ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 371-4 กำรจำกไปขององค์หญิงซีสยำ สวำมีใจ หิ
เยี่ยหลีหาที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกล จิบสุราดอกเบญจมาศ
รสอ่อนไปพลาง ยิ้มแย้มชมดอกไม้ต้นไม้ไปพลาง ราวกับ
ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่แท้จริงแล้วกลับเฝ้าดูสถานการณ์ของ
เยี่ยอิ๋งอยู่ตลอด
เว่ยลิ่นที่อยู่ข้างๆ เยี่ยหลี เอ่ยเบาๆ ว่า “ตั้งแต่ตง
ฟางโยวสมรสเข้าต าหนักหลีอ๋องมาก็ไม่ค่อยถนัดสร้าง
สัมพันธ์อันดีกับใคร ตอนเริ่มแรกขัดใจคนไม่น้อย ทว่า
มีม่อจิ่งหลีกับตงฟางฮุ่ยคอยปกป้องอยู่ จึงไม่มีใครกล้า
แตะต้องนาง ภายหลังธุระในต าหนักหลีอ๋องยังคงให้องค์
หญิงซีสยากับเสียนเจาไท่เฟยจัดการอยู่ ครั้งนี้องค์หญิง
ซีสยาจากไปแล้ว เสียนเจาไท่เฟยได้ยินข่าวก็โกรธจน
นอนป่วยอยู่กับเตียง จึงได้ให้สนมหรงประคองงาน
ทั้งหมด”书呆子
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว มองตงฟางโยวจากระยะไกลพลาง
ถาม “นางเปลี่ยนไปมากเลย พวกเจ้าว่าไหม”
จั๋วจิ้งพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เปลี่ยนไปมากจริงๆ”
เมื่อก่อนตงฟางโยวดูเป็นคนเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่
ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ตอนนี้ตงฟางโยวแค่นั่งเฉยๆ
ไม่ท าอะไร ก็ยังคงท าให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นได้ แค่ดู
ผู้หญิงละแวกนี้พากันหลบเลี่ยงนาง ไปเบียดออกกันแถว
เยี่ยอิ๋งก็รู้แล้ว อันที่จริงเยี่ยอิ๋งกลัวเสียยิ่งกว่า หากเป็นไป
ได้ เยี่ยอิ๋งคงลุกขึ้นวิ่งหนีไปตั้งนานแล้ว ไม่อยากจะอยู่
ใกล้ตงฟางโยวเลยแม้แต่วินาทีเดียว
“นี่ยังผ่านมาไม่ถึงครึ่งปี ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปมาก
เหลือเกิน” เว่ยลิ่นพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่ว่าคนเรา
เปลี่ยนกันไม่ได้ แต่ตงฟางโยวเล่นเปลี่ยนจากหน้ามือเป็น
หลังมือเช่นนี้ ต้องวิปริตเพียงใดถึงเปลี่ยนไปได้มากมาย
อย่างกะทันหันเช่นนี้书呆子
เยี่ยหลีถอนหายใจ “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ…คนนอก
อย่างพวกเราจะไปรู้จริงได้อย่างไร”
“ม่อจิ่งหลีมาแล้ว…” จั๋วจิ้งพูดเบาๆ
เยี่ยหลีเงยหน้า แล้วก็มองเห็นม่อจิ่งหลีเดินเข้ามา
อย่างองอาจ เขาห้อมล้อมไปด้วยทหารอารักขา ชายอายุ
ประมาณห้าสิบกว่าๆ เดินเคียงไหล่มากับม่อจิ่งหลี ชายผู้
