ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 362-3 กำรกลับมำของเยี่ยหลี แคว้นเป่ยหรง แสดงฝีมือ
ม่อซิวเหยาถูแก้มของเยี่ยหลีแผ่วเบา เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เขาไม่ต้องการทุ่มก าลังเพื่อสู้กับข้า เขาเพียงต้องการ ชีวิตของข้าเท่านั้น” เยียหลี่ว์เหยี่ยยังอยากจะกลับไปช่วง ชิงต าแหน่งอ๋องที่แคว้นเป่ยหรงกับเยียหลี่ว์หง แล้วเขาจะ ทุ่มสุดชีวิตเพื่อสู้กับม่อซิวเหยาได้อย่างไร เพียงแต่น่า เสียดาย บนโลกใบนี้คนที่ต้องการชีวิตของม่อซิวเหยานั้น มีมากมายนัก แต่ตอนนี้ม่อซิวเหยายังคงมีชีวิตอยู่ อีกทั้ง ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งเยาว์วัยและมีความสุขมากขึ้นเสียด้วย
“เยียหลี่ว์หงกับองค์หญิงหรงหวากลับไปแล้วหรือ” เยี่ยหลีถาม
ม่อซิวเหยาผงกศีรษะ ตอบว่า “ใช่แล้ว แต่ว่าเฮ่อ เหลียนเจินกลับมาแล้ว อีกทั้งยังพากองก าลังจ านวนแปด
书呆子
แสนนายกลับมาด้วย ในวันนี้ทัพใหญ่แคว้นเป่ยหรงมี ก าลังพลอย่างน้อยหนึ่งล้านสามแสนนายแล้ว”
“เยอะขนาดนั้นเชียว?” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย มิน่าเล่า ม่อซิวเหยาถึงได้พูดว่านานขนาดนี้กลับไม่มี ผลงานเล็กน้อยใดๆ เลย ไม่ต้องกล่าวถึงจ านวนทหาร และม้าที่ต าหนักติ้งอ๋องเกณฑ์มาจากแต่ละพื้นที่ในต้าฉู่ เลย กองทัพตระกูลม่ออันเกรียงไกรในยามนี้มีทั้งหมดไม่ ถึงหนึ่งล้านนายด้วยซ้ า ทั้งยังต้องรักษาการณ์ปกป้องใน แต่ละพื้นที่อีก ในด้านทหารและม้าจึงไม่อาจเทียบเคียง กับแคว้นเป่ยหรงได้
ม่อซิวเหยายิ้มเยือกเย็น “มากันยิ่งเยอะยิ่งดี ข้า รับปากเยียหลี่ว์หงเอาไว้ว่าจะไม่แตะต้องรากฐานแคว้น เป่ยหรงของเขา แต่พวกเขาเข้าด่านมาด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดกลับไปอีกแล้ว” เยี่ยหลีทันเห็น ใบหน้าม่อซิวเหยามีกลิ่นอายสังหารพาดผ่านไป จึงจุมพิต
书呆子
แก้มที่เย็นยะเยือกเล็กน้อยด้วยความทะนุถนอม เอ่ย เสียงเบาว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราแก้แค้นแทนพี่ใหญ่ ได้แน่”
ม่อซิวเหยาผงกศีรษะ “อาหลี ขอบใจเจ้ามาก”
ทั้งสองจูงม้าลงมาจากพื้นที่ราบระหว่างภูเขา บริเวณตีนเขามีหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แต่ชาวบ้าน ภายในหมู่บ้านแห่งนี้กลับมีจ านวนเพียงน้อยนิด ทั้งยัง แววตาเศร้าสลด ผอมโซราวกับโครงกระดูก สภาพเสื้อผ้า ซอมซ่อ ขาดกระรุ่งกระริ่งจนท าให้ผู้คนไม่อาจทนดูต่อไป ได้ เมื่อนึกถึงราษฎรซีเป่ยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข อยู่ดีกินดี ภายใต้การปกครองของต าหนักติ้งอ๋องแล้วหันมามอง ชาวบ้านที่มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากและเหนื่อยอ่อน เยี่ยหลีก็อดไม่ได้ที่จะแสบจมูกเพราะอยากจะร้องไห้อยู่ บ้าง
书呆子
