ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 361-4 ควำมพ่ำยแพ้ของกองทัพเป่ยจิ้ง กำร ตำยของเหรินฉีหนิง
เหรินฉีหนิงเหยียดยิ้มดูแคลน เอ่ยตอบว่า “แม่ทัพ เฒ่าเหลิ่ง อายุท่านมากขนาดนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่สงบจิต สงบใจพักผ่อนยามแก่เฒ่าอยู่ที่บ้านเล่า ข้าไม่รังเกียจที่ จะรังแกท่านที่เป็นผู้เฒ่าร่างกายอ่อนแอหรอกนะ” เหลิ่ง ไหวโกรธจนหน้าเขียว ค ารามเสียงดังตวัดกระบี่ชิงเฟิงพุ่ง ไปทางเหรินฉีหนิง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขา เหรินฉี หนิงก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ควงกระบี่โต้กลับ พลังกระบี่ กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
ทุกคนเห็นเหลิ่งไหวประมืออยู่กับเหรินฉีหนิงก็ ไม่ได้ก้าวเข้าไปช่วยเหลือ มีเพียงเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่คิ้วคมนั้น ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จ้องเขม็งไปยังทั้งสองที่ประมือ กันอยู่ ส่วนกระบี่ในมือเขาถูกดึงออกจากฝักนานแล้ว
书呆子
เยี่ยหลีทอดถอนใจเสียงเบา “แม่ทัพเฒ่าเหลิ่งไม่ใช่คู่มือ ของเหรินฉีหนิงหรอก เหลิ่งเอ้อร์ เจ้าเข้าไปช่วยเถิด”
แม้ว่าวิทยายุทธ์ของเหรินฉีหนิงจะสูงส่ง แต่หากฉิน เฟิงและคนอื่นๆ บุกเข้าไปพร้อมกัน เขาก็ไม่มีทางรับมือ ได้ แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยหลีไม่ชอบประเพณีการต่อสู้แบบ ตัวต่อตัวอันแสนน่าเบื่อก่อนจะลงมือจริงอยู่แล้ว แต่ กระนั้นด้วยเพราะเหลิ่งไหวมีความแค้นเรื่องการสังหาร บุตรชายกับเหรินฉีหนิง เหลิ่งไหวอายุไม่น้อยแล้ว ก่อน หน้านี้ที่ฝืนตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่ด่านจื่อจิงและทุ่มเท แรงกายแรงใจให้กับฉู่จิง เดิมพลังลมปราณเขาก็บาดเจ็บ หนักอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมพักผ่อน น าทหารไป รักษาการณ์ด่านจื่อจิงก็เพื่อแก้แค้นให้กับบุตรชายอันเป็น ที่รัก จึงเป็นธรรมดาที่เยี่ยหลีจะไม่สามารถปล่อยให้เหลิ่ง ไหวผิดหวังได้
书呆子
เหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นกังวลต่อความปลอดภัยของเหลิ่ง ไหวอยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินค าพูดของเยี่ยหลีจึงรีบพุ่งตัว ไปทันที กระบี่เล่มยาวปัดคมกระบี่ที่จะแทงเหลิ่งไหว ออกไป เหรินฉีหนิงยิ้มเยาะ “ตายไปแล้วหนึ่งแต่ก็ยังมี บุตรชายที่ดีอยู่อีกคนนะ” เขาไม่เอ่ยอันใดให้มากความ อีก ตวัดกระบี่ไปทางเหลิ่งเฮ่าอวี่และเหลิ่งไหวติดต่อกัน สามกระบวนท่า เหลิ่งเฮ่าอวี่ตวัดร่ายร ากระบี่ออกเป็น ม่าน กระแทกคมกระบี่ของเหรินฉีหนิงออกไป
