ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 355 จุดยืนของจักรพรรดินีหนานจ้าว (3)
“ข้า…”
องค์หญิงซีสยารู้ดีว่าหากตนเองยังอยู่ที่ต้าฉู่ต่อไปคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแน่ แต่จะให้นางทิ้งทุกอย่างกลับไปหนานจ้าวตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทำไม่ได้ นางเสียสละเพื่อม่อจิ่งหลีมามากเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่ช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาของนางก็ไม่สามารถชดเชยได้แล้ว หากนางจากไปเช่นนี้ แล้วสิบกว่าปีที่ผ่านมาของนางทำไปเพื่ออะไร
องค์หญิงซีสยาหันมององค์หญิงอันซี เห็นนางก้มหน้าลูบท้องที่นูนออกมาไม่สนใจตนเอง จึงรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดขององค์หญิงอันซีได้ นางพลันร้องไห้พลางเอ่ยว่า “เสด็จพี่ ท่านช่างใจร้าย!” แล้วจึงหันหลังวิ่งหนีไป
องค์หญิงอันซีหันมองแผ่นหลังที่ไกลออกไปของนางด้วยความนิ่งอึ้ง ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าใจร้ายเกินไปจริงหรือ” องค์หญิงอันซีเอ่ยขึ้น ราวกับพึมพำกับตัวเอง
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าเพียงทำในสิ่งที่เจ้าควรต้องทำ เจ้ามิได้เป็นเพียงพี่สาวขององค์หญิงซีสยา แต่ยังเป็นจักพรรดินีของหนานจ้าวด้วย”
“ใช่แล้ว” องค์หญิงอันซีเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “หากข้าเป็นคนใจอ่อน ไม่กี่ปีมานี้หญ้าบนหลุมศพของข้าคงไม่รู้ว่าสูงไปถึงไหนแล้ว ช่างมันเถิด ปล่อยนางไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะมีวันได้พบกันอีกหรือไม่”
เมื่อเห็นนางเศร้าใจ เยี่ยหลีก็ทำได้เพียงกระซิบปลอบ นางก็ไม่สนิทสนมกับพวกเยี่ยเจินเยี่ยอิ๋งนัก อีกทั้งเดิมทีก็ไม่ใช่ลูกแม่เดียวกัน จึงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกขององค์หญิงอันซีได้ แต่หากเป็นเหล่าลูกพี่ลูกน้องในชาติที่แล้วของตน นางก็คงเสียใจไม่แพ้กัน
งานแต่งงานของม่อจิ่งหลีและตงฟางโยวยังคงดำเนินไปถึงแม้ตงฟางโยวจะคัดค้านถึงที่สุด เพียงแต่ความครื้นเครงภายในงานยังไม่ถึงหนึ่งในสามของงานเลี้ยงวันเกิดท่านชิงอวิ๋นเสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะผู้คนจากแต่ละแคว้นเพิ่งเดินทางกลับไป จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่เดินทางกลับมาอีกครั้งเพื่อเฉลิมฉลองให้หลีอ๋องที่ได้แต่งงานกับผู้สืบทอดของภูเขาซางหมาง หนำซ้ำเมื่อหลีอ๋องได้รับความช่วยเหลือจากภูเขาซางหมางแล้ว ก็เท่ากับกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเขา แค่พวกเขาไม่ก่อเรื่องเพราะเห็นว่าเมืองหลีเป็นถิ่นของติ้งอ๋องกับพระชายาก็ดีมากแล้ว จะส่งคนมาอวยพรเป็นการเฉพาะอีกได้อย่างไร
หลังจากเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเข้าร่วมงานแต่งงานของม่อจิ่งหลีแล้ว คืนนั้นพวกเขาก็ออกจากเมืองหลี มุ่งหน้าไปด่านเฟยหงทันที
