ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 369-5 ลงใต้ สถำนกำรณ์ยำกล ำบำกของเหยำ จี
เหยาจีพูดจบก็ไม่สนสีหน้าซีดเผือดของฮูหยินมู่
หยางโหว นางสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินไปทางเรือนของ
ตนทันที
“อารมณ์ไม่ดีหรือ” มู่เลี่ยที่เดินตามมาด้านหลัง แม้
จะดูเหมือนอืดอาด แต่กลับเดินด้วยความเร็วและรักษา
ระยะห่างสองสามก้าวจากเหยาจีเอาไว้ตลอด พอมาถึง
เรือนของเหยาจี มู่เลี่ยจึงได้เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ
เหยาจีชะงัก ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เปล่า”
มู่เลี่ยพิงอยู่ข้างเสา มองนางอย่างสงบนิ่งแล้วเอ่ย
ว่า “อีกไม่นานก็ได้กลับเมืองหลีแล้ว เดี๋ยวก็จะได้เจอลูก
ชายท่านแล้ว ไม่ดีใจหรือ” รู้จักกันมาหลายปี มู่เลี่ยมี
ความผูกพันต่อเหยาจีอยู่ไม่น้อย เขาเป็นเด็กก าพร้า ไม่รู้
ว่าบิดามารดาแท้ๆ ของตนเป็นใคร แต่ทุกคราที่เห็นเหยา书呆子
จีเรียกตนว่าลูกชาย เขาก็ไม่หวังให้เหยาจีเสียใจไปตลอด
ชีวิตเพราะการกระท าที่ผิดพลาด
เหยาจียิ้มขื่นอย่างจนใจ มู่หยางเป็นบิดาของลูก
นาง ไม่ว่านางจะยังรักเขาอยู่หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงความ
จริงนี้ไปไม่ได้ นางจะดีใจอะไรได้อีก
มู่เลี่ยมองนางพลางเอ่ยว่า “หากท่านรับไม่ไหว ก็
บอกกับพระชายาว่าจะจากไปก่อนก็ได้ พระชายาไม่ท า
ให้ท่านล าบากใจหรอก ข้าอยู่เองได้” ไม่ว่าเหยาจีหรือมู่
เลี่ยก็ต่างเป็นคนฉลาด ตอนที่เยี่ยหลีเอ่ยปากบอกให้พวก
เขากลับเมืองหลี เหยาจีก็รู้ได้ว่าพระชายาคิดจะลงมือกับ
จวนมู่หยางโหวแล้ว อันที่จริงชาวฉู่จิงที่สามารถส่งออก
มาได้มีไม่น้อย เหยาจีย่อมไม่ใช่ตัวเลือกส าคัญ ที่เลือก
เหยาจีก็เพราะต าหนักติ้งอ๋องเป็นปรปักษ์ต่อจวนมู่หยาง
โหวอย่างไม่ต้องสงสัย เหยาจีย่อมทราบดี ปีนั้นมู่หยาง书呆子
โหวพาทหารไปล้อมโจมตีเยี่ยหลี จนกระทั่งเรื่องที่เยี่ยหลี
ถูกเจิ้นหนานอ๋องบีบบังคับให้กระโดดหน้าผา
เหยาจีฝืนยิ้มออกมาบางๆ มองมู่เลี่ยพลางเอ่ยว่า
“ขอบคุณ ข้าไม่เป็นไร”
มู่เลี่ยขมวดคิ้ว ใบหน้าเยาว์วัยและบอบบางมีความ
กังวลปรากฏอยู่บนนั้นอย่างไม่ปิดบัง เหยาจียกมือขึ้นลูบ
ศีรษะน้อยๆ ของเขาพลางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก
จะคิดมากเช่นนี้ไปไย”
มู่เลี่ยปัดมือนางทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ยว่า “ข้า
ไม่ใช่เด็กแล้ว ช่างเถิด ท่านอยากท าอย่างไรก็ท าอย่างนั้น
เถิด อย่าได้ลืมว่าลูกชายท่านยังรอท่านอยู่ที่เมืองหลีก็พอ
แล้วก็…ข้าต้องกลับไปยังหน่วยกิเลนที่เมืองหลี หากท่าน
ท าร้ายข้าจนกลับไปไม่ได้แล้ว…ข้าจะฆ่าท่าน”
เหยาจีแย้มยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ นางอมยิ้ม
มองมู่เลี่ยที่หันหลังเดินไปทางประตูแล้วหยุดฝีเท้าลงหัน书呆子
กลับมาเอ่ยว่า “ข้าเห็นนายพลฉินปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลว
ท่านลองไตร่ตรองดูเสียหน่อย นายพลฉินดีกว่ามู่หยาง
นั่นเป็นไหนๆ อย่างน้อยท่านจากมานานเพียงนี้ เขาก็ยัง
ไม่เหลียวมองใคร ท่านลองนึกถึงสายตาในสมัยก่อนของ
ท่านสิ แม้แต่ข้ายังไม่กล้าดูหมิ่นเลย” พูดจบก็ไม่สนใจสี
หน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเหยาจี เขาโบกมือแล้วเดินอาดๆ
ออกไป
เหยาจีทอดถอนใจเบาๆ ยื่นมือไปเปิดกล่อง
เครื่องประดับหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลิกกล่องที่ไม่สะดุด
ตาใบหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมชั้นล่างสุดท่ามกลางเพชรพลอย
มากมายหลายชนิด นางเปิดกล่องนั้นออก ด้านในมีปิ่น
หยกลายดอกบัวชิ้นหนึ่งวางอยู่ นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเอง
ถึงเก็บปิ่นชิ้นนี้เอาไว้กับตัว ตอนที่ออกจากเมืองหลีมายัง
ฉู่จิงในปีนั้น นางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รักใครอีก
เด็ดขาด ฉินเฟิงเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ เป็น书呆子
คนสนิทของต าหนักติ้งอ๋อง ในมือมีหน่วยกิเลนที่เป็นสุด
ยอดฝีมือของต าหนักติ้งอ๋องไว้ควบคุมดูแล นับดูแล้ว
ขนาดพี่สามของพระชายาติ้งอ๋องอย่างคุณชายสาม
ตระกูลสวียังถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา คนเช่นนี้
…แม้ว่าชื่อเสียงไม่โดดเด่น แต่อย่างไรก็ไม่ใช่คนที่สตรี
อย่างนางที่เกิดในกองสังคีตซ้ ายังมีลูกชายติดอีกหนึ่งคน
คู่ควรด้วยหรอก
หากเลือกได้ เทียบกับมู่หยางแล้ว เหยาจียอมเจอ
บุรุษอย่างฉินเฟิงในตอนนั้นยังจะดีเสียกว่า บางทีบุรุษดีๆ
ในใต้หล้าอาจจะอยู่ที่ต าหนักติ้งอ๋องกันหมดแล้วกระมัง
บางทีอาจเพราะติ้งอ๋องปฏิบัติต่อพระชายาอย่างไร
ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงปฏิบัติด้วยอย่างนั้น บุรุษใน
ต าหนักติ้งอ๋องแทบจะทั้งหมดล้วนมีใจรักมั่น แม้ว่ามู่
หยางจะรักใคร่โปรดปรานนางจนคนทั่วทั้งหนานจิงต่างรู้
กันถ้วนทั่ว แต่อนุในจวนมู่หยางโหวก็ไม่ได้น้อยไปกว่า书呆子
ตระกูลอื่นเลย มู่หยางเป็นความฝันอันงดงามที่เต็มไป
ด้วยความเพ้อฝันและนุ่มนวลอ่อนโยนในช่วงวัยที่ดีที่สุด
ของนาง พอฟื้นตื่นจากฝันมาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่ง
ที่เหลือไว้กลับมีเพียงความโศกเศร้าอันเลือนลาง ส่วนฉิน
เฟิงกลับเป็นความงดงามที่นางไม่กล้าเฝ้ารอคอยและไม่
กล้าแตะต้อง…
ในขณะที่ก าลังจิตใจเหม่อลอยนั้น ด้านหลังก็เกิด
เสียงดังขึ้นแผ่วเบาท าให้เหยาจีหลุดจากภวังค์ ชีวิตใน
หลายปีที่ผ่านมาท าให้นางเคยชินกับการระแวงระวัง
เอาไว้ตลอดเวลา นางหันหลังไปมองโดยพลัน พอเห็น
บุรุษที่ยืนอยู่ด้านหลังก็พลันตกตะลึงขึ้นมา
เทียบกับมู่หยางที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วฉู่จิงในปีนั้น
แล้ว ท่าทางของฉินเฟิงก็หล่อเหลาแต่กลับไม่อวดเบ่ง
อ านาจ ผู้น าของหน่วยกิเลนในกองทัพกับคุณชายที่มา
จากครอบครัวชั้นสูงที่มีชื่อเสียงให้ความรู้สึกที่ต่างกันโดย书呆子
สิ้นเชิง หากมู่หยางเหมือนกระบี่วิเศษที่ส่องแสงเรืองรอง
ฉินเฟิงก็คือกระบี่เลื่องชื่อที่ซ่อนอยู่ในฝัก มองดูไม่สะดุด
ตา แต่ยังคงมีประกายที่สาดส่องออกมาจากฝักและสาด
ส่องไปได้ทั่วทิศ
“ทะ…ท่านมาได้อย่างไร” สักพักหนึ่ง เหยาจีจึงได้
เอ่ยถามขึ้น
แววตาของฉินเฟิงตกอยู่บนปิ่นหยกในมือนาง
ความอบอุ่นเพิ่มขึ้นมาในแววตาอย่างอดไม่อยู่ เหยาจีไม่
ทันสังเกตเห็นสายตาของเขา เพราะนางมัวแต่ลนลาน
เก็บปิ่นหยกลงกล่องดังเดิม “ทะ…ท่านมาที่นี่ในยามนี้
เพราะพระชายามีเรื่องอันใดจะก าชับหรือ” เหยาจีถูกเขา
มองจนกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบเบี่ยง
ประเด็นไปทันที
นัยน์ตาของฉินเฟิงเปล่งประกายเป็นรอยยิ้มที่ยาก
จะได้เห็นสักคราหนึ่ง เขาพยักหน้า มองเหยาจีอย่างสงบ书呆子
นิ่งแล้วเอ่ยว่า “ใช่ เรื่องจวนมู่หยางโหว…พระชายาให้ข้า
เป็นคนจัดการ”
เหยาจีได้ยินดังนั้น มือที่เดิมทีเก็บของบนโต๊ะอย่าง
ลนลานก็พลันชะงักไป สีหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที