ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 343-1 ตัดแม่ตัดลูก
องค์หญิงเจินหนิงจ้องมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและรังเกียจ ที่เสิ่นหยางว่ามานั้นได้ทำลายความหวังสุดท้ายที่มีอยู่ในใจต่อมารดาลงอย่างย่อยยับ คราแรกนางถูกทำให้สลบในตำหนักเย็นแล้วใบหน้าก็ถูกทำลาย สองปีมานี้นางเกลียดชังหลิ่วกุ้ยเฟยมาโดยตลอด แต่ท่ามกลางความเกลียดชังนี้ยังคงมีความหวังและความรักที่ตัดไม่ขาดต่อมารดาเจือปนอยู่ หากคืนนี้หลิ่วกุ้ยเฟยขอโทษนางอย่างจริงใจ หากมีความทุกข์จากความรู้สึกผิดและสำนึกเสียใจสักนิด ปิ่นทองขององค์หญิงเจินหนิงก็คงไม่ปักไปบนร่างนาง
ทว่ายามนี้ ในสายตาขององค์หญิงเจินหนิงกลับเหลือเพียงความเคียดแค้นและชิงชัง ความรู้สึกระหว่างแม่ลูกได้ตัดเยื่อขาดใยลงนับแต่บัดนี้
ม่ออู๋โยวได้ฟังที่เสิ่นหยางบอกก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ยกมือกระชากปิ่นทองออกมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโลหิตก็หลั่งไหล ม่ออู๋โยวหยิบยารักษาที่เสิ่นหยางเป็นคนทำออกมาโปะไว้อย่างรวดเร็ว จากนั้นดึงชายผ้าจากชุดนางมาพันแผลให้
องค์หญิงเจินหนิงมิได้แทงถูกจุดตายของหลิ่วกุ้ยเฟย หากตัดเรื่องที่ภายหน้าจะมีบุตรมิได้ออกไป แล้วสุดท้ายหลิ่วกุ้ยเฟยตายลงจริงๆ ก็เป็นเพราะเสียเลือดมากเท่านั้น แต่ยามนี้มียาห้ามเลือดชั้นดีของเสิ่นหยาง ชีวิตนางย่อมพ้นขีดอันตรายแล้ว หลังจากพันแผลเสร็จเรียบร้อย ม่ออู๋โยวก็หยิบขวดดินเผาใบเล็กออกมาขวดหนึ่งป้อนให้หลิ่วกุ้ยเฟย ครู่ต่อมา สีหน้าที่เดิมซีดเซียวของหลิ่วกุ้ยเฟยก็เริ่มกลับมามีสีเลือดอย่างที่ตาเนื้อสามารถมองเห็นได้
“ของดีๆ เช่นนั้นเอาไปให้นางใช้แล้วจะไม่เสียของหมดหรือ ข้าให้สิ่งเหล่านี้กับเจ้า เพื่อให้เจ้าเอาไปทำใช้ให้เสียของเช่นนี้หรือ” เสิ่นหยางจ้องหน้าม่ออู๋โยวอย่างไม่สบอารมณ์ ม่ออู๋โยวเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ตนแล้วยิ้มหวานเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอาติ้งอ๋องกับพระชายาต้องมีอันใดอยากจะพูดอีกแน่ เมื่อครู่นางเป็นเช่นนั้นไหนเลยจะถามอันใดรู้เรื่อง” เสิ่นหยางส่งเสียงเฮอะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามันฉลาดนัก”
ม่อซิวเหยาหรี่ตามองสีหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยที่ดีขึ้นก็พยักหน้าอย่างไม่ใส่เอ่ยว่า “ในเมื่อปลอดภัยแล้ว…เสี้ยวอวิ๋น เจ้าคิดเห็นเช่นไร” ม่อเสี้ยวอวิ๋นทิ้งมือลงข้างตัวแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตามแต่ท่านอาติ้งอ๋องจะตัดสินโทษพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้าและเสด็จพี่อีกต่อไป”
“แม้จะบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง!” องค์หญิงเจินหนิงพลันโพล่งขึ้น นางหันไปจ้องใบหน้างดงามของหลิ่วกุ้ยเฟยเขม็งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “แต่นางยังติดค้างใบหน้าข้าอยู่”
