ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 363-3 ลอบโจมตีในยำมค่ ำคืน พ่ำยแพ้ยับเยิน ทั้งกองทัพ
เฮ่อเหลียนเผิงใช้มือปาดเลือดที่อยู่บนดาบทิ้งไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “ในเมื่อเหลือแค่เจ้าเพียงคนเดียว ก็ไม่ จ าเป็นต้องกลับไปอีก” แม้ว่าเมื่อคืนวานเขาอยากจะลด ความเย่อหยิ่งและโอหังของกลุ่มคนเหล่านี้ แต่การพ่าย แพ้ยับเยินก็ไม่ได้เป็นการให้พวกเขาได้รับบทเรียน แต่ เป็นการข่มขวัญก าลังใจของคนเหล่านี้จนหมดสิ้น ถ้าหาก ให้พวกเขากลับไปอยู่ในกองก าลังหยาจื้ออีก เมื่อเรื่อง เหล่านี้แพร่ออกไป จะต้องท าให้กองก าลังหยาจื้อทั้งน้อย และใหญ่เกิดความเกรงกลัวต่อกองทัพตระกูลม่อและ หน่วยกิเลนอย่างแน่นอน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการท าศึก สงครามเป็นอย่างมาก ชาวจงหยวนมีประโยคหนึ่งที่ กล่าวเอาไว้ได้ดีว่า เมื่อไม่รู้ก็จะไม่กลัว
书呆子
“ทูลองค์ชาย ท่านแม่ทัพเย่ว์เฮ่อส่งคนมารายงาน ว่า ค่ายของเขาถูกลอบโจมตีเมื่อคืนนี้ มีคลังเสบียงถูกเผา ไปสองแห่งพ่ะย่ะค่ะ!” ทหารที่อยู่นอกประตูกระโจมรีบ เข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
เยียหลี่ว์เหยี่ยสีหน้าทะมึน กัดฟันเอ่ยขึ้นด้วย ความแค้นใจ “หน่วยกิเลน!”
เฮ่อเหลียนเผิงหลุบตาลง เอ่ยเสียงเข้มว่า “จัดการ แก้แค้นฝ่ายตรงข้ามรวดเร็วเพียงนี้ สมกับเป็นกองทัพ ตระกูลม่อจริงๆ!”
เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยเสียงเย็น “เฮ่อเหลียนเผิง ข้าไม่ สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการใด แต่ต้องจัดการหน่วยกิเลนทิ้ง ให้เร็วที่สุด! มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็ว พวกมันจะกลายเป็น เรื่องที่น่าวิตกกังวลในใจของข้า!” เมื่อเทียบกับกองทัพ ตระกูลม่อ เสบียงอาหารมีความส าคัญกับกองทัพเป่ย หรงยิ่งกว่า แม้ว่ากองทัพตระกูลม่อจะไม่เหลือเสบียง
书呆子
อาหาร แต่ก็ยังสามารถหาวิธีการโยกย้ายมาจากที่อื่นได้ ยามนี้ต าหนักติ้งอ๋องได้ควบคุมอาณาเขตดินแดนเดิมที่ลัด เลาะไปตามต้าฉู่และซีหลิงทั้งสองแคว้น เมื่อเทียบเนื้อที่ กับอาณาเขตเดิมของต้าฉู่แล้ว ก็ไม่ถือว่าเล็ก แม้ว่าในนั้น จะไม่ได้รวมถึงเจียงหนานและพื้นที่อื่นๆ ที่ถูกเรียกว่า เป็นคลังเสบียงอาหารของต้าฉู่อยู่ด้วย แต่จะคิดหาวิธี รวบรวมเสบียงอาหารให้กับกองทัพทหารหลายแสนนาย นั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ทว่าเมื่อกลับมามอง กองทัพเป่ยหรง ราชส านักเป่ยหรงนั้นอยู่ห่างจากต้าฉู่ ไกลนับพันลี้ เดิมแคว้นเป่ยหรงก็ไม่ได้เพาะปลูก ธัญญาหาร จึงท าได้เพียงแค่ปล้นจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ ในด่าน แต่ในตอนที่เพิ่งจะเข้าด่านมา ราษฎรทางเหนือ ถูกพวกเขาฆ่าทิ้งไปมากกว่าครึ่ง สามารถกล่าวได้ว่าเวลา ผ่านไปสองปีจ านวนประชากรทางเหนือมีสิบก็เหลือไม่ถึง หนึ่ง จะมีเสบียงอาหารให้พวกเขาปล้นมากมายเช่นนั้น เสียที่ไหน? แม้ว่าจะสูญเสียแค่สองคลังเสบียงที่มีขนาด
书呆子
ไม่ใหญ่ แต่กลับท าให้เยียหลี่ว์เหยี่ยหวั่นวิตก บันดาล โทสะราวกับสายฟ้าฟาด
เฮ่อเหลียนเผิงรับค า “องค์ชายเจ็ดโปรดวาง พระทัย”
“ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าจะไม่ท าให้ข้าผิดหวัง” เยียหลี่ว์ เหยี่ยเอ่ยเสียงเข้ม