ด้านนอกด่านเฟยหงในตอนนี้ ฝ่ายศัตรูต้าฉู่ที่เคยเป็นปึกแผ่นกลับแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย กองทัพของเป่ยหรงกับกองทัพตระกูลม่อคุมเชิงกันอยู่ เมื่อเยียหลี่ว์เหยี่ยกลับไปถึงฐานทัพเป่ยหรงจึงรีบส่งกองกำลังเสริมไปทันที และขยับแนวรบของเป่ยหรงออกไปทางทิศใต้ ในขณะเดียวกันก็ให้ม้าเร็วไปส่งข่าวขอเพิ่มกำลังทหารจากเป่ยหรงอ๋อง เพื่อเตรียมโจมตีกองทัพตระกูลม่อให้พ่ายแพ้ในคราวเดียว
เยียหลี่ว์หงเองก็รักษาคำพูด ส่งข่าวไปหาเป่ยหรงอ๋องพร้อมกัน ขอให้เฮ่อเหลียนเจินนำทัพมาช่วยเยียหลี่ว์เหยี่ยโจมตีต้าฉู่ ตั้งแต่เฮ่อเหลียนเจินพ่ายแพ้ให้กับเด็กอายุสิบแปดปีอย่างม่อซิวเหยาเป็นต้นมา เขาก็ถูกเป่ยหรงอ๋องทอดทิ้ง ถึงแม้สถานะของเขาในช่วงนี้จะดีขึ้นบ้าง แต่ความพ่ายแพ้ของเขาในตอนนั้นก็ทำให้เป่ยหรงไม่สามารถฟื้นกลับมาได้อีกหลายปี เป่ยหรงอ๋องจึงดูถูกความสามารถของเขามาก และไม่เคยเรียกใช้งานเขาอีกเลย
ถึงแม้เยียหลี่ว์เหยี่ยจะสงสัยว่าเยียหลี่ว์หงมีแผนลับอะไรจึงยอมมาช่วยเขาเช่นนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนเองได้วางแผนมัดตัวเยียหลี่ว์หงไว้แล้วเมื่อเขากลับไปถึงเป่ยหรง จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากเฮ่อเหลียนเจินจริงๆ
กองทัพเสริมจากเป่ยหรงไม่สามารถมาถึงได้ในทันใด แต่เยียหลี่ว์เหยี่ยก็ไม่ได้สนใจ ยังคงระดมพลจากทุกแห่งเพื่อเตรียมชิงจู่โจมกองทัพตระกูลม่อก่อนในขณะที่กองทัพตระกูลม่อยังไม่พร้อม แต่หลี่ว์จิ้นเสียนซึ่งตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่ชายแดนกลับไม่ได้มีการเตรียมพร้อมอย่างที่เขาคิดเอาไว้ เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของกองทัพเป่ยหรง เขาก็เร่งระดมพลเช่นกัน ภายในห้าวัน กองทัพทั้งสองสู้รบกันไปเกินสามครั้งแล้ว ภาคเหนือของดินแดนต้าฉู่จึงเข้าสู่สภาวะสงครามอีกครั้ง
แต่ในยามนี้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไม่ได้มาปรากฏตัวที่สนามรบ แต่กลับไปอยู่บนดินแดนเป่ยจิ้ง ด้านนอกของด่านจื่อจิงอย่างสบายใจ หลังจากย้อมผมขาวที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวเป็นสีดำแล้ว ทั้งสองคนเพียงแค่แปลงโฉมเล็กน้อยก็กลายเป็นคู่สามีภรรยาวัยเยาว์หน้าตาไม่ธรรมดาขึ้นมาทันที ต่างกับติ้งอ๋องและพระชายาในเมืองหลีผู้ดูเคร่งขรึมไม่เกรงกลัวสิ่งใดอย่างสิ้นเชิง
แต่ผู้ติดตามของม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี่กลับเป็นถานจี้จือ ซึ่งเพิ่งถูกปล่อยตัวจากตำหนักติ้งอ๋องมาได้ไม่นาน บนโลกนี้มีคนรู้จักหน้าตาที่แท้จริงของถานจี้จืออยู่น้อยมาก แถมส่วนมากยังเสียชีวิตไปแล้วอีก หลังจากเก็บตัวในช่วงสองปีที่ผ่านมา คนที่จำหน้าเขาได้จึงยิ่งน้อยลงกว่าเดิม ดังนั้น ต่อให้เขาเดินอยู่ในดินแดนเป่ยจิ้งด้วยรูปลักษณ์เดิมก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนจำได้
ไม่รู้ว่าเหรินฉีหนิงกระหายในความสำเร็จตรงหน้าหรือมั่นใจในตัวเองจริงๆ เพราะตั้งแต่กองทัพเป่ยจิ้งจู่โจมด่านจื่อจิงสำเร็จ เขาก็ย้ายพระราชวังเป่ยจิ้งจากที่เดิมมาอยู่ในเมืองชางชิ่ง เมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของต้าฉู่ และอยู่ห่างจากด่านจื่อจิงออกไปเพียงสามร้อยกว่าลี้เท่านั้น เขาย้ายเมืองหลวงมาที่นี่ แถมยังสร้างพระราชวังขึ้นอีก แม้ว่าบัดนี้จะยังสร้างพระราชวังไม่เสร็จ แต่ก็เริ่มเห็นเค้าโครงแล้ว ภายในเมืองชางชิ่งมีบ้านเรือนหรูหราโอ่อ่าจำนวนมาก ความหรูหราสูสีกับเมืองหลีและฉู่จิงเลยทีเดียว