หลิ่วกุ้ยเฟยได้ยินประโยคนั้นก็พลันหน้าเปลี่ยนสี จ้ององค์หญิงเจินหนิงพลางเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าจะทำอันใด” องค์หญิงเจินหนิงมองนางแล้วกัดฟันกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าทำลายใบหน้าข้า หรือว่าไม่ควรชดใช้ให้ข้าหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ข้าคลอดเจ้ามา อย่าว่าแต่ทำลายใบหน้าของเจ้าเลย ต่อให้เป็นชีวิตเจ้าก็ควรยอมให้ข้าได้”
ม่อเสี้ยวอวิ๋นเดินไปข้างกายองค์หญิงเจินหนิง จับมือนางไว้แล้วมองไปยังหลิ่วกุ้ยเฟย เอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะบอกไปหยกๆ ว่าพวกเราไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้าอีกแล้ว”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเฮอะออกมาอย่างเหยียดหยาม ความสัมพันธ์แม่ลูกไหนเลยจะตัดขาดกันได้ง่ายๆ ในสายตาหลิ่วกุ้ยเฟย ม่อเสี้ยวอวิ๋นกับเจินหนิงคือบุตรธิดาของนางตลอดไป นางจะไม่สนใจพวกเขาอย่างไรก็ได้ แต่พวกเขามิอาจไม่เคารพนางได้ นางฝืนยันตัวลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง แม้ว่าจะใส่ยาและทำแผลแล้ว แต่ต่อให้ได้ยาวิเศษเพียงใดมารักษาก็มิอาจสมานบาดแผลนั้นอย่างรวดเร็วได้ ความเจ็บปวดแสนสาหัสนี้ทำให้สีหน้าของนางแปลกประหลาด แววตาของนางยามมองไปยังองค์หญิงเจินหนิงนั้นราวกับเคลือบไว้ด้วยยาพิษ
องค์หญิงเจินหนิงกลับไม่สนใจสายตาของนาง ยามที่คนผู้หนึ่งหมดสิ้นความหวังต่ออีกคนไปแล้วนั้น ความรู้สึกจะแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่มากกว่ายามปกติมากนัก
หลิ่วกุ้ยเฟยก็ไม่สนใจท่าทีของเจินหนิงกับม่อเสี้ยวอวิ๋นเช่นกัน หากบอกว่าเมื่อก่อนนางมีความสนใจต่อสองพี่น้องคู่นี้ล่ะก็ ความยากลำบากและการต่อสู้ดิ้นรนตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมา ได้ทำให้นางขจัดความรู้สึกที่ไร้ค่าไม่สำคัญเหล่านั่นออกไปจนสิ้นแล้ว หลังจากที่ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีมาถึง ความสนใจส่วนใหญ่ของหลิ่วกุ้ยเฟยล้วนตกไปอยู่กับพวกเขาทั้งคู่ แม้ว่าจะมิได้มีความรักใคร่ใหลหลงในตัวม่อซิวเหยาเช่นกาลก่อนอีก กลับกัน ณ ตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชังเข้ากระดูก ถึงขนาดที่ว่าเกลียดเขามากกว่าเกลียดเยี่ยหลีไปมากแล้ว แต่นางรู้ดีว่าตนนั้นมิอาจผลีผลาม นางรู้ซึ้งถึงความไร้ปรานีของม่อซิวเหยามาโดยตลอด
“ติ้งอ๋อง ที่เจ้าบงการให้สองคนนี้ลอบสังหารข้าหมายความว่าอย่างไร คิดร้ายต่อเป่ยหรงเช่นนั้นหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องม่อซิวเหยาอย่างหยิ่งทระนง ยามนี้นางคือว่าที่พระชายาของเป่ยหรง สถานะไม่ด้อยไปกว่าม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี นางจึงไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจอันใดพวกเขาอีก
เยี่ยหลีไม่ตอบนาง เพียงมองไปยังม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ คราหนึ่ง นี่คงเป็นความรักที่กลายเป็นความแค้นที่ใครเขาว่ากันกระมัง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” องค์หญิงเจินหนิงเดินเข้าไปถาม “นี่มันเกี่ยวอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องกัน ข้าอยากจะฆ่าเจ้า ข้าก็มีปัญญาชดใช้เจ้าด้วยชีวิตเช่นกัน!”
