ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 366-1 กลยุทธ์ที่ใสสะอำด คนเลว
ณ ค่ายทหารใหญ่ทางตอนเหนือของภูเขาหลิงจิ้ว
เยี่ยหลีนั่งอยู่ในกระโจมก าลังกวาดตามองสารรายงาน
การรบและฎีกาด้วยสีหน้านิ่งสงบ ไม่กี่วันก่อนหลังจากที่
เฮ่อเหลียนเผิงเพลี่ยงพล้ าอยู่ในเงื้อมมือของพวกนางก็
มิได้กลับมาท้าทายอีกเลย กองทัพทั้งสองต่างอยู่ในความ
สงบ แต่กลับเป็นทางม่อซิวเหยาที่ได้ออกรบถึงสองสนาม
กดขี่ความหยิ่งยโสของกองทัพใหญ่เป่ยหรงให้สยบลง
ทว่ากลับท าให้เหล่าทหารของเยี่ยหลีและหลี่ว์จิ้นเสียน
ต่างนั่งกันไม่ติด
ทางด้านหลี่ว์จิ้นเสียนยังนับว่าดี แต่ทางด้านเยี่ยหลี
นั้นกลับต้องเฝ้าระวังเหลยเจิ้นถิงที่อยู่ด้านหลัง มิอาจ
บุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือได้ จึงยิ่งท าให้ทหารน้อยใหญ่
ดวงตาแดงก่ าทุกคราที่ได้ฟังรายงานสถานการณ์ที่ฝ่าย
อื่นส่งมาให้书呆子
“พระชายา แม่ทัพโจว แม่ทัพซุน แม่ทัพเหอและ
คนอื่นๆ ขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงอมยิ้มเข้ามา
รายงาน เยี่ยหลีวางรายงานการรบในมือลงแล้วยิ้มเอ่ยว่า
“มาขอร้องให้เปิดศึกอีกแล้วรึ” ฉินเฟิงพยักหน้ายิ้มเอ่ย
ว่า “หมู่นี้พวกเราเอาแต่เฝ้าระวังอย่างเข้มงวดมาตลอด
พวกเขาคงเก็บกดกันแย่แล้ว” เยี่ยหลีครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า
“ให้พวกเขาเข้ามาเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขนาดเป็นฉินเฟิงเองก็ยังดวงตาเป็น
ประกายอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ แม้ว่า
ยามนี้เขาจะไม่อาจบุกทะลวงศัตรูในสนามรบได้ แต่หาก
ผู้อื่นได้กินเนื้อ เขาก็คงพอได้ดื่มน้ าแกงบ้าง คนที่เก็บกด
จะแย่มิได้มีเพียงแม่ทัพเหล่านี้เท่านั้น
เพียงไม่นาน เหอซู่ โจวหมิ่นและคนอื่นๆ ก็ทยอย
กันเข้ามา พวกเขาพากันค านับให้เยี่ยหลี “ถวายพระพร
พระชายา”书呆子
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี พวกท่านแม่ทัพ
ไม่นั่งบัญชาการอยู่ในค่ายของตนเอง มาหาข้าถึงที่นี่ด้วย
ธุระอันใดหรือ” ซุนเย่าอู่ชิงเอ่ยขึ้นว่า “เรียนพระชายา
ข้าน้อยมาขอให้เปิดศึกพ่ะย่ะค่ะ!”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น อมยิ้มมองเขาเงียบๆ ด้วยสีหน้า
สบายๆ ซุนเย่าอู่กลับเคารพย าเกรงต่อพระชายาเยี่ยหลีที่
อายุยังน้อยนางนี้อย่างมาก เมื่อถูกนางมองเช่นนี้ก็ให้รู้สึก
เกรงอกเกรงใจอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า
“พระชายา พวกเราเอาแต่เฝ้าระวังอยู่ที่นี่ มองดูคนอื่น
เขาสู้รบกัน ช่างน่าอึดอัดและรู้สึกไม่เป็นธรรมไม่น้อย ซ้ า
ยังส่งผลกระทบต่อขวัญก าลังใจของทหารอีกด้วยมิใช่
หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “กล่าวได้มีเหตุผล พวก
ท่านมีความเห็นเช่นไร”书呆子
เหล่าแม่ทัพในที่นั้นพอได้ยินเข้าสายตาก็เปล่ง
ประกาย ซุนเย่าอู่ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยยินดีเป็นกองหน้า
อาศัยยามที่ศัตรูไม่ทันป้องกันนี้เข้าโจมตีเมืองลั่วโจวพ่ะ
ย่ะค่ะ!” หลายวันมานี้เหอซู่กับโจวหมิ่นได้คลุกคลีกับเขา
จึงรู้ว่าตอนนั้นที่เสียเมืองลั่วโจวไปได้กลายเป็นบาดแผล
ในใจของเขามาโดยตลอด จึงไม่ไปแย่งคุณูปการมาจาก
เขา เหอซู่เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าน้อยยินดีเป็นกองทัพแนว
หลังให้แม่ทัพซุนพ่ะย่ะค่ะ”
โจวหมิ่นยิ้มเอ่ยขึ้นเช่นกัน “ส่วนข้าน้อยยินดีเฝ้า
ปกป้องภูเขาหลิงจิ้วพ่ะย่ะค่ะ” ภูเขาหลิงจิ้วย่อมต้องมีคน
มาเฝ้าระวังอยู่แล้ว โจวหมิ่นก็ไม่กล้ารีบร้อน หากเปิดศึก
แล้วยังจะกลัวว่าไม่มีสงครามให้รบอีกหรือ
“พวกท่านร่วมมือร่วมใจกันดียิ่ง”
ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา หันมอง
ไปยังเยี่ยหลีโดยพร้อมเพรียงกัน เยี่ยหลีเคาะนิ้วชี้บนโต๊ะ书呆子
เบาๆ สองสามที ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ส่ง
แผนของพวกท่านมาให้ข้าดูก่อนก็แล้วกัน”
ทั้งสามคนดีใจกันยกใหญ่ เอ่ยอย่างพร้อมเพรียงว่า
“ข้าน้อยรับบัญชา! ขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ!” กล่าวจบก็ไม่รอ
ให้เยี่ยหลีส่งสัญญาณอนุญาต แย่งกันออกไปเตรียมตัว
ระดมพล ส่วนเยี่ยหลีที่มองแผ่นหลังของทั้งสามหายลับ
ไปจากทางเข้ากระโจมก็หลุดยิ้มออกมาพลางส่ายหน้า
แล้วจึงสั่งกับฉินเฟิงที่อยู่ด้านหลังว่า “ให้หน่วยกิเลน
เตรียมตัวไว้ ในเมื่อจะโจมตีเมืองลั่วโจว ก็ไม่อาจพลาด
พลั้งให้เกิดความเสียหายได้ เฮ่อเหลียนเผิงผู้นั้นก็มิใช่คน
ที่จะรับมือด้วยง่ายๆ เช่นกัน”
ฉินเฟิงรับค า “ข้าน้อยรับบัญชา”
เมืองลั่วโจวเมื่ออยู่ในต้าฉู่กลับไม่โดดเด่นสะดุดตา
ทั้งไม่ใช่ป้อมปราการชายแดนที่ส าคัญและไม่ใช่เมืองใหญ่
ที่โด่งดังของต้าฉู่ แต่เมืองนี้กลับมีสถานที่ที่สามารถใช้书呆子
ลอบเล่นงานได้อย่างมากแห่งหนึ่ง โดยปกติแล้วคูเมือง
ล้วนง่ายต่อการปกป้อง ยากแก่การโจมตี แต่เมืองลั่วโจ
วแห่งนี้กลับง่ายต่อการโจมตี ยากต่อการปกป้อง เพราะ
ห่างจากชายแดนมาก ในประวัติศาสตร์แม้ว่าเป่ยหรงจะ
รุกรานหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่เคยตีแตกไปจนถึง
ชายแดนได้อย่างแท้จริงเลยสักครั้ง แม้ว่าคูเมืองที่อยู่ใกล้
ชายแดนต่างสร้างได้แข็งแกร่งยากจะท าลาย แต่เมืองลั่ว
โจวที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้กระทั่งก าแพงเมืองกลับสร้างอย่าง
พอท าเนา มีก็เหมือนไม่มี
ขนาดคูเมืองที่อยู่ชายแดนพวกนั้นกองทัพใหญ่เป่ย
