีพระชายาข้างกายแล้ว
แม้ว่านางไม่คิดว่าพระชายาติ้งอ๋องจะฉลาดสูงส่งไปกว่านาง แต่ความรักระหว่างติ้งอ๋องกับพระชายาที่มีมานับสิบปีกลับมิใช่ของปลอม บุรุษผู้หนึ่งสามารถมีสาวงามได้นับไม่ถ้วน แต่กลับต้องการเพียงภรรยาที่ดีเพียงหนึ่งเดียว ในสถานการณ์ที่มีเยี่ยหลีแล้วนั้น ข้อดีของนางก็กลายเป็นไม่โดดเด่นไปโดยปริยาย แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว นางจึงยอมเป็นเพียงสนม สำหรับนางแล้วนี่เป็นการยอมอ่อนข้อให้อย่างมากแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะยังปฏิเสธกลับมาอีก เดิมทีนี่คือสิ่งดึงดูดใจที่ไม่ว่าบุรุษคนใดก็ไม่มีทางปฏิเสธได้แท้ๆ
ทว่าคิดในทางกลับกัน หากมิอาจปฏิเสธสิ่งดึงดูดใจเช่นนี้ได้ ติ้งอ๋องก็คงจะไม่ต่างอันใดกับบุรุษมากมายบนโลกนี้ที่หยาบช้าจนเหลือทนกระมัง
“ติ้งอ๋อง ท่านจะปฏิเสธข้าจริงๆ หรือ” สตรีชุดขาวเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้น
ม่อซิวเหยายิ้มเย็นเยียบ “ข้ามิได้กำลังปฏิเสธเจ้า ข้าต้องการให้เจ้ารีบไสหัวไป!”
สตรีชุดขาวสีหน้าซีดเผือด ไม่ว่านางจะทำเป็นมั่นอกมั่นใจนิ่งสงบเพียงใด แต่เมื่อต้องมาอับอายต่อหน้าผู้คนคนมากมายเช่นนี้ก็ยังยากที่จะรับไหว นางมองม่อซิวเหยาอย่างเย็นชา แล้วหันไปมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างเขา เอ่ยถามขึ้นว่า “พระชายาติ้งอ๋อง ท่านว่าอย่างไร” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น ถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า “ข้าต้องพูดอันใดอีกหรือ” สตรีชุดขาวจ้องหน้านางเขม็งพลางเอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “ได้ยินว่าพระชายาติ้งอ๋องรูปโฉมแลความสามารถไร้ผู้ใดเทียม เป็นชายาที่ดีงามของติ้งอ๋อง คิดว่าพระชายาน่าจะทราบดีว่าควรทำเช่นไรจึงจะดีต่อติ้งอ๋องที่สุด ท่านคงไม่ทำลายการใหญ่ของติ้งอ๋องด้วยเรื่องไร้สาระเป็นแน่”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “แม่นาง เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือว่าข้าคิดเช่นไร”
สตรีชุดขาวชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “แน่นอน”
เยี่ยหลีเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ถ้าเอ่ยในมุมมองของสตรีนางหนึ่งแล้ว ข้าอยากจะบอกเจ้าเพียงสิ่งเดียวว่า ไสหัวไป หากเอ่ยในมุมของพระชายานางหนึ่ง ข้าก็จะบอกเจ้าว่า รีบไสหัวไป ในฐานะภรรยาแล้ว สามีว่าอย่างไรย่อมว่าตามที่สามีว่า ดังนั้นข้าจึงอยากจะบอกเจ้าว่า มาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น”
“กล่าวได้ดียิ่ง!” สวีชิงเหยียนที่อยู่อีกด้านอดที่จะเอ่ยชื่นชมออกมามิได้
“เจ้า…” สตรีชุดขาวนางนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนไป แต่กลับไม่โกรธเกรี้ยว ซ้ำยังสุขุมเยือกเย็นได้อย่างรวดเร็ว นางมองเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาอย่างสงบนิ่ง กล่าวว่า “ดูแล้ววันนี้คงไม่เหมาะจะพูดคุยธุระสักเท่าใดนัก เช่นนั้นก็รอให้ท่านทั้งสองไตร่ตรองให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่เถิด” กล่าวจบนางก็หันหลังเดินกลับไปอย่างสุขุมโดยไม่สนสายตาผู้ใดทั้งสิ้น ทิ้งให้เหล่าฝูงชนฉงนกันจนตาโตอ้าปากค้าง
