ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 366-3 กลยุทธ์ที่ใสสะอำด คนเลว
โจวหมิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “พระ
ชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่เกณฑ์ทหารจากซีเป่ยมาเล่า
พ่ะย่ะค่ะ” ระบบการรับราชการทหารของซีเป่ยมีความ
แตกต่างกับแคว้นอื่นๆ ดังนั้น ความสามารถในการเกณฑ์
พลทหารใหม่จึงแข็งแกร่งกว่าแคว้นอื่นๆ อยู่มาก หากม่อ
ซิวเหยายินดีล่ะก็ เขาสามารถเกณฑ์พลทหารใหม่จ านวน
แสนนายมาได้ตลอดเวลา อีกทั้งทหารใหม่เหล่านี้ยังไม่
เหมือนกับทหารใหม่ธรรมดาที่เพิ่งจะเข้าร่วมทัพอีกด้วย
พวกเขาต่างเคยผ่านการฝึกฝนกันมาแล้วไม่มากก็น้อย
จุดนี้จึงเหมือนกับเป่ยหรงอยู่บ้าง ทว่าการเกณฑ์ทหาร
ของเป่ยหรงเกิดจากอิทธิพลประเพณีนิยมของสังคมที่ทุก
คนต่างฝึกวรยุทธ แต่ของซีเป่ยเกิดจากระบบการรับ
ราชการทหาร บุรุษทุกคนเมื่ออายุครบสิบหกปีบริบูรณ์书呆子
จะต้องเข้ารับราชการทหารในกองทัพเป็นเวลาสองปี
ก่อนที่จะสวมมงกุฎ
เยี่ยหลีอมยิ้มส่ายหน้าเอ่ยว่า “แม้ว่าเป่ยหรงจะ
กล้าหาญ แต่ยังไม่พอที่จะให้ต าหนักติ้งอ๋องทุ่มเทก าลัง
ทั้งหมดเพื่อคานอ านาจกับเขา ในอีกหลายปีข้างหน้า
เกรงว่าใต้หล้านี้ก็คงยังไม่สงบสุขเท่าใดนัก หากสิ้นเปลือง
ก าลังพลและก าลังอาวุธทั้งหมดไปในชั่วพริบตาแล้ว
ต่อไปจะท าอย่างไร”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” โจวหมิ่นไม่ได้มีเรื่องที่ต้อง
ครุ่นคิดมากเท่าท่านอ๋องกับพระชายา เขาเพียงแค่ต่อสู้
กับศัตรูเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาก็พอแล้ว ในเมื่อพระ
ชายาติ้งอ๋องว่ามาเช่นนี้ เขาก็ย่อมไม่ไปถามให้มากความ
อีก书呆子
“เรียนพระชายา เฮ่อเหลียนเผิงเพิ่งจะส่งกองทัพ
ใหญ่แสนนายไปยังเมืองฮุ่ยพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษในชุดด า
ด้านหลังเข้ามารายงาน
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าทราบแล้ว ไปเถิด”
นางโบกมือให้บุรุษที่มารายงาน ครุ่นคิดไปพลาง เอ่ยไป
พลาง “เฮ่อเหลียนเผิงน่าจะมีทหารสี่แสนกว่านายอยู่ใน
มือ ส่วนที่ออกไปช่วยลั่วโจวกับเมืองฮุ่ย ในมือเขาน่าจะ
เหลือทหารอยู่อย่างน้อยสองแสนนาย”
โจวหมิ่นมีสีหน้าฉงนเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงขรึมว่า
“พระชายา ยามนี้ทหารที่เรามีนั้นไม่ถึงแสนนายเลยนะ
พ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “อย่าใจร้อน ทิ้งค่ายอีกสอง
แห่งไปเสีย เฝ้าปกป้องแนวทัพกลางไว้ ถนนหนทางใน
ภูเขาหลิงจิ้วขรุขระ ง่ายต่อการปกป้อง ยากต่อการโจมตี
ขอแค่เราป้องกันไว้ได้ครึ่งเดือนก็สามารถท าให้เหอซู่ได้书呆子