เมื่อเห็นนางมองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นด้วยท่าทาง เหม่อลอย ม่อซิวเหยาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเสียงเบา โอบนางเข้ามาในอ้อมแขน พลางกล่าวค าสัญญาเสียงเบา ว่า “พวกเราจะต้องพยายามจัดการเรื่องคนของแคว้น เป่ยหรงให้เร็วที่สุด” เยี่ยหลีตอบกลับด้วยความสงสัย เล็กน้อย “เหตุใดชาวบ้านเหล่านี้ถึงไม่ไปจากที่แห่งนี้ หรือ”
ม่อซิวเหยาส่ายศีรษะ ตอบว่า “ไปจากที่นี่แล้วพวก เขาจะไปที่ใดได้เล่า? แม้ว่าต าหนักติ้งอ๋องจะสามารถ รองรับพวกเขาไว้ได้ แต่ก็มีผู้คนอีกจ านวนมากที่ต้องหิว ตายระหว่างทาง ยิ่งไปกว่านั้น…ซีเป่ยก็เป็นเมืองขนาด เล็กจะสามารถรองรับผู้คนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ทุก วันนี้มีที่ใดในใต้หล้าบ้างที่ไม่สับสนวุ่นวาย แม้จะหนีไปได้ จนถึงทางใต้ แต่ทางใต้ก็ไม่ค่อยสงบ ยิ่งไปกว่านั้นหากยิ่ง มีเด็กผู้หญิงและคนชราที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้
书呆子
ประการแรกพวกเขาก็ติดที่ไม่อยากจากบ้านเกิดเมือง นอนไป ประการที่สองพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะ เดินทางรอนแรมไปได้ไกลถึงเพียงนั้น หมู่บ้านนี้ก็ เช่นเดียวกัน คนหนุ่มหากไม่ใช่ว่าไปสมัครเป็นทหาร ก็คง หนีภัยสงครามไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นคนชราที่ เดินทางไม่ไหวและเด็กน้อยเยาว์วัยที่ไร้ที่พึ่งพิง พวกเขา ที่เป็นแบบนี้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ราษฎรทางเหนือส่วนใหญ่ ล้วนถูกฆ่าทิ้งในยามที่แคว้นเป่ยหรงบุกเข้าด่าน หมู่บ้าน แบบนี้ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง…” ม่อซิวเหยาเอ่ยถึงตรงนี้ก็ อดไม่ได้ที่จะนึกหดหู่ใจ
คราแรกที่เป่ยหรงบุกเข้ามาในต้าฉู่ เขาก าลัง วางแผนโจมตีแคว้นซีหลิง จึงเป็นธรรมดาที่ซีเป่ยจะไม่มี ทหารและม้าที่คอยสนับสนุนต้าฉู่ในการต่อต้านแคว้น เป่ยหรง แม้ว่าในตอนนั้นต าหนักติ้งอ๋องจะตัด ความสัมพันธ์ที่มีต่อต้าฉู่ไปแล้ว และไม่ผิดต่อหลักการ
书呆子
ความรับผิดชอบเรื่องมนุษยธรรม แต่เมื่อต้องมาเจอกับ ราษฎรที่ระทมทุกข์สูญสิ้นความรู้สึกเหล่านี้ หัวใจของม่อ ซิวเหยาที่ไม่ได้ท าจากเหล็กกล้า จึงยากที่จะเลี่ยง ความรู้สึกละอายใจไปได้
“ทั้งสองท่าน…ทั้งสองท่านคือติ้งอ๋องกับพระชายา ติ้งอ๋องหรือ” ขณะที่ทั้งสองคนจูงม้าเดินเล่นอยู่นั้น เสียง สั่นเทาของชายชราคนหนึ่งก็ดังมาจากข้างทาง ทั้งสอง หันไปมอง ก็พบว่าข้างทางนั้นมีเฒ่าชราอายุเจ็ดสิบกว่าปี ผมสีขาวโพลน สวมเสื้อผ้าซอมซ่อ มือถือไม้เท้าเดินงกๆ เงิ่นๆ มองมาทางพวกเขาสองคนอยู่
ม่อซิวเหยามองชายชรานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะ เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านทราบได้อย่างไร”
ชายชราตอบด้วยน้ าเสียงตื่นเต้น “ได้ยินมาว่าติ้ง อ๋องเป็นหนุ่มฉกรรจ์แต่กลับมีเส้นผมสีขาวทั้งศีรษะ…อีก ทั้งข้าก็ได้ยินมาเช่นกันว่าค่ายทหารของติ้งอ๋องตั้งอยู่ห่าง
书呆子