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา “พระ ชายา เกรงว่าเหลิ่งไหวและเหลิ่งเฮ่าอวี่จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ เหรินฉีหนิงนะขอรับ” วิทยายุทธ์ของเหรินฉีหนิงสูงส่ง ไม่ เพียงแต่อยู่ในสิบอันดับแรก อย่างน้อยก็ถูกจัดให้อยู่ใน ห้าอันดับแรก เมื่อเทียบกับหลิงเถี่ยหานและเหลยเจิ้นถิง แล้ว ส่วนที่เขาด้อยกว่าก็มีเพียงแค่ระยะเวลาและ ประสบการณ์เท่านั้น ส าหรับม่อซิวเหยาที่เป็นปีศาจมา
书呆子
ตั้งแต่เกิดเช่นนั้นเป็นธรรมดาที่ไม่อาจน ามาเปรียบเทียบ ได้ แต่เมื่อเทียบกับเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่เดิมวิทยายุทธ์นับได้แค่ ว่าไม่เลวกับเหลิ่งไหวที่มีวิทยายุทธ์เช่นนี้ กลับไม่รู้ว่า เหนือชั้นกว่ามากเท่าใด
เยี่ยหลีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องสนใจพวกเขา ลง มือเถิด ต้องท าให้แน่ใจว่าสงครามจะสิ้นสุดลงในวันนี้”
ทันใดนั้นกลองศึกก็ดังสนั่นสะท้านฟ้า กองทัพ ตระกูลม่อที่อยู่ด้านหลังเยี่ยหลีเปล่งเสียงค ารามพร้อมพุ่ง ไปเข่นฆ่ากองทัพเป่ยจิ้งอย่างพร้อมเพียงกัน หลายวันมา นี้กองทัพเป่ยจิ้งที่หลบหนีก็หลบหนี ที่ยอมจ านนก็ยอม จ านน เหลือเพียงแค่คนเหล่านี้ที่หวาดกลัวจนตัวสั่น ขวัญก าลังใจหดหายไปจนไม่มีเหลือ เมื่อเห็นกองทัพ ตระกูลม่อที่พุ่งเข้ามาเข่นฆ่าราวกับน้ าหลาก เพียงชั่ว พริบตากองทัพก็แตกซ่านกระเจิดกระเจิงในทันที
书呆子
ท่ามกลางกองทัพที่วุ่นวาย เหรินฉีหนิง เหลิ่งไหว และเหลิ่งเฮ่าอวี่ ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปในสถานที่ที่ผู้คนบาง ตา สุดท้ายก็ยังคงเป็นเหรินฉีหนิงที่ตวัดกระบี่ด้วยความ หงุดหงิดใส่เหลิ่งไหวจนลงไปกองกับพื้นและได้รับ บาดเจ็บไม่น้อย
“ท่านพ่อ!” เหลิ่งเฮ่าอวี่หน้าถอดสี ตวัดกระบี่ใส่เห รินฉีหนิงอยู่หลายครา เยี่ยหลี ฉินเฟิงและคนอื่นๆ ที่อยู่ ด้านหลังก็ตามมาสมทบเช่นกัน ฉินเฟิงเห็นเหลิ่งไหว บาดเจ็บสาหัส บนร่างกายเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็มีบาดแผลนับไม่ ถ้วน จึงชักกระบี่ออกมาพุ่งตัวออกไปอย่างห้าวหาญ จั๋วจิ้งที่อยู่เบื้องหลังก็เข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้ด้วย ส่วนเยี่ย หลีหันไปเรียกคนให้มาน าตัวเหลิ่งไหวไปรักษาอาการ บาดเจ็บ
เหรินฉีหนิงเหน็ดเหนื่อยกับการท าสงคราม ติดต่อกันหลายวัน เมื่อต้องมารับมือเหลิ่งเฮ่าอวี่ ฉินเฟิง
书呆子
และจั๋วจิ้งพร้อมๆ กัน อาการอ่อนล้าจึงค่อยๆ เผย ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ฉินเฟิงที่เห็นช่องโหว่นี้ แทง กระบี่เสียบทะลุหน้าอกเขาไปอย่างไร้ซึ่งความปรานี
เหรินฉีหนิงสีหน้าขาวซีด เลือดแดงเข้มรินไหล ออกมาจากมุมปาก ตวัดกระบี่ดันทั้งสามคนออกไป ก่อน จะพุ่งทะยานไปด้านหน้า ทุกคนพอเห็นเขาจะหลบหนีจึง รีบตามไปทันที