เมืองฮุ่ยมาครองแล้ว ต่อให้ไม่เป็นผล…ข้าก็จะสั่งให้แม่
ทัพหยวนเผยทิ้งภูเขาหลิงจิ้ว แล้วน าทัพไปขวางกองทัพ
ใหญ่เป่ยหรงเอาไว้ที่ด่านเฟยหงทันที” แม้ว่าท าเช่นนี้จะ
เสี่ยงอยู่ไม่น้อย แต่หากส าเร็จได้ล่ะก็ ตั้งแต่นี้ไปเหอซู่จะ
ได้ยึดครองเมืองฮุ่ย ซุนเย่าอู่ยึดครองลั่วโจว เมื่อผนวก
ก าลังรวมกับภูเขาหลิงจิ้วก็จะกลายเป็นสามเหลี่ยมปิด
ล้อมกองทัพใหญ่ของเฮ่อเหลียนเผิงไว้ตรงกลาง ถึงครา
นั้น ต่อให้เฮ่อเหลียนเผิงคิดอยากจะถอยก็คงถอยไม่ได้
แล้ว
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยสาบานว่าต่อให้ตายก็
จะปกป้องภูเขาหลิงจิ้วเอาไว้ให้ได้ เพียงแต่…พระชายา
ต้องรุดหน้าไปยังด่านเฟยหงก่อนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” โจวห
มิ่นครุ่นคิดแล้วก็รู้ว่ายังคงเป็นปัญหา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ
ว่าพระชายาจะสามารถร่วมพลีชีพไปกับเหล่าทหารได้书呆子
แต่ฐานะของพระชายานั้นไม่จ าเป็นต้องมาเสี่ยงอันตราย
เช่นนี้
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าเชื่อว่าแม่
ทัพโจวจะสามารถปกป้องเขาหลิงจิ้วไว้ได้”
เยี่ยหลีกล่าวเช่นนี้ โจวหมิ่นก็ไม่อาจไปเกลี้ยกล่อม
อะไรนางอีก ท าเพียงตัดสินใจอยู่ในใจเงียบๆ ว่าไม่อาจ
ให้เฮ่อเหลียนเผิงมาแบ่งเอาเขาหลิงจิ้วไปได้แม้แต่ครึ่ง
ก้าว หากปกป้องไว้ไม่ได้จริงๆ ถึงเวลานั้นต่อให้ต้องใช้ไม้
แข็งก็ต้องส่งพระชายาไปด่านเฟยหงให้ได้
เพียงไม่นาน ระแวกเขาหลิงจิ้วก็ตกสู่ความโกลาหล
จากสงคราม แล้วก็เป็นไปตามที่เยี่ยหลีกับโจวหมิ่น
คาดการณ์ไว้จริงๆ เฮ่อเหลียนเผิงไม่ได้ไปช่วยเมืองฮุ่ย
กับลั่วโจวด้วยตัวเอง กลับกัน เขารวบรวมทหารที่เหลือ
สองแสนนายไปโจมตีภูเขาหลิงจิ้วอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทหารที่ปะทะกับหลี่ว์จิ้นเสียนอยู่ทางตะวันออกนั้นแข็ง书呆子
ข้ออยู่นานแต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถตีให้แตกได้เสียที
ส่วนทหารแนวรบกลางที่เยียหลี่ว์เหยี่ยกับเฮ่อเหลียนเจิน
ร่วมมือกันน าทัพแปดแสนนายเข้าต่อสู้กับม่อซิวเหยา ก็
นึกไม่ถึงว่าจะสู้กับทหารเพียงห้าแสนนายของม่อซิวเหยา
ไม่ได้ สู้รบกันมาครึ่งเดือนล้วนแพ้มากกว่าชนะ เมื่อตก
อยู่ใต้ภาวะอับจนหนทาง จึงจ าต้องถอยร่นไปก่อน หาก
เฮ่อเหลียนเผิงสามารถเปิดทางจากภูเขาหลิงจิ้วได้ ก็ย่อม
แก้ไขสถานการณ์ล าบากตรงหน้าของทัพใหญ่เป่ยหรงไป
ได้ ที่ส าคัญไปกว่านั้นคือฤดูหนาวของเป่ยหรงมาไวนัก
อีกไม่นานฤดูหนาวก็จะมาถึงแล้ว ถึงเวลานั้นเสบียง
อาหารของกองทัพใหญ่เป่ยหรงก็จะยิ่งเป็นปัญหามากขึ้น