นี้สวมชุดจงหยวน แต่รูปร่างลักษณะกลับเห็นได้ชัดว่า
แตกต่างจากคนจงหยวนอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเยี่ยหลีจะไม่
เคยพบเฮ่อเหลียนเจิน แต่กลับรู้ชัดว่าชายที่เดินมากับม่อ
จิ่งหลีคนนี้คือเฮ่อเหลียนเจินอย่างไม่ต้องสงสัย ดูจากสี
หน้าของทั้งสอง เห็นได้ชัดว่าเรื่องเป็นพันธมิตรกันต่อให้
ยังเจรจากันไม่ส าเร็จ ก็คงใกล้มากแล้ว
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ถึงแม้ม่อซิวเหยาคิดการใหญ่
อยากจะจัดการกองก าลังสัมพันธมิตรระหว่างสามฝักฝ่าย
ให้ราบคาบ แต่เยี่ยหลีมองว่ายังคงเสี่ยงเกินไป ตอนที่นาง书呆子
มาถึงเจียงหนานยังคิดอยู่ว่าจะหาวิธีท าลายการสร้าง
พันธมิตรในครั้งนี้ดีหรือไม่ เพียงแต่สุดท้ายแล้วเนื่องด้วย
ความเชื่อมั่นในตัวม่อซิวเหยาจึงได้ยั้งความคิดนี้ไป
ฝั่งเยี่ยหลีมองไปทางพวกม่อจิ่งหลี ฝั่งม่อจิ่งหลีก็
ย่อมมองเห็นพวกเยี่ยหลีทั้งสามเช่นกัน ถึงแม้เยี่ยหลีที่ใส่
ชุดขาวทั้งตัวจะดูตัวเล็กกว่าจั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นเล็กน้อย แต่
รูปร่างและความโดดเด่นกลับเกินกว่าที่ทั้งสองจะเปรียบ
ด้วยได้ ชายหนุ่มที่สง่างามเช่นนี้ หากได้พบเห็นก็ยากที่
จะลืมเลือน ม่อจิ่งหลีปรายตามองแวบหนึ่ง แล้วไม่ได้ที่
จะขมวดคิ้วสงสัย “คนผู้นั้นเป็นใคร”
ทหารอารักขาข้างกายม่อจิ่งหลีเป็นแค่ทหาร
อารักขาทั่วไป จะทราบได้อย่างไรว่าคุณชายวัยเยาว์ที่ไม่
เคยพบเห็นมาก่อนผู้นี้เป็นใครมาจากไหน ทหารหนึ่งใน
นั้นกล่าวขอประธานอภัย หันหลังออกไปสืบความเป็นมา
ของเยี่ยหลีทันที书呆子
เยี่ยหลีมั่นใจในการแปลงโฉมปลอมตัวของตนเอง
อย่างยิ่ง เห็นม่อจิ่งหลีจ้องส ารวจตนเองก็ไม่หลบเลี่ยง
เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจ นางยกมือคารวะยิ้มแย้มพลาง
กล่าวว่า “ฉู่จวินเหวยจากอวิ๋นโจวขอคารวะผู้ส าเร็จ
ราชการแทนพระองค์”
ได้ยินค าว่าอวิ๋นโจว ม่อจิ่งหลีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
คนในใต้หล้าเมื่อได้ยินชื่ออวิ๋นโจวเป็นต้องนึกถึงสมบัติล้ า
ค่าอันงดงามหรือความมั่งคั่งเทียบได้กับเจียงหนาน แต่
นึกถึงตระกูลสวีแห่งอวิ๋นโจว แม้ม่อจิ่งหลีจะไม่รู้ว่าฉู่จวิ
นเหวยเป็นใคร แต่กลับยังจ าได้ว่าฝั่งบ้านฝ่ายมารดาของ
ฮูหยินใหญ่ตระกูลสวีมีแซ่ฉู่ ยิ่งไปกว่านั้นแซ่ฉู่ก็เป็นแซ่
และตระกูลมีชื่อเสียงในอวิ๋นโจวอีกด้วย ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้ว