หรงยังสามารถตีแตกได้ เมืองลั่วโจวจึงย่อมไม่คณามือ
แน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนลั่วโจวเสียเมืองครานั้นจึง
ไม่อาจโทษซุนเย่าอู่ว่าปกป้องเมืองไว้ไม่ดีได้ เมืองที่ไร้ซึ่ง
ปัจจัยทางสภาพอากาศ ชัยภูมิและความสามัคคีของผู้คน书呆子
ต่อให้ซุนเย่าอู่เป็นซุนอู่ [1]กลับชาติมาเกิด หรือไป๋ฉี่
[2]กลับมาเกิดใหม่ก็คงจะได้แต่ปราชัยเท่านั้น
หลังจากที่กองทัพตระกูลม่อออกศึก แม้ว่าลั่วโจ
วจะใกล้กับภูเขาหลิงจิ้วมาก แต่หนึ่ง กองทัพตระกูลม่อมี
ก าลังทหารไม่เพียงพอ สองคือเมืองลั่วโจวเป็นเมืองที่ง่าย
ต่อการโจมตี ยากที่จะป้องกัน ให้แย่งชิงมานั้นไม่ยาก แต่
จะให้ปกป้องเอาไว้นั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก สุดท้ายจึงท า
ได้เพียงดึงเชิงกับกองทัพใหญ่เป่ยหรงโดยไร้ความหมาย
เท่านั้น ดังนั้นทหารตระกูลม่อจึงไม่สนใจเขามาโดยตลอด
ที่เยี่ยหลีเห็นด้วยกับการขอร้องของซุนเย่าอู่และคนอื่นๆ
นั้น เป็นเพราะทหารแนวรบกลางในกองทัพตระกูลม่อได้
ต่อสู้จนแนวทัพของทัพใหญ่เป่ยหรงถอยร่นไปจาก
สงครามที่ปะทะกันหลายศึก ทางฝั่งพวกเขาย่อมร่วมมือ
กันขับไล่กองทัพใหญ่ของเฮ่อเหลียนเผิงออกไป ส่วน
เมืองลั่วโจวตีแตกจนยึดไว้ได้แล้วจะป้องกันเมืองต่อ书呆子
อย่างไร เดิมทีกองทัพตระกูลม่อมิใช่ทหารต้าฉู่ ต่อให้เฮ่อ
เหลียนเผิงคิดจะมาแย่งกับพวกเขาก็ต้องดูว่าคุ้มค่า
หรือไม่
เมืองลั่วโจวไม่ใช่ชัยภูมิที่ดีส าหรับพักค่ายทหาร
กองทัพใหญ่ของเฮ่อเหลียนเผิงจึงไม่ได้ตั้งค่ายที่เมืองนี้
ท าเพียงแบ่งทหารส่วนหนึ่งไว้ปักหลักอยู่ที่นี่เท่านั้น
ภายใต้ราตรีนี้ ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งคูเมือง จะเห็น
แสงไฟได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น สองปีมานี้ เหล่า
ประชาชนทุกหย่อมหญ้าทางตอนเหนือต่างพากันล้มตาย
และหลบหนี เรียกได้ว่าไม่มีใครเหลือรอด แม้ว่าจะยังไม่
ดึกดื่นมากนัก แต่เมืองลั่วโจวกลับเข้าสู่ความมืดมิดกัน
ถ้วนทั่ว
ท่ามกลางผืนฟ้ายามราตรี คนชุดด ากลุ่มหนึ่งปีน
ขึ้นมาจากซากก าแพงเมืองด้านนอกอย่างคล่องแคล่ว
ว่องไว และหายวับไปในราตรีกาลด้วยความรวดเร็ว ณ ที่书呆子
ลึกลับแห่งหนึ่งไม่ไกลจากเมืองลั่วโจวนัก ซุนเย่าอู่เร้น
กายอยู่ที่คูเมืองอันไกลลิบภายใต้ราตรีอันมืดมิด เขาเดิน
ไปเดินมาอยู่กับที่ด้วยความร้อนรน ฉินเฟิงที่ยืนพิงต้นไม้
อยู่ข้างกายเขาด้วยท่าทางเกียจคร้านเห็นดังนั้นจึงยิ้มเอ่ย
ขึ้นว่า “แม่ทัพซุน นี่ท่านก าลังท าอันใดรึ”
ซุนเย่าอู่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เราหลบอยู่ที่นี่ เกิดพวก
เขาไปท าให้ทหารรักษาการณ์เมืองลั่วโจวรู้ตัวเข้าเล่า ถึง
เวลานั้นหกาพวกเขาเรียกก าลังเสริมของเป่ยหรงมาจะท า
