ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 342-2 เลือดย้อมปิ่นทอง
เยี่ยหลีอมยิ้มเลิกคิ้วขึ้น มิได้เห็นด้วยหรือแย้งอันใดกับการวิจารณ์ของม่อซิวเหยา แม้ว่าหากพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว สตรีชุดขาวนางนั้นจะด้อยกว่าเยี่ยหลีอยู่ขั้นหนึ่ง แต่กระนั้นก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันสักเท่าไร แต่บนตัวนางกลับมีกลิ่นอายประหลาดที่ดึงดูดผู้คน ต่างกับเยี่ยหลีที่สง่างามและสูงส่ง ทว่านางกลับสั่นไหวความปรารถนาส่วนลึกในจิตใจของบุรุษได้อย่างง่ายดายชัดเจน จุดนี้ เกรงว่าแม้ในยามที่ใบหน้าของซูจุ้ยเตี๋ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยอยู่ในช่วงงามสะพรั่งที่สุดก็ยังสู้มิได้ ดูแค่สีหน้าท่าทางของบรรดาแขกเหรื่อในตำหนักเมื่อครู่ก็รู้แล้ว
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “สตรีนางนั้นค่อนข้างแปลกประหลาด อาหลีอย่าได้เข้าใกล้นางมากนัก”
ม่อซิวเหยาเห็นสตรีงดงามมาไม่รู้ตั้งเท่าใดต่อเท่าใด เหตุใดจะไม่รู้ว่าสตรีในชุดขาวนางนั้นมีแรงดึงดูดผู้คนอย่างนประหลาด ช่างน่าเสียดายที่แรงดึงดูดเช่นนี้แทบจะไร้ผลต่อม่อซิวเหยาที่มีจิตใจมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งก่อให้เกิดแรงต่อต้าน ยิ่งทำก็ยิ่งเสีย เยี่ยหลีรีบอมยิ้มพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าชาวซางหมางจะลงเขามาในเวลานี้…ห่างกับคราก่อนเจ็ดสิบกว่าปีได้แล้วกระมัง”
ม่อซิวเหยายิ้มเย็นเอ่ยว่า “สิบปีก่อนสถานการณ์ของใต้หล้าไม่ชัดเจน พวกเขาไม่มีผู้รู้ที่จะทำนายทายทัก จึงย่อมต้องรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน บอกว่าจะลงเขามาทุกๆ หกสิบปี เป็นเพียงการหลอกลวงผู้คนก็เท่านั้น เอาเข้าจริงสามสี่ครั้งก่อนหน้านั้นจะแม่นยำเพียงนั้นเชียวหรือ ยามต้าฉู่สถาปนาแคว้น พวกเขามาปรากฏตัวในรัชสมัยฮ่องเต้ไท่จงมาขึ้นครองอำนาจพอดี แต่เหตุใดจึงไม่มาร่วมสู้รบไปกับฮ่องเต้พระองค์แรกเสียเล่า อีกทั้งท่านยายท่านนั้นของเหลยเจิ้นถิง ล้วนมาในโอกาสที่ดีกันทั้งนั้น”
เยี่ยหลีพลันเข้าใจ หากการปรากฏของทายาทชาวซางหมางในทุกรอบหกสิบปีจะพอดิบพอดีเช่นนั้นล่ะก็ นางคงได้คิดว่าชาวเขาซางหมางเป็นผู้มีความสามารถหยั่งรู้ และเป็นตัวแทนสวรรค์ในการคัดเลือกประมุขแห่งใต้หล้าเข้าจริงๆ
“ถึงอย่างไรชื่อเสียงของชาวซางหมางก็นับว่าไม่เลว” มีชื่อเสียงด้านการเลือกประมุขแห่งใต้หล้า คนที่ถูกเลือกก็หมายความว่าเป็นผู้ที่น่าวางใจได้ มิน่าเล่าสีหน้าของทุกคนที่นั่งอยู่จึงประหลาดนัก ครานี้เยี่ยหลีกลับเชื่อได้ว่านี่มิใช่แผนการของเหลยเจิ้นถิง
ม่อซิวเหยาเอ่ยเหยียดหยามขึ้นว่า “เลือกราชาแห่งใต้หล้าหรือ หากข้าอยากจะได้ไม่ว่าผู้ใดก็ขวางข้ามิได้ ต้องให้ชาวซางหมางเช่นนางมาเลือกข้าด้วยหรือ”
เยี่ยหลีแย้มยิ้ม “ข้ารู้ดีว่าท่านอ๋องของเราจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ไม่ต้องพึ่งพาสตรีเพื่อช่วงชิงใต้หล้ามา” นางมองใบหน้าของเขาด้วยรอยยิ้ม หากมิใช่ว่าอยู่ท่ามกลางธารกำนัลมากมายเช่นนี้ล่ะก็ ม่อซิวเหยาเกรงว่าคงได้โผเข้ากอดนางไปแล้ว
