ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 367-1 เฮ่อเหลียนพ่ำยศึก
“ข้าน้อยเชิญพระชายาไปเป็นแขกที่เป่ยหรงด้วย
ความจริงใจ เหตุใดพระชายาจ าต้องไร้เยื่อใยเพียงนี้”
เยี่ยหลีได้ฟังสิ่งที่เฮ่อเหลียนกล่าว มุมปากก็กระตุก
อย่างไร้ร่องรอย นางเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ข้าก็ขอเชิญ
ท่านแม่ทัพให้รั้งอยู่สักครู่หนึ่งเช่นกัน เหตุใดท่านแม่ทัพ
ต้องใจร้อนจากไปด้วยเล่า” เฮ่อเหลียนเผิงมองระยะห่าง
ระหว่างเขากับนางที่ไกลกันออกไปมากแล้ว ก็ให้จน
ปัญญา ไม่ใช่ว่าเขาใจร้อนรีบจากไป แต่เพราะหากยามนี้
ยังไม่ไปล่ะก็เกรงว่าจะไม่มีวันได้ไปอีกแล้วต่างหาก
หน่วยกิเลนของกองทัพตระกูลม่อนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
บุรุษชุดด าที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลีเหล่านั้น หากมอง
เดี่ยวทีละคนเฮ่อเหลียนเผิงกลับไม่เห็นพวกเขาอยู่ใน
สายตา ทว่าพอคนเหล่านี้ร่วมมือกัน ยังไม่ต้องลงมือท า书呆子
อะไร เขาก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างคาดไม่ถึงแล้ว ดังนั้น
จึงจ าต้องถอยออกไปไกลถึงเพียงนี้
เฮ่อเหลียนเผิงมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยอย่างเสียดายว่า
“ได้ข่าวว่าหน่วยกิเลนเป็นหน่วยที่พระชายาติ้งอ๋องฝึกฝน
มากับมือ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าเล่าติ้งอ๋องจึงกล้า
แม้กระทั่งบุกเข้ามาในค่ายใหญ่ของเป่ยหรงเพื่อพระ
ชายา”
เยี่ยหลีได้ยินดังนั้นก็นิ่งอึ้งอย่างอดไม่ได้ นางเอ่ย
เสียงขรึมว่า “เจ้าพูดอันใด”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของนาง เฮ่อเหลียนเผิงก็
ชะงักไปเช่นกัน เรื่องใหญ่อย่างการที่ม่อซิวเหยาบุกเข้า
มาในค่ายทหารเป่ยหรงตัวคนเดียว แล้วเข่นฆ่าผู้คนจน
โลหิตเจิ่งนองเป็นแม่น้ าเช่นนี้ ตามหลักการแล้วทหาร
ตระกูลม่อน่าจะป่าวประกาศไปทั่วแล้ว เขาจะรู้ได้
อย่างไรว่าม่อซิวเหยากลัวเยี่ยหลีรู้เข้าแล้วจะโกรธเอา จึง书呆子
ได้ออกค าสั่งอย่างเคร่งครัดว่าไม่อนุญาตให้ใครแพร่ง
พรายเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด ส่วนกองทัพใหญ่เป่ยหรง
ย่อมไม่อาจแพร่งพรายเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ออกไปอยู่
แล้ว ดังนั้นแล้ว จนกระทั่งตอนนี้จึงยังไม่มีข่าวมาถึงหูเยี่ย
หลีเลยแม้แต่น้อย
ทว่าในเมื่อพูดออกไปแล้ว เฮ่อเหลียนเผิงก็ไม่สนว่า
จะพูดมากพูดน้อยอีก เขาอมยิ้มมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า