กล่าว “คุณชายฉู่นี่เอง ไม่แน่ใจว่าคุณชายใหญ่ตระกูลสวี
เรียกคุณชายฉู่ว่าอย่างไรหรือ”书呆子
เยี่ยหลีกล่าวปนหัวเราะว่า “ท่านอ๋องสุภาพเกินไป
แล้ว บิดาของฮูหยินใหญ่ตระกูลสวีกับท่านปู่ของข้าน้อย
เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถ้านับกันจริงๆ ก็พอจะเรียกคุณชาย
ใหญ่ตระกูลสวีว่าพี่ชายได้” ความสัมพันธ์นี้ดูเหมือนจะ
ห่างก็ไม่ห่าง แต่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ตระกูลสวีคนไม่มาก
แต่ตระกูลฉู่กลับเป็นตระกูลใหญ่ของอวิ๋นโจว ภายใน
ตระกูล ครอบครัวใหญ่ ครอบครัวเล็ก บ้านสายหลัก
บ้านสายรองนับดูแล้วหากไม่ถึงหนึ่งพัน ก็คงหลักหลาย
ร้อย ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินใหญ่ตระกูลสวีก็ไม่ได้มีพี่น้อง
ร่วมสายเลือดกับตระกูลฉู่ เมื่อสมรสเข้าตระกูลสวีก็ไม่ได้
มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับบ้านฉู่ ดังนั้น สถานะของ
ฉู่จวินเหวยจะไปอ้างความใกล้ชิดกับตระกูลสวีก็จะดู
กล่าวเกินไปสักเล็กน้อย
ม่อจิ่งหลีพยักหน้าเล็กน้อยพลางมองพิจารณาเยี่ย
หลี เขาโยนความรู้สึกคุ้นเคยอันน้อยนิดที่เคยมีทิ้งไป书呆子
ญาติของฮูหยินใหญ่ตระกูลสวีกับสวีชิงเฉิน ลองคิดดูแล้ว
จะใกล้ชิดกันได้แค่ไหนกันเชียว “ตระกูลฉู่ล้วนอาศัยอยู่
ที่อวิ๋นโจว เหตุใดคุณชายฉู่จึงนึกอยากมาเจียงหนาน
หรือ”
เยี่ยหลีหลุบสายตาลง รอยยิ้มขื่นขมเล็กน้อย พูด
เรียบๆ ว่า “แม้ข้าน้อยจะเป็นบุตรภรรยาเอก แต่ก็เป็น
บุตรจากครอบครัวเล็ก ยิ่งไปกว่านั้นอวิ๋นโจวทุกวันนี้…”
เยี่ยหลีส่ายหน้าเล็กน้อย ประหนึ่งถอนหายใจ “ข้าน้อย
อยู่ที่อวิ๋นโจวก็ไม่มีประโยชน์อันใด จึงอยากมาลองดูเจียง
หนาน ถือเป็นการมาเที่ยวชมก็เพียงเท่านั้น ขอบพระคุณ
ท่านอ๋องที่สนใจถามไถ่” ม่อจิ่งหลีมองพินิจเขาสักครู่ เมื่อ
ไม่เห็นสิ่งใดผิดสังเกตจึงพยักหน้ากล่าวว่า “หากเป็น
เช่นนี้ หวังว่าคุณชายฉู่จะเที่ยวให้สนุก ตระกูลฉู่ก็เป็น
ตระกูลเลื่องชื่อ หากคุณชายมีประสงค์อยากอยู่ที่หนาน
จิงเพื่ออุทิศตนให้ตระกูลฉู่ สองสามวันนี้สามารถแวะมาที่书呆子
ต าหนักผู้ส าเร็จราชการแทนพระองค์ได้ ท่านและข้าจะ
ได้ค่อยๆ เจรจากัน”
เยี่ยหลีประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าม่อจิ่งหลีจะมี
เจตนาเสนอชักชวนนาง เพียงแต่ว่าคนที่อยากได้ตัวจริงๆ
คือฉู่จวินเหวยคนนี้หรือตระกูลฉู่ของเขาก็เป็นเรื่องที่น่า
ครุ่นคิด แม้จะไม่มีความประสงค์อยากเป็นขุนนางในวัง