ประโยคนี้ของเยี่ยหลีทำให้ม่อซิวเหยาอารมณ์ดีอย่างมาก เขาดึงนางให้กลับมานั่งลงดังเดิม มองเหลยเจิ้นถิงอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “เจิ้นหนานอ๋อง นี่คือของกำนัลที่ท่านจะมอบให้ข้าหรือ”
เหลยเจิ้นถิงยักไหล่อย่างจนใจ เอ่ยว่า “ข้าก็จนปัญญาเช่นกัน อย่างไรเสียก็หมดเรื่องของข้าแล้ว ติ้งอ๋องเชิญจัดการเอาเองเถิด” ครานี้ยัดเยียดความผิดให้เหลยเจิ้นถิงเข้าเสียแล้ว เรื่องที่สตรีนางนั้นจะมีประโยชน์ต่อการเป็นใหญ่ในใต้หล้าหรือไม่นั้นละเอาไว้ก่อน พูดถึงชื่อเสียงกับอำนาจมืดของเขาซางหมางแล้วก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนต่างอยากได้มาครอบครอง ต่อให้เหลยเจิ้นถิงสมองมีปัญหาเพียงใดก็ไม่ยอมเอาคนเช่นนางมาเป็นของกำนัลมอบให้เขาที่เป็นศัตรูตัวฉกาจอย่างแน่นอน แต่ผู้ใดใช้ให้ภูเขาซางหมางมาอยู่ในเขตอำนาจปัจจุบันของเขากัน แล้วผู้ใดที่ทำให้เขามิอาจรุกรานเขาซางหมางได้ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีจำนวนไม่น้อยที่อยากเห็นม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีแตกหักกัน แต่นั่นก็เป็นเพียงผลพลอยได้
“ติ้งอ๋องมิได้สนใจทายาทเขาซางหมางจริงๆ หรือ” เยียหลี่ว์เหยี่ยที่อยู่ด้านล่างหยั่งเชิงเอ่ยถามขึ้น แม้ว่าเป่ยหรงจะเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนนอกกำแพง แต่หลายปีมานี้ก็ได้รับวัฒนธรรมมาจากชาวจงหยวนไปไม่น้อย โดยเฉพาะคนในราชวงศ์ เรื่องตำนานต่างๆ มากมายของจงหยวนย่อมรู้จักเป็นอย่างดี แม้ว่าตำนานของภูเขาซางหมางพวกนั้นจะไม่น่าเชื่อถือ แต่บางทีสิ่งที่เรียกว่าตำนานก็เป็นสัญลักษณ์ของโชคชะตาฟ้าลิขิตอย่างหนึ่ง หากใช้ได้ถูกก็ไม่แน่ว่าผลที่ได้รับอาจไม่ต่างกับการใช้ทหารกล้านับล้านนายนัก
ม่อซิวเหยาดึงมือเยี่ยหลีพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านใดสนใจก็เชิญไปลองเถิด ข้าไร้วาสนาที่จะได้พรนั้น”
ได้ยินดังนั้น ผู้คนก็ต่างริษยาและเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาทันที ริษยาที่ม่อซิวเหยาโชคดีเพียงนี้ ที่ถึงขั้นมีคนจากชนเผ่าลึกลับในตำนานมาเสนอตัวให้ถึงที่แต่กลับไม่สนใจ ในขณะเดียวกันก็นับถือที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งเย้ายวนใจถึงเพียงนี้แต่เพื่อพระชายาแล้วกลับไม่หวั่นไหว
ทางด้านที่นั่งของตระกูลสวีนั้น คิ้วคมของสวีชิงปั๋วขมวดน้อยๆ มองสวีชิงเฉินแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่ คนของเขาซางหมางลงมาก่อกวนด้วยเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นแล้ว”