จากที่นี่ไปหลายสิบลี้ ท่านอ๋อง พระชายา…ขอร้องพวก ท่านช่วยพวกเราราษฎรชาวต้าฉู่ด้วยเถิด” กล่าวจบ ไม้ เท้าในมือชายชราก็เอียงลง ย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้น น้ าตา รินไหลเป็นสาย ชาวบ้านในหมู่บ้านหลายคนที่อยู่ไม่ไกล นักได้ยินสิ่งที่ชายชราเอ่ย ก็รีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงกับพื้น อย่างรวดเร็ว แต่ละคนน้ าตาไหลเป็นทาง ร้องไห้ด้วย ความเจ็บปวด
เยี่ยหลีมองดู ก็เห็นว่าคนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ครอบครัว ของชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบคนนี้ แต่เป็นสตรีอีก จ านวนหนึ่งและเด็กที่อายุไม่กี่ขวบปี นอกจากเด็กน้อยที่ ยังไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว บนใบหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วย ความทุกข์ระทมอันหนักหน่วง แต่เมื่อมองมาทางเยี่ยหลี กับม่อซิวเหยากลับเจือไปด้วยความหวังเล็กน้อย
เยี่ยหลีย่อตัวประคองชายชราที่อยู่หน้าสุดให้ลุกขึ้น และหมดค าพูดไปชั่วขณะ
书呆子
เมื่อหันหน้าไปมองม่อซิวเหยา ก็เห็นว่าเขาหดหู่ใจ และไร้วาจาเช่นเดียวกัน เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา “ผู้เฒ่า พวกท่านยินยอมที่จะไปจากที่นี่หรือไม่” ชายชราส่าย ศีรษะ เอ่ยว่า “พวกเราล้วนอยู่ได้อีกไม่นาน จะเดินทาง ไปได้ถึงที่ใดกัน เพียงแต่หวังว่าท่านอ๋องกับพระชายาจะ สามารถไล่คนชั่วร้ายพวกนั้นออกไปได้ เพื่อล้างแค้น ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านที่ต้องตายอย่างน่าอนาถ เหล่านั้น เพื่อให้เด็กๆ ที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ สามารถเติบโตไปได้อย่างปลอดภัย พวกเราที่ชราเช่นนี้ จะตายก็แค่ตาย…”
เยี่ยหลีมองสีหน้าเหลืองซีดผอมโซเหมือนคนป่วย ของชาวบ้านเหล่านี้แล้วก็รู้ว่า ในแต่ละวันผู้คนเหล่านี้ ต้องล าบากทุกข์ยากเพียงใด จึงถอนหายใจ เอ่ยว่า “กลับไปแล้วข้าจะให้คนน าอาหารและธัญพืชมามอบให้ อีกสองเดือนก็จะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เพียงแต่ หากว่า
书呆子
เป็นไปได้ พวกท่านก็น่าจะย้ายไปอยู่แนวหลังอีกสัก หน่อย หากรอจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ทหาร ของแคว้นเป่ยหรงคงจะออกมาแย่งชิงอาหารแน่นอน หลังจากผ่านช่วงเวลานั้นไป เมื่อกองทัพทั้งสองแคว้นท า ศึกกัน ที่แห่งนี้ก็จะยิ่งไม่สงบมากยิ่งขึ้นไปอีก”
“นี่…” ชายชราลังเลเล็กน้อย หมู่บ้านของพวกเขา อยู่ใกล้แนวหน้าการรบของทั้งสองกองทัพมากที่สุด และ ก็มักจะถูกคุกคามจากชาวเป่ยหรงอยู่บ่อยๆ โชคดีที่ ตอนนี้ชาวเป่ยหรงไม่ฆ่าทุกคนที่พบเจอเหมือนครั้งที่เพิ่ง เข้าด่านมาใหม่ๆ แต่พวกเขาเหล่านี้หากไม่ใช่คนเฒ่าคน แก่ที่ไร้เรี่ยวแรง ก็เป็นเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ความ จะสามารถ เดินทางไปได้ถึงที่ใดกัน?
