ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 361-3 ควำมพ่ำยแพ้ของกองทัพเป่ยจิ้ง กำร ตำยของเหรินฉีหนิง
องค์หญิงเห่อหลันตอบกลับเสียงเย็นอย่างไร้ซึ่ง ความหวาดกลัว “ข้าจะอธิษฐานขอพรกับเทพเจ้าให้เจ้า ตายแล้วไปเกิดใหม่เร็วๆ นะ”
เมื่อเห็นเหรินฉีหนิงยอมประนีประนอมแล้ว เยี่ย หลีจึงไม่พูดอันใดให้มากความ ก าชับฉินเฟิงที่อยู่ข้างกาย ว่า “ส่งคนตามคุ้มกันองค์หญิงเห่อหลันไปส่งยังกองทัพที่ อยู่ด้านหน้า พร้อมกับส่งองค์หญิงออกจากชายแดนด้วย เลย” ฉินเฟิงผงกศีรษะนิ่งๆ “เชิญพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
องค์หญิงเห่อหลันรู้ว่าเยี่ยหลีเป็นกังวลว่าเหรินฉี หนิงจะลอบวางแผนเล่นเล่ห์ถึงได้ให้ตนเองไปก่อน จึงหัน ไปท าหน้าทะเล้นใส่เยี่ยหลีครั้งหนึ่ง โบกมือให้แล้วขึ้น หลังม้าที่ผู้คุ้มกันจูงมาให้ทางด้านหลัง แล้วน าคนควบม้า จากไป
书呆子
“พระชายาติ้งอ๋อง! พบกันในโอกาสหน้านะ!”
องค์หญิงเห่อหลันจากไปแล้ว ริมถนนหนทางกว้าง ใหญ่จึงเหลือเพียงเยี่ยหลีและเหรินฉีหนิง คนของทั้งสอง ฝ่ายยืนคุมเชิงกันอยู่ สองวันมานี้เหรินฉีหนิงถูกท าให้เกิด โทสะมาไม่น้อย แต่หลังจากได้ระเบิดโทสะออกไปแล้ว แล้วต้องมาเผชิญหน้ากับเยี่ยหลีก็จ าต้องฝืนสงบสติ อารมณ์เอาไว้ เมื่อมองไปทางใบหน้าสวยสดงดงาม ของเยี่ยหลีแล้วก็ยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “วิธีการของพระ ชายาติ้งอ๋องช่างล้ าเลิศยิ่งนัก!”
เยี่ยหลียกมือปัดปอยผมที่ระอยู่ข้างแก้ม ยิ้มเรียบๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “คุณชายเหรินชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ บังเอิญสบโอกาสเท่านั้นเอง” หน้าผากเหรินฉีหนิงมีเส้น เอ็นปูดโปน แววตาปรากฏกลิ่นอายเหี้ยมโหดขึ้นมา ชั่วขณะ เหรินฉีหนิงที่ได้ยินค าพูดของเยี่ยหลีแล้วก็รู้สึกได้ อย่างชัดเจนว่านางก าลังเหน็บแหนมเขาว่าไม่มี
书呆子
ความสามารถในการจัดการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี ท า ให้นางมีโอกาสอาศัยช่องโหว่นี้วางแผนเล่นงานเขาได้
เหรินฉีหนิงสูดลมหายใจลึกๆ ระงับคลื่นโทสะที่ พลุ่งพล่านในใจเอาไว้แล้วกวาดตามองไปยังทุกคนที่อยู่ ข้างกายเยี่ยหลี พร้อมเอ่ยเสียงเยาะหยันว่า “ล้วนกล่าว กันว่าติ้งอ๋องและพระชายาติ้งอ๋องมักเป็นดั่งเงาตามตัว สนิทสนมใกล้ชิดกัน เหตุใดในครานี้จึงไม่เห็นติ้งอ๋องออก มาท าศึกเลยเล่า คงไม่ใช่ว่าดูแคลนข้า รังเกียจที่จะมา ปรากฏตัวหรอกนะ?”