สวีชิงเฉินยิ้มอ่อนโยนสง่างามพลางเอ่ยตอบไปว่า “น้องสี่ยังจำได้หรือไม่ว่า คนจากเขาซางหมางที่ปรากฏตัวขึ้นคราวก่อนนั้นอยู่ในปีใด” สวีชิงปั๋วขมวดคิ้วนึกย้อนกลับไป “คราก่อนคนผู้นั้นเหมือนกับจะเป็นยายของเจิ้นหนานอ๋อง…ไม่น่าจะแค่หกสิบปี ตามหลักแล้ว ชาวภูเขาซางหมางควรปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนจึงจะถูก” สวีชิงเฉินขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ชาวซางหมางมีความสามารถกันไม่น้อย มิฉะนั้นแล้วคงไม่มีมารดาแผ่นดินหลายพระองค์ติดต่อกันมาเช่นนี้ แต่ว่า…ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น หากเห็นตนเองสำคัญมากเกินไป เช่นนั้นตระกูลสวีของพวกเราก็ไม่กลัวพวกเขาเช่นกัน” คิ้วขมวดมุ่น กลิ่นอายเย่อหยิ่งไหลล้นออกมา ราวกับว่าเขาไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่าตระกูลในตำนานอยู่ในสายตา
เห็นพี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้ สีหน้าของพี่น้องคนอื่นๆ ก็ผ่อนคลายกันขึ้นมาก ทว่าสวีชิงเหยียนกลับเอ่ยถามด้วยความฉงนขึ้นอีกว่า “พี่ใหญ่ บรรพบุรุษเราเคยแต่งงานกับสตรีจากเขาซางหมางหรือไม่กันแน่หรือ”
สวีชิงเจ๋อกวาดสายตามองอย่างเย็นชาคราหนึ่ง “สตรีที่แต่งเข้าตระกูลสวีมาไม่เคยมีที่มาที่ไปที่ไม่แน่ชัดมาก่อน กลับไปดูลำดับวงศ์สกุลให้ดี” สะใภ้ของตระกูลสวีไม่ขอเป็นคนร่ำรวยจางขุนนางสูงส่ง และไม่ได้ขอให้หน้าตางดงามความเพียบพร้อมด้วยสามารถ สิ่งที่สำคัญที่สุดมีเพียงอย่างเดียวก็คือมาจากตระกูลที่มีคุณธรรมสะอาดบริสุทธิ์ คนที่ชอบปกๆ ปิดๆ เหล่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็แต่งเข้าตระกูลสวีมามิได้แน่นอน และชาวภูเขาซางหมางก็ชอบเหลือเกินเรื่องความลึกลับซับซ้อนของตน สวีชิงเหยียนคอหดไปหลบอยู่ด้านหลังสวีชิงปั๋ว เกรงกลัวพี่รองผู้มีสีหน้าเย็นชาดั่งที่แล้วๆ มาไม่เคยเปลี่ยน
สวีหงอวี่กับสวีหงเยี่ยนที่อยู่ด้านหน้าเห็นบรรดาลูกหลานดูสุขุมเยือกเย็นก็ต่างพยักหน้ากันอย่างพออกพอใจ
จำอวดขั้นเวลาเมื่อครู่ มิได้ส่งผลต่อการร่ายรำขับร้องรอบต่อไป บรรดาแขกเหรื่อบนหอทัศนาต่างร่ำสุราพูดคุยกันต่ออย่างรวดเร็ว แต่ก็มีหลายคนที่จิตใจเหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเหล่าแขกเหรื่อด้านล่าง พลันรู้สึกว่าขาดอันใดบางอย่างไป
ม่อซิวเหยาก้มลงมองเห็นท่าทางขมวดคิ้วของนางก็เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “อาหลี เป็นอันใดหรือ เป็นเพราะสตรีนางนั้นทำเจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่” เยี่ยหลีส่ายหน้ามองใบหน้าอันดุดันของเขาพลางเอ่ยว่า “วาสนาด้านนารีของท่านอ๋องมีไม่น้อยเลยจริงๆ ขนาดเทพธิดาของเผ่าลึกลับในตำนานก็ยังมามอบกายถวายตัวให้” ม่อซิวเหยาอุ้มม่อตัวน้อยที่อยู่ตรงกลางขึ้นมาไว้บนตัก จับอุ้มมือน้อยๆ ทั้งสองของเขาไว้เพื่อไม่ให้เกะกะแล้วจึงได้นั่งใกล้อยู่ข้างกายเยี่ยหลี เบะปากเอ่ยอย่างเหยียดหยามว่า “นางเรียกว่าหญิงงามได้หรือ เขาซางหมางคงแตกแล้วกระมัง นึกไม่ถึงว่าจะไร้ซึ่งสตรีมีฝีมือได้”