“เสด็จพี่!” ม่อเสี้ยวอวิ๋นจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วเอ่ยกับองค์หญิงเจินหนิงว่า “ดูว่าท่านอาติ้งอ๋องจะตัดสินใจอย่างไร” ม่อซิวเหยาเอียงคอมององค์หญิงเจินหนิงกับม่อเสี้ยวอวิ๋นแล้วยิ้มบางเอ่ยว่า “เจินหนิง ถึงอย่างไรเสด็จพ่อของเจ้าก็จากไปแล้ว ยามนี้ต้าฉู่จึงนับว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าอีก ทว่า ขอเพียงข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นองค์หญิง เจ้าก็ยังจะคงเป็นองค์หญิง เอาชีวิตเจ้าเข้าแลกกับชีวิตนางอย่างนั้นหรือ ข้าให้คนเลี้ยงดูเจ้ามานานเพียงนี้เพื่อให้มาทำสิ่งนี้หรือ ส่วนที่ข้าขาดทุนไปผู้ใดจะชดใช้ให้เล่า”
องค์หญิงเจินหนิงอึ้งไป นางไม่เจนจัดด้านการรับฝีปากเพื่อโน้มน้าวใจผู้คนเท่าใดนัก แต่ก็รู้ดีว่าตนใช้อารมณ์มาจัดการเรื่องราวเช่นนี้ก็มิอาจแก้ไขปัญหาได้ จึงก้มหน้าเอ่ยว่า “ท่านอาติ้งอ๋อง เจินหนิงผิดเอง”
ม่อซิวเหยาจึงพยักหน้าอย่างพอใจ เขาเลี้ยงดูองค์หญิงกับองค์ชายมิได้เพื่อเอามาล้อเล่น หากสละชีวิตพวกเขาเพื่อหลิ่วกุ้ยเฟยไปมิใช่ว่าเสียประโยชน์เปล่าหรือ ดังนั้นองค์หญิงเจินหนิงกับม่อเสี้ยวอวิ๋นจึงจะตายไม่ได้เด็ดขาด ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี เขาหันไปมองหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ต่อให้ข้าคิดร้ายต่อเป่ยหรงแล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรหรือ กลับไปถามเยียหลี่ว์เหยี่ยดูดีหรือไม่ ว่าเขาจะยอมเปิดศึกกับข้าเพื่อเจ้าหรือไม่”
“เจ้า!” หลิ่วกุ้ยเฟยเดือดดาลสุดแสน คำถามนี้ของม่อซิวเหยาเป็นการเยาะเย้ยนางอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าทำไมหรือ” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วยิ้ม
“ท่านอ๋อง รัชทายาทแห่งเป่ยหรงกับองค์ชายเจ็ดเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” จั๋วจิ้งเข้ามารายงานอยู่นอกประตู
“อ้อ คืนนี้จวนฉางซิ่งอ๋องคึกคักยิ่งนัก ให้พวกเขาเข้ามา” เพียงไม่นาน จั๋วจิ้งก็พาเยียหลี่ว์หง องค์หญิงหรงหวา และเยียหลี่ว์เหยี่ยเข้ามา ทุกคนพอเห็นโลหิตที่เจิ่งนองบนพื้นและท่าทางสิ้นสภาพของหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วก็พากันตกตะลึง องค์หญิงหรงหวาเอ่ยปากยิ้มถามว่า “พระชายา เกิดอันใดขึ้นเพคะ”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่มีอันใด แม่นางชิงอีน่าจู่ๆ ก็บุกมายังจวนฉางซิ่งหมายจะทำร้ายอ๋องฉางซิ่งกับองค์หญิง องค์หญิงพลันตกใจจนเผลอไปทำร้ายแม่นางชิงอีน่าเข้า”
“เยี่ยหลี! เจ้าเหลวไหล!” หลิ่วกุ้ยเฟยแผดเสียงขึ้นด้วยความโมโห แต่ตามมาด้วยความเจ็บปวดจากปากแผลนางจึงต้องกัดฟันแน่นด้วยใบหน้าชื้นเหงื่อเย็นเยียบ เยียหลี่ว์เหยี่ยเดินไปประคองหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งโงนเงนอยู่บนเก้าอี้แล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้น” หลิ่วกุ้ยเฟยกัดริมฝีปากเอ่ยด้วยท่าทางอ่อนแอว่า “ท่านอ๋องเพคะ เป็นติ้งอ๋องกับพระชายาที่บงการให้เด็กนั่นทำร้ายข้า” นอกจากองค์หญิงเจินหนิงแล้ว สตรีที่กำลังนั่งอยู่นี้ต่างพากันกรอกตามองฟ้า หลิ่วกุ้ยเฟยนี่ดีชั่วอย่างไรอายุอานามก็สามสิบสี่ สามสิบห้าเข้าไปแล้ว มาทำท่าทางออดอ้อนเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