“วันนั้นติ้งอ๋องบุกมายังกองทัพเป่ยหรงตามล าพัง หนึ่ง
คนหนึ่งกระบี่สังหารทหารหาญไม่เลือกหน้า นึกไม่ถึงว่า
พระชายาจะไม่ทราบได้”
เยี่ยหลีพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม นางเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่บอกกล่าว ยามนี้ข้าทราบแล้ว”
เห็นปฏิกิริยาของเยี่ยหลีไม่เป็นไปดังที่ตนคาด
เอาไว้ ราวกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมานั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เฮ่อเหลียนเผิงจึงยักไหล่อย่างผิดหวัง书呆子
อยู่บ้าง เขายิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าแล้ววันนี้คงจะเชิญพระชายา
ไปไม่ได้แล้วกระมัง อนาคตเรายังอีกยาวไกล ข้าจะดูซิว่า
ภูเขาหลิงจิ้วของพระชายานี้จะรักษาไว้ได้สักกี่น้ า” กล่าว
จบก็ไม่รั้งอยู่ต่ออีก เขาเหาะเหินจากไปทางด้านหลัง ใน
ฐานะที่เขาเป็นผู้น ากองทัพทั้งหมด ย่อมไม่อาจอยู่ห่าง
จากสนามรบได้นาน
หลินหานที่ยืนอยู่ด้านข้างเยี่ยหลีเห็นสีหน้าพระ
ชายาเรียบนิ่งไร้อารมณ์ก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“พระชายาโปรดอย่าโกรธเคืองไป ในเมื่อทางด้านทหาร
แนวกลางมิได้ส่งข่าวใดมา เชื่อว่าท่านอ๋องคงจะปลอดภัย
ดีเป็นแน่” ม่อซิวเหยาไม่เพียงแต่ปิดบังเยี่ยหลีเท่านั้น แต่
ยังปิดบังทุกๆ คนในค่ายใหญ่ภูเขาหลิงจิ้วเพื่อไม่ให้เยี่ย
หลีรู้เรื่องนี้ ดังนั้น หลินหานได้ยินเรื่องนี้เข้าจึงตกใจไม่
น้อยไปกว่าเยี่ยหลี书呆子
เยี่ยหลีเงียบงันไปพักหนึ่งจึงถอนใจออกมาแล้วเอ่ย
ว่า “สู้รบตรงนี้ให้เสร็จ แล้วกลับไปค่อยว่ากัน” หากบอก
ว่าเยี่ยหลีโกรธม่อซิวเหยาที่ปิดบังเรื่องส าคัญเช่นนี้กับ
นาง ไม่สู้บอกว่านางตกใจและเจ็บปวดจะดีกว่า เยี่ยหลีรู้
มาโดยตลอดว่าม่อซิวเหยาดีกับตนอย่างที่สุด เรียกได้ว่า
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ล้วนไม่มีใครที่ถือว่าการมี
ตัวตนของนางส าคัญที่สุดได้เหมือนกับเขาเลยสักคน หาก
บอกว่าครานี้ม่อซิวเหยาเกิดนึกคึกวิ่งโร่ไปยังค่ายใหญ่
ของเป่ยหรงเพื่อไล่ฟันมั่วซั่ว จะมีใครเชื่อ ต้องเป็นเพราะ
ตนถูกเฮ่อเหลียนเผิงโจมตี ม่อซิวเหยาจึงได้ท าเรื่องถึงขั้น
นี้ได้…เยี่ยหลีพลันนึกเสียใจที่ตอนนั้นออกจากกองทัพ
แนวกลางไปยังภูเขาหลิงจิ้ว บางที นางน่าจะอยู่ข้างกาย
เขาถึงจะดีที่สุด…
ทว่า เสียใจก็เป็นอารมณ์เพียงชั่ววูบเท่านั้น เยี่ยหลี
เป็นคนมีสติพอที่จะเข้าใจอะไรง่ายมาโดยตลอด นางไม่มี书呆子
วันคิดว่าการมีอยู่ของตนไม่สามารถขาดหายไปได้ แต่
ขณะเดียวกันนางก็รู้ว่าจะวางตัวเองไว้ในจุดไหนเพื่อ
ส่งผลดีต่อเรื่องราวและสถานการณ์มากที่สุด สติปัญญา
เช่นนี้บางครั้งก็เหมือนว่าเฉยชาจนถึงขั้นเย็นชา แต่การ
ท าเช่นนี้ไม่ใช่วิธีการอีกแบบหนึ่งในการท าให้คนรักสม
ปรารถนาหรอกหรือ มีเพียงการจบสิ้นศึกครั้งนี้ให้
สมบูรณ์เท่านั้นที่จะท าให้กองทัพตระกูลม่อและ
ต าหนักติ้งอ๋องมั่นคงได้อีกครั้ง ความโกรธแค้นและปม
ภายในใจของม่อซิวเหยาจึงจะคลายออกจนหมดสิ้น
เยี่ยหลีกลับไม่รู้ว่า ในขณะที่นางก าลังกังวลและคิด
วนอยู่กับเรื่องของม่อซิวเหยานั้น ม่อซิวเหยาก็ก าลัง
ระเบิดอารมณ์เพราะเรื่องของเยี่ยหลีอยู่เช่นเดียวกัน
ภายในกระโจมใหญ่ของกองทัพตระกูลม่อ ม่อซิวเหยายัง
อยู่บนต าแหน่งประธานด้วยสีหน้าอึมครึม เขาเอ่ยเสียง
เข้มว่า “ดังนั้นแล้ว พระชายากับโจวหมิ่นที่ยามนี้พา书呆子
ทหารไปแค่แสนนาย ถูกทหารสองแสนกว่านายของเฮ่อ
เหลียนเผิงล้อมอยู่บนเขาอย่างนั้นรึ”
ทุกคนเงียบงันกันครู่หนึ่ง หนานโหวลุกขึ้นเอ่ยว่า
“ท่านอ๋อง ข้าคิดว่าพระชายาน่าจะไม่โดนล้อมอยู่บนเขา
แต่เพื่อยื้อเวลาให้แม่ทัพซุนกับแม่ทัพเหอได้ก าจัดกองทัพ
ใหญ่เป่ยหรงในลั่วโจวและเมืองฮุ่ย พอแม่ทัพเหอกับแม่
ทัพซุนยึดครองสองเมืองได้อย่างมั่นคงแล้ว ทั้งสามทัพก็
จะรวมกันสามด้าน เฮ่อเหลียนเผิงนอกจากจะพ่ายแพ้
เพราะโดนล้อมแล้วยังไร้ซึ่งหนทางรอดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งจือเหยาก็เอ่ยขึ้นเช่นกันว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อย
คิดว่าหนานโหวพูดถูก ยิ่งไปกว่านั้นภูเขาหลิงจิ้วง่ายจะ
ปกป้อง แต่ยากจะถูกโจมตี เฮ่อเหลียนเผิงคิดจะโจมตี
ค่ายใหญ่ เกรงว่าคงจะไม่ง่ายเพียงนั้น อีกอย่าง ภูเขาห
ลิงจิ้วก็ห่างจากด่านเฟยหงไม่มาก หากเกิดเรื่องอันใด
ขึ้นมาจริงๆ ท่านแม่ทัพหยวนเผยต้องไม่อยู่เฉยแน่พ่ะย่ะ书呆子
ค่ะ” เรื่องเหล่านี้ม่อซิวเหยาย่อมตระหนักได้เองเช่นกัน
แต่ที่เฟิ่งจือเหยาพูดมากมายเพียงนี้ก็เพราะกลัวว่าม่อซิว
เหยาจะหุนหันพลันแล่นทิ้งทหารหลายแสนนายไปเขาห
ลิงจิ้วน่ะสิ
เห็นได้ชัดว่าม่อซิวเหยากลับไม่ได้บุ่มบ่ามอย่างที่
เขาคิด แม้ว่าสีหน้าจะไม่น่าดูแต่ไม่ได้ผลีผลามไปลงมือท า
อันใด
“ทหารของด่านเฟยหง หากอาหลีไม่ถึงขั้นจวนตัว
นางไม่มีทางให้เคลื่อนไหวหรอก เฟิ่งจือเหยา เจ้ารีบน า
กองก าลังสองแสนนายไปภูเขาหลิงจิ้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ย
เสียงเครียด
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะท่าน
อ๋อง หากส่งทหารสองแสนนายไปภูเขาหลิงจิ้ว ค่ายใหญ่
กองทัพแนวกลางก็จะ…” เฟิ่งจือเหยาเชื่อว่าด้วย
ความสามารถของม่อซิวเหยา ทหารสามแสนนายประมือ书呆子
กับกองทัพใหญ่เป่ยหรงเจ็ดแปดแสนนายก็ไม่มีทางแพ้
แต่นั่นต้องดูด้วยว่าอยู่ในเวลาใด สถานที่ไหน ยามนี้แทบ
จะเรียกได้ว่าเป็นเวลาที่ทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากันแล้ว
ต่อให้ทหารตระกูลม่อเก่งกาจกว่านี้ก็ไม่อาจต้านทหาร
ฝ่ายศัตรูที่มีมากกว่าตนหลายเท่าตัวได้ ที่ส าคัญกว่านั้น
คือการส่งทหารยอดฝีมือเช่นนี้ไปยังภูเขาหลิงจิ้วก็เป็น
เรื่องที่สิ้นเปลืองเช่นกัน
ม่อซิวเหยาย่อมรู้ดีว่าตนจัดการได้ไม่เหมาะสม เขา
เงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดก็โบกมือเป็นการบอกว่าเรียก
ค าพูดเมื่อครู่ทั้งหมดคืนกลับมา
“หากท่านอ๋องวางใจ ให้ข้าน้อยไปเขาหลิงจิ้วดี
หรือไม่” จู่ๆ หานหมิงเย่ว์ที่นั่งอยู่ปลายแถวข้างหานหมิง
ซีก็เอ่ยขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงไป ขุนนางอาวุโสของ
ต าหนักติ้งอ๋องล้วนทราบกันดีว่าติ้งอ๋องกับคุณชายหมิง
เย่ว์เคยนับถือกันเป็นพี่น้องและสหายที่ดีต่อกัน แม้จะไม่书呆子
ทราบว่าต่อมาเหตุใดจึงขัดแย้งกัน แต่หลายปีมานี้ทุกคน
ต่างเห็นท่าทางที่ติ้งอ๋องปฏิบัติต่อคุณชายหมิงเย่ว์ดี ให้
บอกว่าไม่สนใจนั้นยังเบาไป หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่
หน้าของหานหมิงซีล่ะก็ เกรงว่าเมืองหลีคงไร้ซึ่งร่างของ
คุณชายหมิงเย่ว์ไปนานแล้ว แม้ว่าความสามารถของ
คุณชายหมิงเย่ว์จะดีกว่าผู้น าตระกูลหานคนปัจจุบันอย่าง
หานหมิงซีอยู่มาก แต่ต าหนักติ้งอ๋องกลับท าเหมือนว่า
หานหมิงเย่ว์ไร้ตัวตนมาโดยตลอด ไม่ว่าเรื่องใดล้วน
ปรึกษาแต่หานหมิงซี ถึงขั้นที่คุณชายหานหมิงเย่ว์ไร้ซึ่ง
อ านาจและต าแหน่งใดๆ ทั้งยังต้องช่วยตามล้างตามเช็ด
ให้น้องชายตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
และด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหานหมิงเย่ว์กับหานหมิงซีจะ
ใกล้ชิดสนิทสนมกันมาตลอด แต่เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
หานหมิงเย่ว์กลับไม่เคยเอ่ยปากแสดงความคิดเห็นใด
ออกมาเลย ยามนี้เมื่อจู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นมากะทันหันจึงท า书呆子
ให้ทุกคนคาดไม่ถึงกันอยู่เล็กน้อย หนานโหวและคนอื่นๆ
ไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างม่อซิวเหยากับหานห
มิงเย่ว์ ยามนี้จึงนึกได้เพียงว่าว่าในปีนั้นคุณชายหมิงเย่ว์ผู้
นี้ก็เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งเช่นกัน สายตาเขาจึง
เป็นประกายขึ้นมาอย่างอดไม่ได้