แต่เยี่ยหลียังคงแสดงท่าทางปลื้มอกปลื้มใจ นางยกมือ
ค านับพลางกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านอ๋อง ในไม่กี่วันนี้
ข้าน้อยจะต้องไปเข้าพบอย่างแน่นอน”
เนื่องจากเฮ่อเหลียนเจินยังอยู่ด้วย ม่อจิ่งหลีจึงไม่
อาจสนใจเยี่ยหลีได้นานเกินไปนัก เขาพยักหน้าแล้วพา
เฮ่อเหลียนเจินเดินไปกลางสวน เป็นเฮ่อเหลียนเจินที่หัน
กลับมามองสามคนนี้ด้วยความสงสัย เขากล่าวยิ้มๆ ว่า
“คุณชายฉู่ท่านนั้นดูไม่ธรรมดาเลย นึกไม่ถึงว่าแผ่นดินต้า书呆子
ฉู่นอกจากจะมีคุณชายเทพเซียนจากตระกูลสวีท่านนั้น
แล้ว ยังจะมีบุคคลที่สง่างามเฉิดฉายเช่นนี้อีก”
ม่อจิ่งหลีไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว เขายิ้มน้อยๆ แล้ว
กล่าวว่า “ตระกูลฉู่นั้นเป็นตระกูลเลื่องชื่อแห่งแผ่นดินต้า
ฉู่ ในแต่ละรุ่นมีบุคคลมากความสามารถอันแสนน่าทึ่งอยู่
จ านวนไม่น้อย แผ่นดินต้าฉู่อันไพศาล จะมีแต่คุณชาย
แห่งตระกูลสวีที่โดดเด่นแต่เพียงผู้เดียวได้อย่างไร ”
เฮ่อเหลียนเจินยิ้มเล็กน้อย ไม่ตอบอะไร เขาหัน
กลับไปดูข้างหลังอีกครั้ง ก็เห็นว่าคุณชายรูปงามผู้นั้นก็
มองพร้อมยิ้มเล็กน้อยมาทางตนเองเช่นกัน ไม่รู้ว่าเหตุใด
จู่ๆ ในใจเกิดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา พอมองไปอีกครั้ง
คุณชายฉู่ก็พาองครักษ์ทั้งสองเดินไปอีกทางแล้ว
ในสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดอกเบญจมาศ ใจกลาง
เป็นหอสูงเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน ที่ชั้นสอง ม่อจิ่งหลีและเฮ่อเห
ลียนเจินนั่งตรงข้ามกัน เฮ่อเหลียนเจินดื่มสุราดอก书呆子
เบญจมาศหนึ่งอึกแล้วอดไม่ได้คิ้วขมวดพลางกล่าว “สุรา
ของพวกท่านชาวจงหยวน จะว่าหอมก็หอมอยู่ แต่กลับ
แทบไม่มีรสสุราเลย” คนเป่ยหรงชื่นชอบสุรารสเข้มข้น
สุราดอกเบญจมาศ สุราหมักน้ าผึ้งเช่นนี้จึงไม่เข้าตาพวก
เขา
ม่อจิ่งหลีก็หาได้ใส่ใจไม่ เขาจิบสุรารสเลิศ สีหน้า
สบายใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “สุรารสเข้มก็มีข้อดีของสุรารส
เข้ม สุราดอกเบญจมาศนี้กลับก็มีจุดเด่นของสุราดอก
เบญจมาศ เรื่องสุรานี่ต้องลิ้มรสอย่างพิถีพิถันจริงๆ” แม้
ในใจทั้งสองจะเห็นพ้องกันเรื่องพันธมิตร แต่ลึกๆ แล้วก็
ยังคงมีใจดูหมิ่นอีกฝ่ายอยู่ คนเป่ยหรงไม่พอใจความเส
แสร้งแกล้งท าของคนจงหยวน ส่วนคนจงหยวนก็ไม่พอใจ
ในความเสแสร้งของชนกลุ่มน้อยอย่างคนเป่ยหรงเช่นกัน