และเช่นกัน ภายในเมืองชางชิ่งก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น นอกจากบ้านเรือนใหญ่โตที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มในบริเวณเดียวกันแล้ว บริเวณที่เหลือก็ดูทรุดโทรมยิ่งนัก สภาพบ้านเรือนที่ผุพังเป็นภาพที่เห็นได้เป็นทั่วไปเป็นปกติ บรรยากาศไม่เหมือนเมืองที่เคยเป็นเมืองใหญ่ในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของต้าฉู่เลยสักนิด ราวกับนอกจากขุนนางระดับสูงจำนวนน้อยที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้แล้ว ก็มีเพียงคนจนที่ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ไม่มีข้าวจะกิน เหล่าคนที่ไม่ร่ำรวยมากหรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้องซึ่งควรจะเป็นประชากรหลักของเมืองราวกับไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ภาพความแตกต่างสุดขั้วเช่นนี้ไม่ควรจะปรากฏในเมืองหลวงอย่างชางชิ่ง หรือกระทั่งเมืองธรรมดาเล็กๆ ทั่วไป
ถานจี้จือตามเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่ไม่โดดเด่นแห่งหนึ่งในตัวเมือง ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมพาทั้งสามคนไปยังห้องลับแห่งหนึ่งบนชั้นสอง แล้วจึงหันมาคำนับอย่างนอบน้อม “คาราวะท่านอ๋องและพระชายา”
เยี่ยหลีหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากหรอก สองปีที่ผ่านมาลำบากเจ้ามามากแล้ว”
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรทำ ข้าจะกล้าบ่นว่าเหนื่อยได้อย่างไร ข้าได้เตรียมที่พักให้ท่านอ๋องและพระชายาไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาพักผ่อนได้อย่างสบายใจ หากมีอะไรให้ข้ารับใช้ ขอให้พระชายารับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ดีมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด หากมีอะไรข้ากับท่านอ๋องจะเรียกเจ้าเอง”
“ข้าขอลา” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมมิได้ถามอะไรต่อ เพียงคำนับแล้วถอยออกไป
“นึกไม่ถึงว่ากระทั่งในเมืองชางชิ่งก็มียังคนเป็นหูเป็นตาให้ตำหนักติ้งอ๋อง คนของติ้งอ๋องกระจายไปทั่วทุกแห่งดีเสียจริง ที่เหรินฉีหนิงมาหาเรื่องท่านอ๋อง คงเพราะฟ้าต้องการให้เขาตายกระมัง” เมืองชางชิ่งเพิ่งจะกลายเป็นเมืองหลวงของเป่ยจิ้งได้เพียงปีกว่าเท่านั้น เมื่อมาเห็นสภาพเมืองเช่นนี้แล้ว ก็รู้ได้เลยว่าเดิมทีเหรินฉีหนิงคงต้องกวาดล้างคนที่ไม่เห็นด้วยกับเขาออกไปจนหมดเป็นแน่ แต่บัดนี้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมคนนี้ยังอยู่ในเมืองได้อย่างสงบ แถมยังไม่รู้สึกกังวลแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนที่เก่งมากในเมืองนี้ ไม่เพียงแค่เหรินฉีหนิงเท่านั้น ถานจี้จือเองก็รู้สึกท้อใจไปด้วยเช่นกัน ข้าจะไปแก่งแย่งอะไรกับคนเช่นนี้ได้