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงทุ้มต่ า “ถอยหลังไปอีกสักหก สิบลี้ มีหมู่บ้านอยู่อีกหลายแห่ง ตอนนี้ยังมีคนไม่เท่าไร พวกท่านสามารถไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้ แนวรบจะไม่
书呆子
ถอยร่นไปอีกแล้ว สามารถพักอาศัยอยู่ที่นั่นได้อย่าง วางใจ วันพรุ่งข้าจะส่งคนมาคุ้มกันพวกท่านไป” วาจา ของม่อซิวเหยา เท่ากับการให้ค าสัญญาว่า ไม่ว่าแนวรบ ด้านหน้าจะเป็นอย่างไร ขอเพียงกองทัพตระกูลม่อยังคง มีอยู่ แม้จะมีจ านวนเพียงน้อยนิดก็จะไม่ถอยร่นไป ด้านหลังอีกแม้แต่ครึ่งก้าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนก็น้ าตารินไหลด้วยความ ยินดี คุกเข่าค านับให้เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหลีประคองชายชราให้ลุกขึ้นอย่างจนปัญญา และดึง เด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายให้ลุกขึ้นด้วย เด็กน้อย ท่าทางอายุไม่เกินห้าหกขวบ แหงนศีรษะขึ้นมองเยี่ยหลี โดยไม่หวาดกลัว เยี่ยหลีเพียงยิ้มบางๆ ให้เขา เด็กน้อย คนนั้นก็ใบหน้าแดงก่ าด้วยความเขินอายทันที เด็กคนนั้น จับแขนเสื้อของชายชราเอาไว้แล้วแอบอยู่ด้านหลัง เยี่ย หลีคิดไปถึงม่อตัวน้อย เหลิ่งจวินหาน สวีจือรุ่ยและคน
书呆子
อื่นๆ ที่หน้าตาสดชื่นแจ่มใส ดูมีสง่าราศี แล้วมองเด็ก น้อยผอมโซตัวเล็ก สวมเสื้อผ้าไม่พอดีตัวที่อยู่เบื้องหน้า แล้วก็ให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก
เป็นเพราะภาพที่ได้พบเห็นบริเวณตีนเขา ทั้งสอง คนจึงไม่มีกะจิตกะใจจะเดินพักผ่อนหย่อนใจอีก ท าได้ เพียงแค่เดินกลับไปยังที่ตั้งค่ายทัพใหญ่ด้วยกันเท่านั้น
เมื่อกลับไปถึงค่ายทหาร เหล่าแม่ทัพก็พากัน ออกมาต้อนรับ ในเวลานี้นอกจากจางฉี่หลันที่ รักษาการณ์อยู่ที่แคว้นซีหลิง แม่ทัพชราหยวนเผยที่ ปกป้องด่านเฟยหง มู่หรงที่ตั้งมั่นอยู่ที่ต้าฉู่ด้วยความ ระมัดระวัง เหลิ่งไหวที่อยู่ไกลถึงเมืองชางชิ่งแล้ว แม่ทัพ กองทัพตระกูลม่อที่เป็นที่รู้จักกันดีมากกว่าสิบท่านล้วน รวมตัวกันอยู่ในค่ายกองทัพใหญ่แห่งนี้
“พระชายาปราบปรามเป่ยจิ้งให้สงบ สร้าง คุณูปการเป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลัง ข้าน้อยขอแสดง
书呆子
ความยินดีต่อพระชายาด้วย” คุณชายเฟิ่งซานหน้าตา หล่อเหลา กิริยางดงามไม่ธรรมดา สวมใส่ชุดสีแดงสะดุด ตาไม่เหมือนกับแม่ทัพนายกองคนอื่นๆ ที่สวมชุดเกราะ ทหาร
เยี่ยหลียิ้มบางๆ ประสานมือขึ้นระดับหน้าอก เอ่ย ตอบว่า “ล้วนเป็นผลงานของทุกท่าน คุณชายเฟิ่งซาน กล่าวเกินไปแล้ว”