“เหตุใดคุณชายเหรินถึงได้ถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วด้วย เล่า ยามนี้ท่านอ๋องของพวกเราก าลังท าศึกอยู่กับแคว้น เป่ยหรง จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ได้อยู่ที่นี่” เยี่ยหลีตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ากับท่านอ๋องถึงแม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ก็หาได้ใช่คนเดียวกันแม่ แล้วจะไม่มียามที่ต้องแยก จากกันบ้างเลยหรือไร”
书呆子
เหรินฉีหนิงจ้องเยี่ยหลีเขม็ง ในรอยยิ้มแฝงไปด้วย กลิ่นอายหนาวเหน็บเย็นยะเยือกอยู่หลายส่วน “ได้ยินมา เนิ่นนานแล้วว่าติ้งอ๋องบัญชารบได้ดั่งเทพ ดูท่าครั้งนี้ข้า คงไม่มีโอกาสได้รับค าชี้แนะจากเทพแห่งสงครามของต้า ฉู่แล้ว เช่นนั้นข้าได้ขอค าชี้แนะเรื่องพิชัยสงครามจาก พระชายาก็ถือว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมาแล้ว เพียงแต่…หาก เกิดพระชายาเป็นอันใดขึ้นมาอีกครั้ง…ข้าล่ะอยากเห็นว่า ติ้งอ๋องจะยังมีโอกาสฆ่าครอบครัวข้ายกครัวอีกหรือไม่!” เหรินฉีหนิงเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย วาจาก็มีกลิ่นอาย กระหายเลือดเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน สองปีมานี้ ระหว่าง ชนเผ่าเป่ยจิ้งและขุนนางเก่ามีความขัดแย้งที่รุนแรงมาก ขึ้น แรกเริ่มเกิดจากม่อซิวเหยาส่งคนมาลอบสังหารราชินี และเหล่าองค์ชายองค์หญิงของเป่ยจิ้ง สามารถกล่าวได้ ว่า ความพ่ายแพ้ที่เหรินฉีหนิงมีในวันนี้ก็เป็นเพราะแอบ ซ่อนมูลเหตุแห่งความชั่วร้ายในตอนนั้นเอาไว้ ยามที่เรื่อง มาถึงตัวอาจจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อย้อนคิดกลับไปหลังจาก
书呆子
เกิดเรื่อง แม้ว่าเหรินฉีหนิงจะเป็นบุคคลที่ท าทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ยังไม่ส าเร็จ ก็อดที่จะรู้สึก หวาดกลัวจับใจต่ออุบายและแผนการของม่อซิวเหยา ไม่ได้
เยี่ยหลีแย้มริมฝีปากยิ้มบาง “ข้าจะให้คุณชาย ชดเชยด้วยชีวิตคนทั้งครอบครัวของท่านได้เยี่ยงไร ตัวข้า สามารถดูแลตนเองได้ และหวังว่าคุณชายจะดูแลตนเอง ได้เช่นกัน”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เหรินฉีหนิงยิ้มเย็นตอบ
“ลาก่อน” ในยามนี้กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายได้ปลด หน้ากากของตนลงหมดแล้ว จึงไม่มีอันใดต้องเกรงใจกัน อีก
“ลาก่อน” เหรินฉีหนิงตอบ
书呆子
เหรินฉีหนิงที่ยืนเอามือไพล่หลังและไม่รู้ว่าคิดอันใด อยู่ริมทางถนนโบราณมองส่งเยี่ยหลีและคนทั้งกลุ่มจาก ไปด้วยความเยือกเย็น เมื่อเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ เหล่านัก ฆ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปรบกวน ผ่านไปครู่ หนึ่งก็มีแม่ทัพใต้บังคับบัญชาที่รอไม่ไหว เห็นเหรินฉีหนิง ยืนใจลอยอยู่ตรงนั้นก็รีบก้าวเข้ามาท าความเคารพ “ท่านอ๋อง กองทัพเป่ยจิ้งกับ…”
“ไปแล้ว” เหรินฉีหนิงเอ่ยเสียงเย็น
“ข้าน้อยจะไปตามพวกนางกลับมาเดี๋ยวนี้?”