ข้างทะเลสาบอันเงียบสงบแห่งหนึ่งนอกเมืองชาง ชิ่ง เหรินฉีหนิงที่สวมชุดมังกรสีเหลืองอ่อนนั่งอยู่ตรงนั้น เงียบๆ มองไปยังคูเมืองและก าแพงเมืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เขาเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งชีวิต ทุ่มเททุกหนทางเพื่อให้ได้สิ่ง ที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมากลับเป็นเมืองขนาดย่อม และวังหลวงที่เสร็จสมบูรณ์ไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
เหนื่อยจริงๆ…
书呆子
เมื่อหน่วยกิเลนเป็นผู้ลงมือย่อมไม่เคยพลาด ดาบนี้ ของฉินเฟิงดูแล้วคล้ายกับว่าแทงไม่ถูกจุดส าคัญ แต่เอา เข้าจริงแล้วก็แค่ยังไม่ตายชั่วคราว ดีกว่าขาดใจในทันที อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหรินฉีหนิงสกัดจุดไปตาม บาดแผลหลายแห่ง แต่เลือดก็ยังคงรินไหลออกมาไม่หยุด จึงคร้านจะไปสนใจมันอีก เขาถือโอกาสปักกระบี่ล้ าค่าลง บนพื้นข้างกาย และนั่งผ่อนลมหายใจยาวอยู่ข้าง ทะเลสาบเพียงล าพัง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยหลีและคนอื่นๆ ก็ตามมา เมื่อ เห็นเงาร่างที่อยู่ริมทะเลสาบ เยี่ยหลีก็ยกมือห้ามทุกคน แล้วก้าวไปด้านหน้าเพียงล าพัง ฉินเฟิงหันไปสบตาจั๋วจิ้ง แต่ละคนยืนอยู่คนละฝั่งจ้องมองเงาร่างที่สวมชุดสีเหลือง อ่อนเขม็งด้วยความระแวดระวัง
เหรินฉีหนิงที่ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลังก็หัน กลับไปมอง พอเห็นเป็นเยี่ยหลีก็ส่งยิ้มบางๆ ให้ พลาง
书呆子
เอ่ยว่า “พวกเจ้ามาแล้ว ถ้าข้าไปกว่านี้ ข้าก็ไม่แน่ว่าจะ รอพวกท่านไหวหรือไม่”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงมองที่พื้น บนพื้นดินใต้ร่างเขาถูก โลหิตสีแดงฉานอาบย้อมไปหมดแล้ว สีหน้าขาวซีดขาว ราวกับกระดาษ ไร้ซึ่งท่าทางกระปรี้กระเปร่าเหมือนยาม ถือกระบี่ท าสงครามกับทุกคน
“เป่ยจิ้งอ๋องมีอันใดจะกล่าวหรือ” เยี่ยหลีก้มศีรษะ ถาม
เหรินฉีหนิงโบกมืออย่างไม่ใส่ “เจ้าเรียกข้าว่าเหริน ฉีหนิงก็ได้ ข้าอยู่กับชื่อนี้มาทั้งชีวิต…ก็คร้านจะเปลี่ยน แล้ว” ก่อนจะสิ้นลมเช่นนี้ เขาไม่ยึดติดกับชื่อเรียกเป่ยจิ้ง อ๋องและตัวตนของหลินย่วนอีกต่อไป ความจริงแล้วมี เพียงแค่ชื่อเหรินฉีหนิงชื่อเท่านั้นที่อยู่กับเขามาทั้งชีวิต ส่วนอีกสองชื่อนั้น บางทีเขาเพียงแค่ต้องการมัน
书呆子
เยี่ยหลีเปลี่ยนค าเรียก “คุณชายเหรินมีอันใดจะ กล่าวหรือ”
เหรินฉีหนิงกล่าวเสียงเรียบ “ก็ไม่มีอันใดมาก เพียงแต่ข้าใกล้จะตายแล้ว…จึงไม่อยากตายไปอย่างโดด เดี่ยวเท่านั้นเอง แต่ว่าช่างน่าเสียดายที่ไม่สามารถประมือ กับพระชายาก่อนสักครา…” เยี่ยหลีเอ่ย “เกรงว่าวิทยา ยุทธ์เพียงน้อยนิดของข้าจะไม่เข้าตาคุณชายเหริน”
เหรินฉีหนิงมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางเอ่ย ว่า “ความจริงแล้วข้าเคยคิดอย่างจริงจังเช่นกันว่าจะ พยายามสุดชีวิตเพื่อสังหารท่านดีหรือไม่ เพียงแค่คิดถึง ท่าทางตอนที่ม่อซิวเหยาได้ข่าวเรื่องการตายของท่าน ข้า ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากแล้ว”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใด ก่อนหน้านี้คุณชายเหรินจึงไม่ลงมือเล่า”
书呆子
เหรินฉีหนิงส่ายศีรษะ ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ข้า ไม่มั่นใจว่าจะสังหารท่านได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พอลอง คิดๆ ดูแล้วก็เห็นว่าออกจะน่าเบื่อหน่าย หากม่อซิวเหยา เจ็บปวดเจียนจะขาดใจ ก็ไม่ได้ท าให้ข้าได้ประโยชน์อันใด …แม้ว่าผู้คนมากมายล้วนรู้สึกว่าเรื่องต่างๆ ที่ข้ากระท า ช่างน่าขัน แต่ข้ามักจะรู้สึกว่า…พระชายา ท่านจะไม่ หัวเราะเยาะข้า”
“คนที่พยายามเพื่อความเชื่อและศรัทธาของตนเอง ไม่มีสิ่งใดน่าขัน แม้ว่าความเชื่อของคนผู้นั้นจะเป็นเรื่อง ผิดในสายตาของคนใต้หล้าก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น…บนโลก ใบนี้มีผู้ใดที่เข้าใจว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกบ้างเล่า?” เยี่ยหลี เอ่ยเสียงเรียบ
“พูดได้ดี…” เหรินฉีหนิงยิ้ม “ที่แท้…ก็คือสิ่งที่ผิด หรอกหรือ?”
书呆子
เยี่ยหลีหลุบตาลง พลางเอ่ยว่า “ถ้าตัวคุณชายเห รินคิดว่าไม่ผิด เช่นนั้นก็ไม่ผิด”
เหรินฉีหนิงที่ไร้เรี่ยวแรงจะค้ ายันกระบี่พึมพ าเสียง เบาว่า “ไม่ผิด ข้าคิดว่าไม่ผิด เช่นนั้นก็ไม่ผิด ถ้าหากว่า ผิด ชั่วชีวิตนี้ของข้า…จะนับเป็นอันใดได้กัน?”
ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่วัยเยาว์จนเติบใหญ่แต่ละ เหตุการณ์เคลื่อนผ่านหน้าเขาไปอย่างเชื่องช้า เขาถูก มอบหมายภารกิจส าคัญให้ตั้งแต่เยาว์วัย ลูกหลานเพียง คนเดียวของตระกูลหลิน ความหวังเพียงหนึ่งเดียวในการ ฟื้นฟูแคว้นของราชวงศ์ก่อน ยามที่เด็กๆ ในรุ่นราวคราว เดียวกันออดอ้อนบิดามารดาในอ้อมกอด เขาต้องศึกษา เล่าเรียนหลักการปกครองแคว้น ยามที่ผู้อื่นก าลังเล่น อย่างสนุกสนาน เขาต้องเล่าเรียนต าราพิชัยสงคราม กล อุบายในการอ่านใจ ยามที่ผู้อื่นนอนหลับอุ่นสบายอยู่ใน ผ้าห่ม เขาจ าต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อฝึกวิทยายุทธ์ แม้จะ
书呆子
เป็นช่วงที่หนาวเย็นที่สุดในเหมันตฤดู และร้อนที่สุด ในช่วงคิมหันตฤดู แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ใช่ อัจฉริยะอย่างม่อซิวเหยา ในวันนี้ถึงได้ตกอยู่ในสภาพ เช่นนี้…สามารถกล่าวได้เพียงว่า เป็นโชคชะตาที่ถูก ก าหนดเอาไว้ แต่ก็มีคนเคยถามเขาว่า…ชั่วชีวิตนี้ของเขา ต้องการอะไรกันแน่ สุดท้ายแล้วเคยท าในเรื่องที่ตนเอง คิดอยากท าสักเรื่องบ้างหรือไม่