ภายในค่ายทหารกองทัพตระกูลม่อ เยี่ยหลี ฟังจั๋วจิ้งเอ่ยรายงานจบแล้ว ก็ยิ้มหวานอย่างอดไม่ได้ พลางเอ่ยว่า “เฮ่อเหลียนเผิงผู้นี้ น่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ”
ม่อซิวเหยาแค่นเสียงเบาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มี อะไรให้น่าสนใจกัน? หากข้าใช้เวลาเท่าพวกเขาฝึกฝน พวกที่รู้จักแต่จะปฏิบัติภารกิจให้ส าเร็จ แต่ไม่เข้าใจ สถานการณ์แน่ชัดแบบนี้ล่ะก็ ข้าคงจะฝึกทหารกล้า ออกมาได้หลายแสนนายแล้ว” ยุคสมัยนี้ไม่มีแนวคิดกอง ก าลังที่เป็นหน่วยรบพิเศษ นอกจากเยี่ยหลีแล้ว ก็ไม่มี
书呆子
ใครที่สามารถสรุปทิศทางการท าสงคราม ทฤษฎีฝึกซ้อม การท าศึกสงครามและวิธีการฝึกฝนของตนเองได้อย่าง เป็นรูปเป็นร่างอีก ในมุมมองของม่อซิวเหยา เหล่าทหาร ที่เฮ่อเหลียนเผิงเรียกว่าหยาจื้ออาจจะเทียบไม่ได้ แม้กระทั่งองครักษ์ลับของต าหนักติ้งอ๋อง แต่สิ่งที่ส าคัญ ที่สุดก็คือ เฮ่อเหลียนเผิงไม่ได้คิดให้ชัดเจนว่าหยาจื้อมีไว้ เพื่อท าสิ่งใด ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีไว้รับมือต่อต้านหน่วย กิเลนโดยเฉพาะ แต่พวกเขากลับไม่ใช่คู่มือของหน่วย กิเลน ก็เท่ากับว่าเฮ่อเหลียนเจินและเฮ่อเหลียนเผิง เสียเวลาและก าลังมากมายไปเปล่าๆ
เยี่ยหลียิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเฮ่อเหลียน เผิงมีความคิดเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่ข้า แม่ทัพผู้ มีชื่อเสียงที่เพิ่งเข้ารับต าแหน่งผู้นี้ก็ยกให้ข้าจัดการเถิด”
ม่อซิวเหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะพยักหน้า เอ่ยว่า “ก็ดี ไว้รอเหอซู่กลับมาแล้ว ให้เขาติดตามเจ้าต่อไปก็
书呆子
แล้วกัน นอกจากนี้อวิ๋นถิง เฉินอวิ๋น พวกเจ้าก็ติดตาม พระชายาไปด้วย”
“ขอรับ ท่านอ๋อง” อวิ๋นถิงและเฉินอวิ๋นก้าวออกมา จากแถว โค้งตัวรับค าสั่ง เดิมอวิ๋นถิงก็เป็นคนที่เยี่ยหลีพา กลับมากองทัพตระกูลม่อด้วยตนเองจากหย่งหลิน ซึ่ง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่หรงเซิ่นในคราแรก เฉินอวิ๋น ชื่นชมพระชายาที่อายุยังน้อยผู้นี้มากเช่นกัน เมื่อม่อซิว เหยาออกค าสั่งเช่นนี้ จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะรับค าสั่ง ด้วยความยินดี
เยี่ยหลีพยักหน้ารับค า แม่ทัพนายกองที่อยู่ด้านล่าง สบตากันและกันไปหลายรอบ ในใจก็เข้าใจต าแหน่ง ของเยี่ยหลีลึกซึ้งมากกว่าเดิมหนึ่งขั้น เดิมเหอซู่ก็เป็น องครักษ์ลับข้างกายพระชายาติ้งอ๋อง ยามนี้ในมือมี กองทัพทหารที่อยู่ในความดูแลจ านวนสามแสนนาย เมื่อ เทียบกับแม่ทัพเก่าแก่คนอื่นๆ ของต าหนักติ้งอ๋องแล้ว ก็
书呆子
ไม่ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้ผู้ที่ติดตามพระชายาติ้ง อ๋องไปปราบปรามเป่ยหรงให้สงบ ท่านอ๋องกลับยังคงให้ เหอซู่ติดตามพระชายาไปอีก จึงเห็นได้ชัดเจนว่าต้องการ มอบอ านาจควบคุมทหารทั้งหมดในมือของเหอซู่และเขา ให้อยู่ในการควบคุมดูแลของพระชายา กลายเป็นทหาร ใหม่ที่อยู่ในความควบคุมของพระชายาติ้งอ๋องสมชื่อ มา วันนี้สิ่งที่ส าคัญที่สุดในสังคมคือสิ่งใด? แน่นอนว่าคือ อ านาจทางการทหาร ท่านอ๋องถึงขั้นแบ่งอ านาจทาง การทหารกับพระชายาได้ แล้วยังจะมีสิ่งใดที่ไม่สามารถ มอบให้ได้อีก?