“ไม่ต้องแล้ว” เหรินฉีหนิงส่ายศีรษะ หมุนกายเดิน กลับไป เอ่ยเสียงขรึมว่า “กลับกันเถิด ใกล้จะต้องเตรียม ท าศึกใหญ่แล้ว อย่างมากที่สุดก็สามถึงห้าวัน จ าเป็นต้อง ฆ่าทหารของเหลิ่งไหวที่ด่านจื่อจิงให้ได้” แม่ทัพที่ตามอยู่ ด้านหลังตกตะลึง “ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเรา
书呆子
ถูกกองทัพตระกูลม่อขนาบโจมตีทั้งหน้าและหลังหรอก หรือ ท่านอ๋อง พวกเราควรจะล่าถอยก่อนหรือไม่”
เหรินฉีหนิงมองกลับมาที่เขาอย่างไม่ยินดียินร้าย พร้อมกับเอ่ยถามว่า “ถอยไปที่ใด ด้านหลังคือด่านจื่อจิง ทางทิศเหนือแม้ว่าจะบุกทะลวงการปิดล้อมของเยี่ยหลี ไปได้ แต่เจ้าคิดว่าชาวเป่ยจิ้งจะไม่อาศัยช่วงเวลานี้ กลับมาแว้งกัดเราหรือ”
แม่ทัพที่อยู่ด้านหลังหน้าถอดสีอย่างอดไม่ได้ เมื่อ ครุ่นคิดไตร่ตรองแล้วก็ตกใจจนเหงื่อเย็นๆ ไหลท่วมร่าง “ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเราจะท าเช่นไรดี”
“ท าเช่นไรดีอย่างนั้นหรือ” เหรินฉีหนิงที่เดินอยู่ ด้านหน้าฝีเท้าสม่ าเสมอ ดูไม่ว้าวุ่นเลยสักนิด เพียงแต่ไม่ มีใครมองเห็นว่าบนใบหน้าเขามีร่องรอยแห่งความสับสน พาดผ่าน…ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าท าเช่นไรถึงจะดี…
书呆子
ด้านนอกด่านจื่อจิงมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลแต่มี ประชาชนอยู่เพียงน้อยนิดมาตั้งแต่โบราณกาล กระทั่งคู เมืองและก าแพงเมืองที่พอไปวัดไปวาได้ยังมีอยู่เพียงไม่กี่ แห่ง การท าศึกในสถานที่เช่นนี้จึงไม่เน้นเรื่องยุทธพิธีและ ภูมิประเทศอันใดมากนัก ด้วยภูมิประเทศที่เป็นที่ราบโล่ง ทหารและม้าทั้งหมดจึงอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ไร้ซึ่ง สถานที่ก าบัง
แต่ถึงแม้ว่าทหารและม้าของเหรินฉีหนิงจะใช้การ ไม่ได้ แต่กลับมีจ านวนมากนับแสนนาว ค าโบราณกล่าว ไว้ว่า มดจ านวนมากสามารถกัดช้างตายได้ คนจ านวน มากก็ย่อมมีความแข็งแกร่ง เหลิ่งไหวที่รีบรุดตามมา น า กองทัพตระกูลม่อมาสองแสนกว่านายบวกกับทัพใหญ่ ทางด้านนี้ของเยี่ยหลี รวมกันแล้วก็เพียงห้าแสนกว่านาย เท่านั้น ในช่วงเวลาแรก กองทัพทั้งสองฝ่ายจึงเพียง
书呆子
เผชิญหน้ากันที่นอกด่านจื่นจิ่งอย่างไม่มีใครยอม ลดราวาศอกให้ใคร
ผ่านไปไม่กี่วัน กองทัพตระกูลม่อก็ส่งสารที่พระ ชายาติ้งอ๋องเขียนขึ้นด้วยตนเองออกมา ซึ่งมีเนื้อหาความ ว่าราษฎรเป็นผู้บริสุทธิ์ กองทัพตระกูลม่อทางทิศเหนือ ก าลังท าศึกกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางทิศเหนือ และไม่ ยินยอมที่จะหุนหันพลันแล่นท าสงครามกับคนของตนเอง ขอเพียงทหารเป่ยจิ้งยอมจ านน ก็จะไม่ต าหนิถึงความผิด ในอดีต และหากยินเดีเข้าร่วมกองทัพ ก็สามารถเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพตระกูลม่อได้ แต่หากไม่ยินดี ก็ สามารถถอดเกราะกลับมาตุภูมิของตนไปได้เช่นกัน
