ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 369-2 ลงใต้ สถำนกำรณ์ยำกล ำบำกของเหยำ จี
คืนนั้นเอง เยี่ยหลีพาฉินเฟิง จั๋วจิ้ง หลินหาน สวีชิง เฟิง และหน่วยกิเลนรวมตัวกันสามกลุ่มแอบออกจาก ค่ายทหารใหญ่ตระกูลม่อไป หลบหลีกกลุ่มอ านาจซีหลิง และเป่ยหรง นั่งเรือจากทางตะวันออกไปยังเจียงหนาน ระหว่างทาง ย่อมมีองครักษ์ของตระกูลม่อส่งข่าวจาก เจียงหนานมาให้แก่เยี่ยหลีไม่ได้ขาด พอรู้ว่าสวีชิงเฉินไม่ อยู่ในเงื้อมมือของเหลยเจิ้นถิงอย่างแน่แท้แล้ว เยี่ยหลีก็ ไม่คิดจะไปยั่วยุเหลยเจิ้นถิงอีก นางนั่งเรือตรงไปขึ้นฝั่งที่ เจียงหนาน ถึงยังดินแดนต้าฉู่ที่ม่อจิ่งหลีปกครองอยู่ ซึ่ง ยามนี้มีชื่อเรียกว่าหนานฉู่
ส่วนฉู่จิงแห่งใหม่นี้ขนาดไม่ใหญ่โตนัก เรียกว่า หนานจิง ทว่าเป็นอาณาบริเวณปกครองที่ม่อจิ่งหลีมอบ ให้แก่หลีอ๋องสร้างต าหนักอ๋องขึ้น หลังจากผ่านการ
书呆子
บริหารจัดการมาสองปี แม้ว่าพื้นที่จะไม่ใหญ่โตแต่ก็ รุ่งเรืองเฟื่องฟูมากนัก อย่างไรเสียต้าฉู่ที่มีรากฐานหยั่งลึก กับเป่ยจิ้งที่รากฐานล่องลอยนั้นก็ไม่อาจเอามา เปรียบเทียบกันได้ เยี่ยหลีแต่งกายเป็นบุรุษอาภรณ์ขาว ยามนี้เยี่ยหลีอายุมากขึ้นแล้ว แตกต่างกับเด็กหนุ่ม อาภรณ์ขาวที่ดูเยาว์วัยอยู่เล็กน้อยในตอนนั้น แม้ยามนี้ นางยังคงหน้าตาสะอาดงดงามเหมือนเก่า แต่กลับดู งดงามเหนือโลกีย์และมีพลังที่ยอดเยี่ยมเลิศล้ าอย่างเห็น ได้ชัด เทียบกับคุณชายชิงเฉินที่มีฉายาว่าคุณชายอันดับ หนึ่งในใต้หล้าแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันเลย ทีเดียว
จั๋วจิ้งกับหลินหานและคนอื่นๆ ต่างเป็นคนสนิท ของเยี่ยหลี ผู้คนเคยพบเห็นพวกเขาไม่น้อย จึงต้องพากัน ปลอมตัวด้วย คนทั้งกลุ่มที่เปิดเผยใบหน้ามีจ านวนสิบ กว่าคน กลับดูเหมือนบ่าวรับใช้ของตระกูลหนึ่งที่ติดตาม
书呆子
คุณชายออกมาท่องเที่ยว ยามนี้ต้าฉู่แม้จะสงบสุขเพียง ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นสถานที่ที่รวมตัวกันของผู้มี ความสามารถ เมื่อพวกเขาทั้งกลุ่มเข้าไปยังเมืองหลวงจึง ไม่ดึงดูดสายตาคนให้สนใจสักนิด
เว่ยลิ่นมาถึงหนานจิงก่อนพวกเยี่ยหลีและคนอื่นๆ ยามนี้หนานจิงแม้จะเป็นสถานที่ที่ม่อจิ่งหลีกับภูเขาซาง หมางปกครองอยู่ แต่ก็มีสายตาของต าหนักติ้งอ๋องคอย จับตาดูอย่างไม่อาจเลี่ยงไปได้ ย่อมได้เตรียมที่พักที่ เหมาะสมเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้วเช่นกัน ซึ่งตั้งอยู่บนถนน ใหญ่ที่มีพ่อค้าเศรษฐธีและผู้มีอ านาจพักอยู่เป็นจ านวน มากซึ่งห่างจากจวนอุปราชไปไม่ไกล บนป้ายหน้าประตูมี ตัวอักษรเขียนไว้สองค าว่าเรือนฉู่ คนในระแวกนี้รู้เพียงว่า ตระกูลฉู่เดิมทีเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่แห่งอวิ๋นโจว แม้ว่าจะไม่เท่าตระกูลสวีที่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองมาหลาย ร้อยปี แต่ก็มีการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณี
书呆子
อันดีงามมาหลายชั่วอายุคน ส่วนเรือนหลังนี้ นอกจากจะ มีครอบครัวในระแวกนี้ส่งคนให้มาส่งของก านัลให้แล้ว กลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนอื่นเลย
กลุ่มของเยี่ยหลีปักหลักอยู่ที่เรือนฉู่ ยังไม่ทันจะได้ พักผ่อน สารรายงานสถานการณ์มากมายจากในเมือง หนานจิงก็ส่งเข้าเรือนมาไม่ได้หยุดหย่อน แต่สิ่งที่ท า ให้เยี่ยหลีกังวลก็คือไม่นึกเลยว่าหนึ่งในนี้จะไม่มีข่าว เกี่ยวกับสวีชิงเฉินเลยสักฉบับเดียว สิ่งที่รู้แน่ชัดเพียงสิ่ง เดียวก็คือก่อนหน้านี้มีคนเห็นคนกลุ่มหนึ่งพาคนผู้หนึ่ง ล่องไปในแม่น้ าอวิ๋นหลันด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ทว่าคนผู้ นั้นจะเป็นคุณชายชิงเฉินหรือไม่ คนกลุ่มนั้นไปที่ใดกัน แล้ว กลับไม่มีใครรู้ได้
สวีชิงเฟิงเห็นคิ้วงามเยี่ยหลีขมวดแน่นก็เอ่ยปลอบ เสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่บุญมากและดวงแข็ง ไม่เป็นอัน ใดง่ายๆ หรอก หลีเอ๋อร์อย่ากังวลมากไปนัก” อันที่จริง
书呆子
เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับสวีชิงเฉินแล้ว สวีชิงเฟิงที่เป็นน้องชาย จะไม่กังวลใจได้อย่างไร แต่พอเห็นเยี่ยหลีท่าทางเป็น กังวลราวกับถูกไฟเผาเช่นนี้ก็จ าต้องปลอบนางสักหน่อย แต่ตัวเองก็ละอายใจเหลือแสนเช่นเดียวกัน เพราะตน เป็นถึงพี่ชาย เจอเรื่องเช่นนี้เข้าเดิมควรเป็นเรี่ยวแรงหลัก ในการออกมาจัดการ แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่เก่งพอเมื่อ เทียบกับเยี่ยหลี แต่กระนั้นก็ทนเห็นเยี่ยหลีล าบากเพียงนี้ แล้วยังต้องเป็นห่วงสถานการณ์ของสวีชิงเฉินอีกไม่ได้
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยด้วยความจนใจว่า “หากไม่ใช่ เพราะพวกเรา หากไม่ใช่เพราะต าหนักติ้งอ๋อง พี่ใหญ่จะ เจอเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”
สวีชิงเฟิงส่ายหน้าเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “บนฟ้ามี เมฆที่เคลื่อนคล้อยไม่อาจคาดการณ์ มนุษย์เราเองก็ย่อม มีสุขมีภัยที่คาดไม่ถึงเช่นกัน เรื่องของพี่ใหญ่ก็ไม่ได้เป็น เพราะต าหนักติ้งอ๋อง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่เห็นว่าพี่ใหญ่
书呆子
รูปงาม คิดอยากจะได้จึงจับเขามัดไปเป็นสามีก็เป็นได้” สวีชิงเฟิงพูดเรื่องนี้ เดิมทีก็เพื่อหยอกเย้าเยี่ยหลีให้ยิ้มได้ เท่านั้น แต่กลับท าให้เยี่ยหลีอดนึกถึงตอนที่สวีชิงเฉิน ถูกซูม่านหลินจับตัวไปที่หนานจ้าวในตอนนั้นขึ้นมาไม่ได้ นางแย้มยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ส่ายหน้าอย่าง เอือมระอา
ในขณะที่ก าลังแย้มยิ้มนั้น เยี่ยหลีก็พลันใจกระตุก นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
สวีชิงเฟิงเห็นสีหน้าแปลกไปของนางจึงรีบเอ่ยถาม ขึ้นว่า “ท าไมรึ เจ้านึกอันใดขึ้นได้หรือ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงขรึมว่า “ให้คนไป ตรวจดูที ว่าไม่นานมานี้ ตงฟางโยวก าลังท าอันใดอยู่” สวีชิงเฟิงแม้ว่าจะเคยเห็นตงฟางโยวในงานเลี้ยงวันเกิด ของท่านชิงอวิ๋นเพียงครั้งเดียว แต่กลับได้ยินชื่อเสียงของ สตรีคนแรกที่กล้าตอแยพี่ใหญ่ไม่ปล่อยในรอบหลายปีผู้นี้
书呆子
มานาน เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าสงสัยว่าตงฟางโยวจะ เป็นคนท าอย่างนั้นรึ แต่…นางเป็นชายาของม่อจิ่งหลี ม่อ จิ่งหลีจะอนุญาตให้นางท าเช่นนั้นได้อย่างไร…”
“นางยังคงเป็นนายหญิงน้อยของภูเขาซางหมางอยู่ แม้ว่าอ านาจของภูเขาซางหมางจะแทบหมดไปจากซีหลิง กับแดนเหนือแล้ว แต่อ านาจในเจียงหนานกลับไม่สลาย ไป การด าเนินการเกือบร้อยปีมานี้ อ านาจที่แฝงไว้ไม่อาจ เรียกได้ว่าไม่ลึกซึ้ง เกรงว่าต่อให้นางต้องการจะท าอันใด ม่อจิ่งหลีก็ไม่ต้องทราบเช่นกัน” เยี่ยหลีเอ่ยอย่างเนิบช้า เดิมทีเยี่ยหลีไม่ได้สงสัยตงฟางโยว นิสัยตงฟางโยวไม่ เหมือนคนที่จะสามารถท าเรื่องเช่นนี้ได้ แต่นางกลับลืม ไปว่าตงฟางโยวเป็นสตรี ทั้งเจอการปฏิเสธของสวีชิงเฉิน ในตอนนั้นและถูกบังคับให้แต่งงานกับม่อจิ่งหลี ก็ยากจะ บอกได้ว่านิสัยตงฟางโยวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ ส่วนตงฟาง โยวเองก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากตงฟางฮุ่
书呆子
ยแห่งภูเขาซางหมาง กระทั่งตงฟางฮุ่ยเองก็เอ่ยยอมรับใน ความฉลาดเฉลียวของตงฟางโยวว่าสูงกว่าตน เมื่อตงฟาง โยวนิสัยเปลี่ยนไป ไม่ใช่คนที่ไม่รู้หลักครองตนในสังคม เหมือนดังเก่าแล้ว เช่นนั้นนางก็จะกลายเป็นคนที่น่ากลัว เสียยิ่งกว่าตงฟางฮุ่ยแน่
พูดถึงตงฟางโยวแล้ว เว่ยลิ่นก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ตง ฟางโยวหักหลังตงฟางฮุ่ย”
ทุกคนได้ยินค านั้นก็พลันเลื่อนสายตาไปมองเว่ยลิ่น ทันที ครานี้เว่ยลิ่นเป็นคนที่ลงใต้ไปกับสวีชิงเฉิน อยู่ข้าง กายสวีชิงเฉินมาโดยตลอด เรื่องที่จัดการกับภูเขาซาง หมางในครั้งนี้ก็ล้วนเป็นสวีชิงเฉินที่รับผิดชอบ เยี่ยหลี และคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจในรายละเอียดของสถานการณ์ ได้ยินเว่ยลิ่นพูดเช่นนี้ก็ตกตะลึงไป ตงฟางฮุ่ยมีบุญคุณที่ เลี้ยงดูสั่งสอนตงฟางโยวมา เกรงว่าตงฟางฮุ่ยเองก็ไม่ คาดคิดเช่นกันว่าตงฟางโยวจะเอาตนมาขายเช่นนี้
书呆子