กว่ายามนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว แม้ว่าเฮ่อเหลียนเผิงจะ
ทราบว่าเยี่ยหลีวางแผนเช่นนี้ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดีต่อ
ตนเอง ทว่าก็จ าเป็นต้องทุ่มสุดก าลังเพื่อโจมตีภูเขาหลิงจิ้
วต่อไปให้ได้书呆子
ด้านหน้าทัพภูเขาหลิงจิ้ว กองทัพทั้งสองฝ่ายปะทะ
ติดต่อกันห้าวัน แต่ละฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายไปนับไม่
ถ้วน ทว่ากลับไม่มีใครคิดจะถอยทัพเลยสักนิด เทียบกัน
แล้ว ครานี้กลับเป็นกองทัพตระกูลม่อที่เสียเปรียบ ยามนี้
ก าลังรบของกองทัพตระกูลม่อสู้กองทัพใหญ่เป่ยหรง
ไม่ได้ จ านวนคนและม้าก็เทียบไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะ
ภูเขาหลิงจิ้วง่ายต่อการปกป้อง ยากต่อการโจมตีแล้วล่ะ
ก็ เกรงว่ากองทัพตระกูลม่อคงได้พ่ายแพ้ไปนานแล้ว
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเผิงกลับล าบาก
กว่าเยี่ยหลีและโจวหมิ่น แม้จ านวนพลที่บาดเจ็บล้มตาย
ของเขาจะน้อยกว่ากองก าลังตระกูลม่ออยู่บ้าง แต่ในมือ
เขาเหลือกองก าลังเพียงสองแสนนายเท่านั้น และจนถึง
ยามนี้ทหารที่ส่งให้ไปช่วยลั่วโจวกับเมืองฮุ่ยก็ยังไม่ส่งข่าว
กลับมา หากบาดเจ็บล้มตายไปมากกว่านี้ ต่อให้เขา
ท าลายกองก าลังภูเขาหลิงจิ้วไปจนสิ้น ก็เกรงว่าพอผ่าน书呆子
ภูเขาหลิงจิ้วนี้ไปได้ทหารที่เหลือของตนก็คงไม่พอให้
กองทัพตระกูลม่อที่ด่านเฟยหงได้เหยียบย่ า ถึงเวลานั้น
ทั้งสองฝ่ายคงบาดเจ็บสูญเสียกันไปทั้งคู่ ที่โชคร้ายที่สุดก็
คือ เยี่ยหลีบาดเจ็บสูญเสียได้เพราะนางยังมีทหาร
รักษาการณ์ที่ด่านเฟยหงกับกองทัพตระกูลม่ออยู่ แต่เฮ่อ
เหลียนเผิงกลับไม่อาจสูญเสียได้ เมื่อใดก็ตามที่เขาเสีย
เมืองลั่วโจวกับเมืองฮุ่ยไป ต่อให้เขาเอาชนะกองก าลัง
ภูเขาหลิงจิ้วได้ก็ไม่กล้าเดินหน้าสู้ต่อ หากเดินหน้าสู้ต่อ
คงได้กลายเป็นกองทัพเดียวดายแน่
“เยี่ย! หลี!” เฮ่อเหลียนเผิงที่ยืนอยู่แนวหน้าของ
ขบวนทัพ พอมองเห็นทหารบาดเจ็บและมีสีหน้าเหนื่อย
ล้าก็กัดฟันกรอด แววตายิ่งบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิม “สมกับ
เป็นพระชายาติ้งอ๋อง ข้าถูกเจ้าคิดบัญชีเอาเสียแล้ว แต่
ว่า…ครานี้เจ้าได้เอาชีวิตของตัวเองเข้ามาเสี่ยงด้วยใช่
หรือไม่”书呆子
เฮ่อเหลียนเผิงทอดสายตามองไปบนภูเขาหลิงจิ้
วเบื้องหน้า ธงสีด าของกองทัพตระกูลม่อปลิวไสว
ท่ามกลางแรงลม เขาหัวเราะเสียงเย็นเยียบ “ในเมื่อเรื่อง
มาถึงขั้นนี้แล้ว หากข้าไม่โจมตีเขาหลิงจิ้วของเจ้าให้แตก
พ่าย ก็คงจะท าให้ผู้คนหัวเราะเยาะว่าข้าไร้ความสามารถ
สินะ”
“ทหาร!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!” แม่ทัพนายหนึ่งรีบเข้ามารอ
รับค าสั่ง เฮ่อเหลียนเผิงเงยหน้าขึ้นจ้องไปยังเนินเขาที่
ห่างไปไม่ไกลนัก เอ่ยเสียงเข้มว่า “โจมตีภูเจาหลิงจิ้วต่อ
ไป ไม่แตกพ่ายก็ไม่ต้องพัก!” แม่ทัพคนนั้นตกตะลึง เอ่ย
อย่างล าบากใจอยู่เล็กน้อยว่า “ท่านแม่ทัพ เขาหลิงจิ้ว
ง่ายจะปกป้อง แต่ยากจะโจมตี เกรงว่า…” สายตาคม
กริบดุจคมมีดของเฮ่อเหลียนเผิงกวาดไปมอง ท าเอาคนผู้
นั้นจ าต้องกลืนค าพูดที่อยู่ปลายลิ้นลงคอไป เฮ่อเหลียน书呆子
เผิงจ้องมองเขาแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “ผู้ใดกล้าถอย ให้ตัด
หัวทันที!”
“ขอรับ!”
บนภูเขาหลิงจิ้วก็ได้เตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเช่นกัน
บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความตึงเครียด
หลินหานติดตามอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีที่ก าลังตรวจตราแนว
ทัพหน้าด้านนอกค่าย เห็นทหารจ านวนหนึ่งที่นั่งพักผ่อน
ในจ านวนทหารกลุ่มนั้นมีไม่น้อยที่ตามตัวมีบาดแผลที่ยัง
ไม่ทันได้รักษา หลินหานขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้
มองเยี่ยหลีที่เดินอยู่เบื้องหน้าด้วยความกังวล คิดจะเกลี้ย
กล่อมให้นางจากที่นี่ไปเสียแต่เนิ่นๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปาก
ขึ้นมาอย่างไรดี
เหล่าทหารที่นั่งพักผ่อนกันอยู่บนพื้นพอเห็นเยี่ยหลี
เดินมาหาก็ต่างคิดจะลุกขึ้นท าความเคารพ เยี่ยหลีโบก
มือให้พวกเขาไม่ต้องขยับ นางเดินไปเบื้องหน้าทหารนาย书呆子
หนึ่งที่แขนขวามีเลือดอาบท่วมก าลังนั่งพิงกองฟาง
พักผ่อนอยู่ แล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “เกิดอันใดขึ้นรึ เหตุ
ใดจึงไม่ไปท าแผลเล่า”
ทหารนายนั้นดูท่าทางน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ด
สิบแปดปี เมื่อเห็นเยี่ยหลีถามตนก็หน้าแดงท่าทาง
ระมัดระวังอย่างมาก พยักหน้างกๆ เอ่ยว่า “ระ…เรียน
พระชายา ข้าบาดเจ็บไม่หนัก แค่หนังถูกฟันเท่านั้น ไม่
ต้องพันแผลพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีนั่งยองๆ ลงมา ยกมือถลก
แขนเสื้อเขาขึ้น บาดแผลไม่หนักจริงๆ ไม่ได้สาหัสถึงชีวิต
แต่เสียเลือดไปไม่น้อย หากเป็นยามปกติก็คงไม่เป็นอะไร
ทว่าในสถานการณ์ยามนี้เกรงว่าหากต้องใช้แรงปากแผล
คงปริหนักและยิ่งสาหัสกว่านี้แน่ เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นาง
หยิบยามาจ านวนหนึ่งใส่ลงบนบาดแผลให้เขา หลินหันที่
อยู่ด้านหลังส่งผ้าผืนหนึ่งตามมาให้ เยี่ยหลีรับมาแล้วพัน
แผลให้อย่างคล่องแคล่ว