อีกด้านหนึ่งก็ไม่รู้ว่าข่าวที่เหรินฉีหนิงหาใช่ พระโอรสก าพร้าจากราชวงศ์ก่อนไม่ถูกลือออกมาจาก แหล่งที่มาใด อีกทั้งยังมีขุนนางเก่าแก่หลายคนที่เดิมเคย เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหรินฉีหนิงออกมาเป็นพยาน
书呆子
ด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแค่นายทหารธรรมดา ระดับล่างที่เริ่มเอาใจออกห่าง กระทั่งจิตใจของแม่ทัพใต้ บังคับบัญชาที่เหรินฉีหนิงให้ความเชื่อใจก็เริ่มสั่นคลอน ภายในค่ายทหารเป่ยจิ้ง มีทหารหลบหนีแทบทุกวัน ที่ เลวร้ายยิ่งกว่าคือพวกเขายอมแพ้ให้กับศัตรูในสนามรบ แต่ไม่ว่าเหรินฉีหนิงจะลงโทษรุนแรงเพียงใดก็ห้ามไม่ได้ ได้แต่จนใจไม่รู้จะท าเช่นไรดี
วันที่สิบห้าเดือนแปด กองทัพทั้งสองได้สู้รบตัดสิน กันอีกครั้งที่นอกเมืองชางชิ่ง
เหลิ่งไหวที่เดิมแบ่งทัพต่อสู้ออกเป็นสองทางก็น า ทัพใหญ่กลับมารวมพลกับเยี่ยหลีและเหอซู่ในสนามรบ ส่วนเหรินฉีหนิงที่เดิมมีทัพใหญ่นับล้านอยู่ด้านหลังกลับ เหลือทหารที่ขวัญก าลังย่ าแย่อยู่ไม่ถึงสองแสนนาย การ จัดทัพไม่เป็นระเบียบ เมื่อเทียบกับกองทัพตระกูลม่อที่ สวมชุดด าทั้งร่าง แผ่รังสีโหดเหี้ยมที่อยู่ด้านหลังเยี่ยหลี
书呆子
แล้วก็ไม่สามารถน ามาเปรียบเทียบกันได้เลย ทุกคนล้วน ทราบดีว่าวันนี้จะเป็นการท าสงครามครั้งสุดท้าย
เหรินฉีหนิงที่สวมเสื้อคลุมลายมังกรสีเหลืองสว่างขี่ อยู่บนหลังยอดอาชาสีน้ าตาล มองเยี่ยหลีและคนอื่นๆ ที่ อยู่ตรงข้ามด้วยสายตาเย็นชา แม้สีหน้าจะดูย่ าแย่แต่ก็ยัง เจือแววดื้อรั้นไม่ยอมแพ้อยู่หลายส่วน
เงียบอยู่พักหนึ่ง เหรินฉีหนิงก็ชักกระบี่ออกมาชี้ไป ทางเยี่ยหลี เอ่ยเสียงเข้มว่า “พระชายาติ้งอ๋อง ความพ่าย แพ้ของข้าในวันนี้ไม่ใช่ความผิดพลาดในการท าสงคราม แต่เป็นสวรรค์ที่ผิดต่อข้า…” หากเอ่ยถึงเพียงการเครื่อน ทัพและจัดกระบวนทัพ เอาเข้าจริงหลายวันมานี้ก็ไม่มี อะไรน่าพูดถึงเลยจริงๆ เดิมทีเหรินฉีหนิงกับกองทัพ ทหารล้านนายไม่ควรจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลา สถานที่ ผลประโยชน์หรือความสามัคคีของผู้คน เหรินฉีหนิงถึง
书呆子
ขั้นไม่มีเลยสักอย่างเดียว แล้วจะไม่พ่ายแพ้อย่างไรไหว และเมื่อพ่ายแพ้แล้วจะให้เขายอมรับได้อย่างไร เยี่ยหลี ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังนางก็ เอ่ยเยาะเย้ยว่า “สวรรค์ย่อมให้ความช่วยเหลือผู้ที่ตั้งตน อยู่ในธรรม ถ้าหากว่าท่านไม่ผิดต่อสวรรค์ สวรรค์หรือจะ ผิดต่อท่าน”
เหรินฉีหนิงใบหน้านิ่งขรึม ไม่พูดอันใดให้มากความ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระชายาติ้งอ๋อง เชิญมาประมือกัน สักครั้งได้หรือไม่”
เหลิ่งไหวที่อยู่ด้านขวามือของเยี่ยหลีถองม้าให้วิ่ง ออกมา เอ่ยเสียงเย็นว่า “เหตุใดต้องให้พระชายาเป็นผู้ ลงมือกับแม่ทัพที่พ่ายแพ้สงครามอย่างเจ้าด้วย ตาแก่ อย่างข้าจะขอแรงท่านอ๋องแห่งเป่ยจิ้งให้ช่วยชี้แนะข้า แทนก็แล้วกัน”