เว่ยลิ่นเอ่ยว่า “หลังจากที่ภูเขาซางหมางถูกโจมตี เดิมทีตงฟางฮุ่ยมีโอกาสหนีกลับเจียงหนาน แต่พวกเรา กลับได้ทราบสถานที่รับตัวเพื่อช่วยเหลือภูเขาซางหมาง ว่าอยู่ตรงใดของแม่น้ าอวิ๋นหลันเสียก่อน พอดีกับที่เรา เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย[1] จึงจับตงฟางฮุ่ยเอาไว้ได้ แม้ว่า คนที่ส่งจดหมายมาให้เราจะไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น แต่ คุณชายชิงเฉินเคยบอกว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ อาจจะเป็นตงฟางโยว”
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฮูหยินตงฟางจะมาตายในเงื้อม มือของศิษย์ที่ตนทั้งรักและเอ็นดูที่สุดเช่นนี้” เยี่ยหลี ฟังเว่ยลิ่นอธิบายจบก็ถอนใจออกมาอย่างอดไม่ได้ นอกจากจะยืนกรานให้ตงฟางโยวแต่งงานกับสวีชิงเฉิน แล้ว เยี่ยหลีกลับไม่ได้มีความรังเกียจต่อตงฟางฮุ่ยเท่าใด นัก อย่างไรเสียสตรีที่สามารถใช้ก าลังตัวเองไปแบกภูเขา ซางหมางทั้งหมดเอาไว้ได้จะต้องมีบางอย่างที่พิเศษไป
书呆子
กว่าคนอื่นแน่นอน เทียบกับการตายในเงื้อมมือของลูก ศิษย์ที่ตนเชื่อใจและรักใคร่ที่สุดแล้ว เกรงว่าตงฟางฮุ่ ยยอมตายอยู่ในเงื้อมมือของสวีชิงเฉินและเหลยเถิงเฟิง คงจะดีเสียกว่า
“หากกล่าวเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ตง ฟางโยวจะกุมอ านาจที่เหลือของภูเขาซานหมางไว้แล้ว หากเป็นเช่นนั้น ความเป็นไปได้ที่พี่ใหญ่จะไปอยู่ในเงื้อม มือนางก็เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย” เยี่ยหลีไตร่ตรองพลางเอ่ย ฉินเฟิงเอ่ยถามด้วยความฉงนว่า “คนอย่างตงฟางโยวจะ ท าเรื่องเช่นนี้ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ในสายตาฉินเฟิง ตงฟาง โยวเป็นเพียงสตรีบ้าผู้ชายที่ไม่รู้ความคนหนึ่งเท่านั้น
เยี่ยหลีส่ายหน้าเอ่ยว่า “วรยุทธของตงฟางโยวสูง ล้ ากว่าข้ากับเจ้า ดูจากวิชาการแพทย์แล้วก็ถือว่าไม่เลว ขนาดฉิน หมากรุก วาดภาพ กลการศึก แผนการรบนาง ล้วนเชี่ยวชาญ สตรีที่สามารถร่ าเรียนได้มากมายเพียงนี้
书呆子
จะเป็นคนโง่ได้อย่างไร ต้องดูว่านางเริ่มมีความคิดอ่าน สติปัญญาหรือไม่ ในยามที่ความคิดยังไม่เปิดโล่งใน สายตาของคนนอกนางก็เป็นเพียงคนโง่นางหนึ่ง พอ เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว…นางจึงจะเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด เกรง ว่าจนกระทั่งตายตงฟางฮุ่ยก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตงฟางโยว จึงฆ่านาง”
[1] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย คนที่ไม่คิดที่จะลงแรงหรือพยายามท างาน แต่กลับหวังที่จะได้ผลงานที่ดี หรือ ได้สิ่งตอบแทนดีๆ อย่างลมๆแล้งๆ ซึ่งมันไม่มีวันเป็นไปได้