“ฮือออ” ม่อเสียวเป่าที่ถูกจับอุ้งมือน้อยทั้งสองไว้แน่นจนขยับไปไหนมิได้มาโดยตลอดดิ้นขลุกขลักขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แต่ม่อซิวเหยากลับยัดอาหารใส่ปากให้อย่างไร้ความปรานี ม่อเสียวเป่าที่อ้าปากฟ้องมิได้จึงได้แต่เบิกตาโตมองท่านแม่ด้วยความน้อยอกน้อยใจ น่าเสียดายนักที่เยี่ยหลีกลับมองว่าท่าทางนี้เหมือนกับบิดากำลังอุ้มลูกชายพลางช่วยป้อนอาหารให้เท่านั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าใดนักก็ตาม เยี่ยหลีรู้สึกว่าการฟาดฟันเป็นปรปักษ์กันอยู่ตลอดเวลาของสองพ่อลูกคู่นี้มิใช่เรื่องดีเท่าไรนัก จึงไม่ไปรบกวนช่วงเวลาสานสัมพันธ์กันระหว่างพวกเขา
“ขาดใครไปคนหนึ่งใช่หรือไม่” เยี่ยหลีจ้องมองไปด้านล่างอย่างใช้ความคิด นางรู้สึกเหมือนว่าขาดอันใดไปมาตั้งแต่เมื่อครู่ เพียงแต่สตรีชุดขาวชาวซางหมางนางนั้นเข้ามาขัดเสียก่อน จึงทำให้นางไม่ทันได้สนใจเรื่องนี้ ม่อซิวเหยากวาดสายตามองลงไปยังด้านล่าง อันที่จริงแขกเหรื่อมากมายเพียงนี้ แค่บนหอทัศนานี้ก็มีกว่าพันคนแล้ว จะมีใครเกินมาหรือขาดใครไปก็ยากที่จะรู้ได้
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ม่อเสี้ยวอวิ๋นกับเจินหนิงมิได้มา” สองคนนี้แม้จะมิได้มีอำนาจที่แท้จริง แต่ในทางความหมายแล้วกลับมีความสำคัญอย่างมาก อย่างไรเสียก็เป็นองค์ชายกับองค์หญิงแห่งต้าฉู่ ซ้ำยังยอมจำนนให้ฉู่จิงกลับคืนมาเป็นของตำหนักติ้งอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรขอเพียงทั้งสองไม่ก่อกบฏขึ้น ตำหนักติ้งอ๋องก็จะดูแลเลี้ยงดูพวกเขาอย่างดี
เยี่ยหลีมองไปยังที่นั่งสองที่อันว่างเปล่า ในหัวพลันประมวลเร็วรี่มองไปยังข้างกายเยียหลี่ว์เหยี่ยแล้วเอ่ยว่า “หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้มา!”
ม่อซิวเหยาไม่ใส่ใจ “แม้นางจะเป็นว่าที่พระชายาของเยียหลี่ว์เหยี่ยในนาม แต่ขอเพียงแค่นางยังมิได้เข้าพิธีอภิเษกก็จะยังมิใช่พระชายาของเป่ยหรงอ๋อง ซ้ำยังไม่มีลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลที่เชิดหน้าชูตาได้ ไม่มาก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด”
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “จากนิสัยเย่อหยิ่งและมั่นอกมั่นใจของนางแล้ว ไม่น่าจะคิดว่าตนไม่คู่ควรที่จะมาร่วมงานนี้” คนอย่างหลิ่วกุ้ยเฟย เกรงว่าต่อให้เหยียบถูกดินโคลนก็ยังจะคิดว่าตัวเองเป็นสาวงามสูงส่งที่สุดในใต้หล้าอยู่ดี เหตุใดจึจะขไม่มาร่วมงานเพราะคิดว่าตนไม่มีสิทธิ์ได้เล่า นางขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “หากมิใช่เช่นนี้ แล้วนางไปไหนเสีย จะเกี่ยวกับฉางซิ่งอ๋องและองค์หญิงเจินหนิงหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น อาหลีก็มิต้องเป็นห่วงพวกเขาหรอก ม่อเซียวอวิ๋นกับเจินหนิงมีคนปกป้องอยู่ข้างกาย ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นอย่างไรเสียก็มิได้เกิดกับพวกเขา” เยี่ยหลีจนปัญญา ทำได้เพียงกดความกังวลในใจไว้รอให้งานเลี้ยงจบลงค่อยว่ากันใหม่
ยามเมื่องานเลี้ยงจบลงก็เป็นเวลาใกล้ยามจื่อ[1]แล้ว เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาย่อมพาม่อตัวน้อยกลับจวนไปก่อนใคร เรื่องต่อจากนั้นย่อมมีคนมาจัดการให้ แต่ไม่คิดเลยว่าเพิ่งจะกลับถึงตำหนัก จั๋วจิ้งก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายา เกิดเรื่องขึ้นกับทางองค์หญิงเจินหนิงพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาจัดการพาม่อตัวน้อยเข้านอนเรียบร้อยจึงตามไปที่จวนฉางซิ่ง