เช่นไร ความส าเร็จอยู่ตรงหน้าแล้วจะไม่น่าเสียดายรึ”
ฉินเฟิงยิ้มเอ่ย “แม่ทัพซุนไม่ต้องกังวลไป หากเป็น
เมืองหลี ฉู่จิง หรือดินแดนที่เหลยเจิ้นถิงเฝ้ารักษาการณ์
อยู่อาจจะต้องระมัดระวังสักหน่อย แต่สถานที่อย่างลั่ว
โจวนั้น หากสามารถท าให้ทหารรักษาการณ์ไหวตัวทันได้
ล่ะก็ พวกเขาก็คงไม่ต้องอยู่แล้ว”书呆子
แม้ว่าซุนเย่าอู่จะได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของ
หน่วยกิเลนมาก่อน แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่เคยได้เห็นได้
สัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง จึงเอ่ยด้วยความฉงนว่า “นาย
พลฉินมั่นใจเพียงนี้เชียวหรือ” ฉินเฟิงเลิกคิ้วยิ้มเอ่ยว่า
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา หากข้าไม่เชื่อมั่นในผู้ใต้บังคับบัญชา
ของข้า แล้วผู้ใดจะเชื่อพวกเขากันเล่า แม่ทัพซุนก็เชื่อมั่น
ในเหล่าทหารหาญของตัวเองเช่นกันมิใช่หรือ”
ซุนเย่าอู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็จริง ข้าก็อยากจะได้
ประจักษ์ด้วยตัวเองนักว่าหน่วยกิเลนของกองทัพตระกูล
ม่อนั้นเก่งกาจเพียงใด”
ฉินเฟิงยิ้มเอ่ย “แม่ทัพซุนล้างตาคอยดูได้เลย”
ไม่ถึงครึ่งเค่อ[3] เปลวเพลิงสีมรกตที่ใช้ส่งสัญญาณ
ก็ถูกจุดขึ้นภายในเมืองลั่วโจว ซุนเย่าอู่นิ่งอึ้งโดยพลัน
“แค่นี้ก็ได้แล้วหรือ” ฉินเฟิงแย้มยิ้มกล่าวว่า “เชิญท่าน
แม่ทัพ” เมื่อซุนเย่าอู่พาเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาบุกไป书呆子
ยังเมืองลั่วโจวนั้น เห็นว่าประตูเมืองได้ถูกเปิดอ้าไว้แล้ว
ภายในเมืองเกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นหนึ่งวันเต็มๆ แต่
กองทัพใหญ่เป่ยหรงที่สามารถขึ้นก าแพงเมืองมาต้านการ
โจมตีของพวกเขาได้กลับมีเพียงหยิบมือ ทั้งหมดทั้งมวลนี้
พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็เข้ายึดเมืองลั่วโจวไว้ได้
ส าเร็จ จนเมื่อซุนเย่าอู่ได้มายืนบนก าแพงเมืองลั่วโจวอีก
ครั้ง เขาก็ยังคงไม่หลุดออกจากภวังค์
หากเมืองลั่วโจวโจมตีได้ง่ายเพียงนี้ สองปีที่ผ่านมา
เขามัววุ่นอยู่กับอันใดกัน
[1] ซุนอู่ ผู้เขียนต าราพิชัยสงครามซุนจื่อ ที่นับว่าเป็นต ารายุทธศาสตร์ทางทหาร ที่มีอิทธิพลมากของ
ประเทศจีน
[2] ไป๋ฉี่ ขุนพลของแคว้นฉิน ในยุครณรัฐที่บ้านเมืองวุ่นวายของจีน รับราชการเป็นผู้บัญชาการกองทัพ
ฉินมากกว่า 30 ปี ยึดเมืองมากกว่า 73 เมืองจากอีก 6 แคว้นที่เป็นศัตรู และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการ
บันทึกว่าเขาไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
[3] เค่อ หน่วยเวลาของจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที