ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 368-2 ควำมอำลัยรักของทั้งคู่ ข่ำวด่วนจำก เจียงหนำน
คิดไปคิดมา ก็หาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองที่
เหมาะสมไม่ได้เลยสักคน เยียหลี่ว์เหยี่ยจึงพยักหน้าเอ่ย
ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็ล าบากท่านลุงแล้ว” เฮ่อ
เหลียนเจินยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดวางใจ ข้าน้อยย่อมไม่
ท าให้ฝ่าบาทผิดหวัง หลังจากที่ข้าน้อยไปแล้ว เรื่องการ
รบกับทหารตระกูลม่อนั้นหากสู้ได้ก็สู้ หากสู้ไม่ได้ก็อดทน
อีกหน่อย เมื่อใดที่ซีหลิงกับต้าฉู่สองทัพมีความ
เคลื่อนไหว ความกดดันของฝ่าบาทก็คงจะลดลงไม่
น้อย”
เยียหลี่ว์เหยี่ยพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าทราบแล้ว”
เฮ่อเหลียนเจินมองเฮ่อเหลียนเผิงที่ยังคุกเข่าอยู่บน
พื้นแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “เฮ่อเหลียนเผิง…”
เยียหลี่ว์เหยี่ยมองเฮ่อเหลิงเผิงอย่างขัดหูขัดตา เมื่อครู่ก็书呆子
ไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้น เฮ่อเหลียนเผิงจึงจ าต้องคุกเข่าไว้
ตลอด
“ลุกขึ้นเถิด” เยียหลี่ว์เหยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ
“กลับไปพักที่กระโจมของตัวเองก่อน เดี๋ยวข้าจะกลับไป
คิดว่าให้เจ้าท าอันใดดี”
เฮ่อเหลียนเจินก็ทราบดีว่าพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
จึงจ าต้องพยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่อภัย”
เฮ่อเหลียนเผิงลุกขึ้น “ขอบพระทัยฝ่าบาท” เยียห
ลี่ว์เหยี่ยส่งเสียงเฮอะออกมาอย่างเย็นชา คร้านจะไป
สนใจเขาอีก
เฮ่อเหลียนเผิงที่ออกจากกระโจมใหญ่มา พอ
กลับไปยังกระโจมของเฮ่อเหลียนเจินแล้วก็คุกเข่าลงไป
ใหม่ “ขอท่านพ่อโปรดลงโทษด้วย” เฮ่อเหลียนเจินมอง
เขาด้วยสีหน้าเย็นชาอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ข้าเคยบอกเจ้าว่าเขาหลิงจิ้วแค่ยืนหยัดรักษาไว้อย่าง书呆子
เหนียวแน่นก็พอแล้วมิใช่หรือ ใครให้เจ้าไปเอาจริงกับ
พระชายาติ้งอ๋องกัน”
เฮ่อเหลียนเผิงก้มหน้าเงียบกริบไม่พูดค าใด
เฮ่อเหลียนเจินจ้องมองเขาพลางเอ่ยเสียงเย็นชาว่า
“ฝ่าบาทออกค าสั่งให้เจ้ากลับมา ด้วยสติปัญญาของเจ้า
จะดูไม่ออกเชียวหรือว่านั่นคือเจตนาของข้า นึกไม่ถึงว่า
เจ้าจะยังกล้าฝ่าฝืนค าสั่ง! เฮ่อเหลียน ข้าคาดหวังต่อเจ้า
มากมายมาโดยตลอด แต่ตั้งแต่เจ้าออกรบมา เจ้าท าให้
ข้าผิดหวังเหลือเกิน”
เฮ่อเหลียนเผิงหมดค าจะแย้ง ไม่เพียงแต่เฮ่อ
เหลียนเจินที่ผิดหวังในตัวเขา แม้กระทั่งตัวเฮ่อเหลียนเผิง
เองก็ยังผิดหวังในตัวเองด้วยเช่นกัน เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึง
ว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับพระชายาติ้งอ๋อง ซ้ ายังแพ้อย่าง
น่าอเนจอนาถเช่นนี้ด้วย书呆子
แม้ว่าเฮ่อเหลียนเผิงจะเกิดที่เป่ยหรง อีกทั้งยังเป็น
เด็กก าพร้าที่ถูกเฮ่อเหลียนเจินเก็บมาเลี้ยง แต่เขากลับ
คารวะมู่หรงสยงที่เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของ
จงหยวนมาเป็นอาจารย์ ร่ าเรียนวรยุทธและวัฒนธรรมจง
หยวนอย่างล าบากล าบน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขา
คิดว่าตัวเองแตกต่างจากชนเผ่าที่ถูกชาวจงหยวนเรียกว่า
ป่าเถื่อนพวกนั้น ความคิดเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยสักครั้ง
แม้จะติดตามพ่อเลี้ยงมาเข้าร่วมในสนามรบ ถวายชีวิต
ท างานให้แก่องค์ชายเจ็ดแล้วก็ตาม ในส่วนลึกเขายังรู้สึก
อยู่รางๆ ว่า นนเองนึกดูถูกกระทั่งเองค์ชายเจ็ดผู้สูงส่ง
แต่หลังจากผ่านการพ่ายแพ้ครานี้มาแล้วเขาจึงได้รู้แจ้งว่า
ชาวเป่ยหรงของตัวเองไม่ใช่คนหยาบช้าป่าเถื่อนเหมือนที่
ตนคิด พวกเขาไม่แตกต่างอะไรกับตนเองเลยด้วยซ้ า
อย่างน้อย ยามนี้ในสนามรบเป่ยหรง นอกจากค่ายทหาร
ใหญ่แนวรบกลางที่เป็นศัตรูกับติ้งอ๋องแล้ว ทหารจาก
แนวรบอื่นๆ ก็พ่ายแพ้ให้กับเขาอย่างดูไม่ได้เป็นที่สุด书呆子
จนกระทั่งยามนี้ เฮ่อเหลียนเผิงจึงได้สงบลงเอาตัวเองวาง
ไว้บนต าแหน่งผู้บัญชาเพื่อไปครุ่นคิดถึงปัญหาอย่าง
แท้จริง น่าเสียดาย การรู้แจ้งกับความสงบจิตสงบใจของ
เขาที่เพิ่งจะบังเกิดกลับแลกมาด้วยชีวิตของทหารหลาย
แสนนาย
เฮ่อเหลียนเจินเห็นสีหน้าเฮ่อเหลียนเผิงดูหมด
ก าลังใจก็ถอนหายใจออกมากล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด เรื่อง
ครั้งนี้จะโทษเจ้าทั้งหมดก็ไม่ได้ คนที่พ่ายแพ้ให้แก่พระ
ชายาติ้งอ๋องก็ไม่ใช่เจ้าคนแรก นี่เป็นการศึกสนามแรก
ของเจ้า ยากจะเลี่ยงความไม่รอบคอบไปได้” ตราบใดที่
เป็นบุรุษ ต่างมีความคิดที่ว่าเราเป็นผู้ประเสริฐสุดของชา
ยอกสามศอกอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค
สมัยนี้ แม้ว่าเยี่ยหลีจะมีชื่อเสียงโด่งดังสะท้านปฐพี ต่อให้
มีคนอีกมากมายต่างพูดกันว่าพระชายาติ้งอ๋องร้ายกาจ
อย่างนั้นอย่างนี้ กระทั่งเป็นศัตรูของนางที่รู้ว่านางไม่书呆子
ธรรมดา แต่ในยามจัดการเรื่องราวกลับยังคงประมาทใน
ข้าศึกได้ง่าย ไม่ใช่มีเพียงแค่พวกเขาที่ทระนงในตนเอง นี่
เป็นข้อเสียที่มีมาตั้งแต่เกิดฝังรากลึกไปถึงกระดูกของ
บุรุษในยุคสมัยนี้ พวกเขาชินกับการให้สตรีอ่อนแอมา
พึ่งพิงบุรุษ แม้ว่าจะมีสตรีบางคนที่เก่งกาจอยู่บ้าง แต่
ความเก่งกาจนั้นกลับมีขีดจ ากัดอยู่