พอถึงที่จวนฉางซิ่ง แค่ดูก็รู้ว่าเพิ่งเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จั๋วจิ้งมิได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย องค์หญิงเจินหนิงนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างอกสั่นขวัญแขวน บนพื้นข้างๆ มีรอยเลือดที่เกือบแห้งกรังเจิ่งนองอยู่ องค์หญิงเจินหนิงที่กังวลเรื่องใบหน้าของตนมาโดยตลอด มิเคยลืมที่จะสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ต่อหน้าคนนอกเลยสักครา มายามนี้กลับผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เผยใบหน้าที่มีแผลฉกรรจ์ต่อหน้าผู้คนโดยไร้การปกปิด มีสตรีชุดขาวนางหนึ่งนอนอยู่ไม่ไกลกันนั้น บริเวณท้องมีปิ่นทองปักอยู่ อาภรณ์สีขาวถูกโลหิตแดงฉานอาบย้อมจนชุ่ม เสิ่นหยางกับม่ออู๋โยวไม่รู้ว่าเข้ามานั่งตรวจดูตั้งแต่เมื่อใด พอเยี่ยหลีเห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นก็เห็นว่าเป็นหลิ่วกุ้ยเฟยจริงๆ
เยี่ยหลีถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นางมองม่อเสี้ยวอวิ๋นที่ยืนอยู่อีกด้าน ม่อเสี้ยวอวิ๋นสีหน้าซีดเผือด มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันแน่น เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “พระชายา เป็นข้าที่วู่วามทำร้ายพระชายาเป่ยหรง ขอพระชายาโปรดจงลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ม่อเสี้ยวอวิ๋นผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายตลอดหลายปีมานี้ เขาเข้าใจถึงความอบอุ่นเย็นชาของมนุษย์เป็นอย่างดี หากหลิ่วกุ้ยเฟยได้เป็นพระชายาที่เจ็ดแห่งเป่ยหรงขึ้นมาจริงๆ ถูกพวกเขาทำร้ายเข้าเยียหลี่ว์เหยี่ยจะต้องเอาเรื่องตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่ วิธีที่จะสยบเรื่องราวได้ดีที่สุดของตำหนักติ้งอ๋องก็คือการนำตัวเขาส่งมอบให้ ซ้ำยังได้ถือโอกาสกำจัดองค์ชายต้าฉู่อย่างเขาไปด้วย เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เยี่ยหลีส่ายหน้า ดึงม่อซิวเหยามานั่งข้างๆ แล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านอาจารย์เสิ่นจึงอยู่ที่นี่ได้ แผลนางเป็นเช่นไรบ้างหรือ”
เสิ่นหยางกรอกตาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเอ่ยว่า “พองานเลี้ยงเลิก ข้ากำลังจะกลับ แต่ระหว่างทางกลับถูกเจ้าเด็กคนนี้พามาที่นี่” ม่ออู๋โยวเงยหน้ามองเยี่ยหลีแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากับท่านอาจารย์ผ่านหน้าจวนฉางซิ่งแล้วเจอกับฉางซิ่งอ๋องพอดี พระชายาวางใจเถิด ฝีมือด้านการแพทย์ของท่านอาจารย์ล้ำเลิศ ไม่มีปัญหาใดแน่นอน”
เสิ่นหยางถลึงตาใส่ม่ออู๋โยวไปทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหาอันใดกัน บาดเจ็บที่ตำแหน่งนี้ ต่อให้ข้ามีฝีมือการแพทย์เยี่ยมยอดกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด” ชายหญิงแตกต่าง บาดเจ็บบริเวณท้องเช่นนี้เสิ่นหยางไร้หนทางช่วยได้ แม้จะบอกว่าเขามีจรรยาบรรณเพียงใด แต่สถานะเช่นหลิ่วกุ้ยเฟยกลับช่วยได้ยากนัก ม่ออู๋โยวไม่กลัวว่าจะถูกเขาถลึงตาใส่อีก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านอาจารย์ก็ชี้แนะศิษย์เสียหน่อย ศิษย์จะลงมือรักษาเอง ดีหรือไม่เจ้าคะ”
[1] ยามจื่อ เวลา 23.00 น.– 01.00 น.