ยามนี้สามารถกล่าวได้ว่าต าหนักติ้งอ๋องเปิดศึก อย่างเป็นทางการกับแคว้นเป่ยหรงแล้ว ทั่วทั้งสนามรบ ตั้งแต่นอกด่านเฟยหงทอดยาวติดต่อกันไปจนถึงจุดที่ เกือบจะถึงฉู่จิง สามารถกล่าวได้ว่าทั้งแนวรบครอบคลุม พื้นที่ทางเหนือแต่เดิมของต้าฉู่ไปมากกว่าครึ่ง จึงเป็น
书呆子
ธรรมดาที่ไม่สามารถตีวงล้อมพื้นที่กว้างเช่นนี้ได้ กองทัพ ตระกูลม่อก็ถูกแบ่งออกเป็นซ้ายกลางขวาสามทางเช่นกัน กองทัพทางด้านซ้ายมีเยี่ยหลีเป็นผู้บัญชาการ ตั้งมั่น รักษาการณ์ภูเขาหลิงจิ้วและพื้นที่ที่อยู่รอบด้านใกล้กับ ด่านเฟยหง ส่วนกองทัพทางขวามีหลี่ว์่จิ้นเสียนเป็น ผู้รับผิดชอบจัดการพื้นที่นอกเมืองหลวงของต้าฉู่หนึ่งร้อย ลี้ ส่วนม่อซิวเหยาก็นั่งบัญชาการอยู่ที่ทัพกลาง ตั้งมั่น รักษาการณ์กองทัพส่วนกลางอยู่ที่ค่ายทหารกองทัพ ตระกูลม่อ ดังนั้นเยี่ยหลีที่เพิ่งกลับมาจากเป่ยจิ้ง จึงต้อง ออกเดิทางอีกครั้งทั้งที่เพิ่งได้พักผ่อนเพียงไม่กี่วัน
ถ้าหากเยี่ยหลียินดี ก็สามารถอยู่ที่ค่ายทหารกับม่อ ซิวเหยาได้ แม้ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเยี่ยหลีจะไม่ท าอันใด เลย ทหารกองทัพตระกูลม่อทั้งน้อยและใหญ่ก็ไม่มีใคร ต าหนิอันใดต่อพระชายาผู้นี้ แต่เยี่ยหลีกลับไม่ยินยอมที่ จะท าเช่นนั้น เดิมการที่นางควบม้าออกสู้ศึกก็ไม่ได้ท า
书呆子
เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกองทัพตระกูลม่ออยู่แล้ว แต่ เป็นเพราะตัวนางชื่นชอบ แม้ว่าจะผ่านมาแล้วหนึ่งชาติ ภพ เดิมความกล้าหาญน่าเกรงขามในกระดูกที่ถือก าเนิด จากตระกูลทหารก็ไม่เคยถูกลบล้างท าลาย ดังนั้นผู้คนใน ใต้หล้าล้วนรู้สึกว่า ภาพลักษณ์ภายนอกของพระชายาติ้ง อ๋องนั้นเป็นสตรีรอบรู้มากความสามารถจากตระกูล บัณฑิต แต่การกระท ากลับเหมือนคนที่มาจากตระกูลแม่ ทัพยิ่งกว่า
นอกค่ายทหารกองทัพตระกูลม่อ จั๋วจิ้ง ฉินเฟิง และอีกหลายคนยืนอยู่ในที่ห่างไกล มองฟ้ามองดิน แต่ไม่ ยอมมองติ้งอ๋องผู้โดดเด่นเหนือผู้คนที่ก าลังมองดูใต้หล้า ด้วยความโอหัง
หลินหานมองท้องฟ้า ลูบจมูก อาศัยสายตาในการ บอกใบ้กับฉินเฟิงว่า สรุปว่าจะไปหรือไม่ไป? ฟ้าใกล้จะ มืดแล้ว?