เฮ่อเหลียนเผิงลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างละอายใจว่า
“ท่านพ่อโปรดอภัยด้วย ต่อไปนี้ลูกจะไม่ท าผิดเช่นนี้อีก
ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเจินพยักหน้าเอ่ยว่า “พ่อสอนเจ้าจน
เติบใหญ่ สอนให้เจ้ารบทัพจับศึก ช่วยให้เจ้าได้กราบ
อาจารย์ชาวจงหยวนเพื่อร่ าเรียนวรยุทธ ก็เพื่อสักวันหนึ่ง
เจ้าจะสามารถเอาชนะม่อซิวเหยาแทนพ่อได้ และให้เจ้า
ได้กลายเป็นผู้สร้างคุณงามความดี เจ้าอย่าได้ท าให้พ่อ
ผิดหวัง”书呆子
เฮ่อเหลียนเผิงพยักหน้า มองเฮ่อเหลียนเจินด้วย
ความเป็นห่วงแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อคิดจะไปซีหลิงเพื่อ
โน้มน้าวเหลยเจิ้นถิงกับม่อจิ่งหลีให้มาร่วมมือกับเป่ยหรง
จริงๆ หรือขอรับ” เฮ่อเหลียนเจินพยักหน้า ทอดถอนใจ
เอ่ยว่า “อาศัยแค่ก าลังของเป่ยหรงอย่างเดียว คิดจะ
เอาชนะทหารตระกูลม่อเกรงว่าจะไม่มีความหวังถึงเพียง
นั้น ที่ส าคัญก็คือ หากเราพ่ายศึก การจะถอนก าลังออก
จากจงหยวนคงไม่ง่ายเพียงนั้น ถึงตอนนั้นหากกลับไปถึง
พระราชวังเป่ยหรง ก็เกรงว่าเป่ยหรงคงจะไร้ซึ่งที่จะให้
ตระกูลเฮ่อเหลียนและองค์ชายเจ็ดได้ยืนแล้ว
เพราะฉะนั้น ศึกครานี้ จ าต้องชนะเท่านั้นไม่อาจพ่ายแพ้
ได้ ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องโน้มน้าวใจเหลยเจิ้นถิงให้เคลื่อน
ทัพไปยังต าหนักติ้งอ๋องให้จงได้”
“เกรงว่าเหลยเจิ้นถิงจะไม่ได้โน้มน้าวง่ายเพียงนั้น”
เฮ่อเหลียนเผิงเอ่ยขึ้น ต้องการโน้มน้าวเหลยเจิ้นถิงกับม่อ书呆子
จิ่งหลีในเวลาเดียวกัน ก็ต้องให้เหลยเจิ้นถิงยอมยก
ผลประโยชน์ที่ได้มาไว้ในมือส่วนหนึ่งให้ม่อจิ่งหลี แล้ว
เหลยเจิ้นถิงจะยอมยกประโยชน์ที่ได้มาครอบครองแล้ว
ไปแลกกับสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ในอนาคตอย่าง
ง่ายดายเพียงนั้นหรือ
“ไม่ต้องกังวลไป เกรงว่าเหลยเจิ้นถิงเองก็ร้อนใจ
คิดอยากจะจัดการกับต าหนักติ้งอ๋องเช่นกัน” เฮ่อเหลียน
เจินยิ้มเอ่ย “เหลยเจิ้นถิงอายุอานามไม่น้อยแล้ว แต่
บุตรชายของเขาเหลยเถิงเฟิงกลับไม่มีสติปัญญาอันเฉียบ
แหลมและแผนการอันล้ าลึกเหมือนบิดา หากในอนาคต
เหลยเจิ้นถิงถึงแก่ชีวิต เมืองที่ต าหนักติ้งอ๋องจะไปจัดการ
ด้วยเมืองแรกก็คือซีหลิง เมื่อเป็นเช่นนี้ เหลยเจิ้นถิงต้อง
เลือกชิงลงมือก่อนเพื่อให้ได้เปรียบเป็นแน่ ทว่าต้าฉู่
กับม่อจิ่งหลีกลับกลายเป็นความพะวงหลังของเขา ขอแค่书呆子
เราจัดการความพะวงนี้ให้เขาไป เขาย่อมยินยอมเคลื่อน
ทัพให้เราแน่”
เฮ่อเหลียนเผิงเงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงได้ประสานมือ
เอ่ยว่า “ท่านพ่อมองการณ์ไกลนัก ลูกไม่อาจเทียบได้”