书呆子
ฉินเฟิงลูบจมูก กลอกตามองบน ข้าจะไปรู้ได้เช่น ไร?
จั๋วจิ้งนั้นมีสมาธิจดจ่อ ไม่วอกแวก วันนี้ไปไม่ได้ก็ ไปพรุ่งนี้ ท่านอ๋องกับพระชายายังไม่ร้อนใจ พวกเราจะ ร้อนรนไปไยกัน?
ด้านข้าง เฟิ่งจือเหยาที่มาอ าลาที่นี่กลับมองไปที่ ใครบางคนด้วยความกระอักกระอ่วน ตัดสินใจได้อย่างไม่ ลังเลว่า เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกฉินเฟิงมากกว่า พระชายาติ้งอ๋อง ดังนั้นจึงมาอ าลาพวกเขาดีกว่า สี่คน สบตากันไปมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่ในใจกลับค่อน แคะไม่หยุด ชาติที่แล้วข้าสร้างเวรกรรมอันใดเอาไว้ ถึงได้ ถูกคนประเภทนี้จับไปเป็นทาสอยู่กว่าครึ่งชีวิตกันนะ? ถ้า หากว่าคนภายนอกได้เห็น กระทั่งศักดิ์ศรีของข้าก็คงไม่ เหลือแล้ว
书呆子
อีกด้านหนึ่ง เยี่ยหลีมองใครบางคนที่มองตัวเองตา ปริบๆ อย่างจนปัญญา ถอนหายใจเอ่ยว่า “ซิวเหยา ข้า ต้องไปแล้ว”
ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยความคับแค้นใจเล็กน้อย “อา หลีเพิ่งจะกลับมา อยู่เป็นเพื่อนข้าในกองทัพนี้ไม่ได้หรือ ทางด้านภูเขาหลิงจิ้ว ข้าให้หนานโหวไปก็ได้?”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ก่อนหน้านี้พวกเราคุยกัน เรียบร้อยแล้วนี่”
“คุยกันเรียบร้อยแล้วก็สามารถกลับค าเพราะ เสียใจในภายหลังได้ ข้ากลับค าแล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยราว กับมีเหตุผลเต็มที่ “ข้าจะสั่งให้หนานโหวสองพ่อลูกรีบไป ยังภูเขาหลิงจิ้วเดี๋ยวนี้”
เยี่ยหลีแหงนหน้ามองฟ้า กลอกตามองบน นิสัย เสียอย่างการมีเรื่องไม่มีเรื่องก็ชอบจะออดอ้อนนี่มันอะไร กัน? ต่อหน้าผู้อื่นก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะไม่ปกติเช่นนี้
书呆子
“ท่านอายุเท่ากับม่อตัวน้อยหรือ ม่อตัวน้อยยังไม่ เหมือนกับท่านที่กลับกลอกไปมาแบบนี้เลย ว่าง่ายๆ นะ …รีบรบให้ชนะชาวเป่ยหรงก็จบเรื่องแล้ว”
ม่อซิวเหยากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน เอ่ยอย่างหด หู่ว่า “อาหลีโกหกข้า รบกับชาวเป่ยหรงเสร็จแล้ว ก็ยังมี เหลยเจิ้นถิง ไม่แน่ว่ายังมีม่อจิ่งหลีอีก ท าไมพวกเขาไม่ ตายเสียทีนะ!” นัยน์ตาที่ซ่อนอยู่บนไหล่ของเยี่ยหลีมี ประกายสีแดงทะมึนพาดผ่านไป ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่าง โศกเศร้า เยี่ยหลีถอนหายใจเสียงเบา “พวกเขาจะตาย แน่ หยุดงอแงได้แล้ว ข้าควรจะไปแล้ว”