เฮ่อเหลียนเจินตบบ่าบุตรชายแล้วยิ้มเอ่ยว่า “พ่อ
ต้องเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทางแล้ว เจ้าออกไป
เถิด”
“ลูกขอตัวลา”
ณ ค่ายใหญ่ของทหารตระกูลม่อ กว่าติ้งอ๋องที่
เฝ้าคอยการกลับมาของชายารักจะได้สมดังใจนั้นไม่ง่าย
เลย ทว่าเขากลับไม่อาจเสพสุขอันไร้ขอบเขตอย่างการมี
นางอยู่ในอ้อมกอดได้ เขาท าได้เพียงมองชายารักที่มอง
มายังตนด้วยสีหน้าเรียบเฉยด้วยท่าทางน่าสงสาร ความ
น้อยอกน้อยใจฉาบเต็มสีหน้าเขา书呆子
“อาหลี เจ้าเป็นอันใดรึ ผู้ใดยุแหย่ให้เจ้าไม่พอใจ
หรือ” ติ้งอ๋องมองพระชายาด้วยท่าทางระมัดระวังพลาง
เอ่ยด้วยน้ าเสียงอ่อนโยน โชคดีที่ในกระโจมมีเพียงแค่
พวกเขาสองคน มิฉะนั้นแล้วเหล่าทหารตระกูลม่อทุกคน
ที่ไม่เคยรู้สีหน้าที่แท้จริงของฝ่าบาทติ้งอ๋องคงได้ตกอก
ตกใจกันจนคางลากพื้นแน่ แม้จะถามไปเช่นนั้น แต่ม่อ
ซิวเหยาที่ฉลาดเป็นกรด มีหรือจะไม่รู้สาเหตุที่เยี่ยหลีมี
ท่าทางเช่นนี้ เขามองอาหลีไปพลาง ค านวณอยู่ในใจ
อย่างเร็วรี่ไปพลางว่าผู้ใดมันบังอาจมาท าให้เขาเสียเรื่อง
เช่นนี้กัน
เยี่ยหลีเงยหน้ามองเขาอย่างเรียบเฉย เอ่ยอย่างไม่
ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ท่านอ๋องคิดมากไปแล้ว จะมีผู้ใดมายุ
แหย่ให้ข้าไม่พอใจได้เล่า”
“อาหลี…” ในที่สุดม่อซิวเหยาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขาโผไปโอบเอวของเยี่ยหลีไว้แน่น ขยับคางถูไหล่นางไป书呆子
มา “อาหลี ข้าผิดไปแล้ว…” ในที่สุดเยี่ยหลีก็มองเขา
อย่างเคร่งขรึม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอ๋องผิดที่ตรงใด
รึ”
“ข้าไม่ควรไปค่ายทหารใหญ่เป่ยหรงคนเดียว” ม่อ
ซิวเหยาเงยหน้าช าเลืองมองสีหน้าเยี่ยหลีแวบหนึ่งแล้ว
รีบเอ่ยขึ้น
ตอนยังไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก็ยังดีๆ อยู่หรอก แต่พอ
เอ่ยขึ้นมาสีหน้าของเยี่ยหลีก็ยิ่งดูไม่ได้กว่าเดิม นาง
หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ท่านติ้งอ๋องวรยุทธเลิศล้ าไร้ผู้ใด
ทัดเทียม ย่อมไม่มีที่ใดที่ไม่อาจไปได้อยู่แล้ว นี่นับว่าเป็น
เรื่องผิดอันใดได้ เหตุใดท่านอ๋องต้องให้คนปิดบังหม่อม
ฉันด้วยเล่า หากหม่อมฉันรู้เร็วกว่านี้อีกหน่อย หม่อมฉัน
ก็คงจะส่งเสียงชื่นชมท่านอ๋องเสียงดังแล้วเป็นแน่”
กระทั่งค าว่าหม่อมฉันก็ออกมาจากปากนางแล้ว ดูท่าคง
โกรธเคืองมากจริงๆ ม่อซิวเหยาโอดครวญอยู่ในใจเงียบๆ书呆子
ติ้งอ๋องไม่เกรงกลัวฟ้าดิน กลัวอย่างเดียวคือชายารักโกรธ
เคือง เฟิ่งจือเหยามักจะเหน็บแนมเขาว่ากลัวเมีย พูดได้
ไม่ผิดจริงๆ น่าเสียดายที่เขากลับเต็มใจที่จะทนต่อความ
ทุกข์ยากและความเจ็บปวดนี้ด้วยความยินดี