ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 372-2 สถำนที่ซ่อนคุณชำย สถำนกำรณ์พลิก ผั
ตงฟางโยวชายตามอง พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้า
บอกแล้วว่าข้าไม่รู้”
ม่อจิ่งหลียิ้มเย็นชาพูดว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ
ตงฟางโยว ที่ข้าท าตอนนี้ถือว่าข้าก าลังไว้หน้าเจ้าอยู่
เจียงหนานเป็นถิ่นของข้า เจ้าคิดว่าเจ้าไม่พูดแล้วข้าจะ
หาไม่เจอหรือ” เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีเป็นเช่นนี้ นางก็พูด
เสียงเย็นชาว่า “เช่นนั้นข้าเองก็ขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้า
แตะต้องเขาแม้เพียงเล็กน้อย ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ม่อจิ่งหลีรู้นิสัยใจคอของตงฟางโยวมานานแล้ว
เขาสูดหายใจเข้าลึก พูดเย้ยหยันว่า “แม้เจ้าไม่น าตัวเขา
ให้ข้า แล้วเจ้าคิดจะท าอย่างไร จะซ่อนเขาไว้ตลอดชีวิต
หรือ เจ้าคิดว่าคนของต าหนักติ้งอ๋องตายหมดแล้วหรือ
อย่างไร ไม่แน่ว่าตอนนี้คนของต าหนักติ้งอ๋องอาจก าลัง书呆子
ตามหาตัวเขาไปทั่วทั้งเจียงหนานแล้ว ดูจาก
ความสามารถขององครักษ์ลับแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเขาจะ
ใช้เวลาเท่าไรกันเชียว”
ตงฟางโยวเงียบไปครู่หนึ่ง นางเหลือบตามองม่อจิ่ง
หลี พูดอย่างดื้อรั้นว่า “เจ้ามิต้องเสียเวลาคิดหรอก ตราบ
ใดที่ข้าไม่ยอม ย่อมไม่มีใครหาเขาเจอ”
ในที่สุดม่อจิ่งหลีก็ทนไม่ไหว เขาจ้องเขม็งไปที่ตง
ฟางโยวอยู่นาน กว่าจะเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “ตงฟาง
โยว เจ้าหอบหิ้วสวีชิงเฉินไปตายพร้อมกันเสียเถิด แต่ข้า
เกรงว่าแม้ตายสวีชิงเฉินก็ยังไม่อยากตายพร้อมเจ้า”
พูดจบ เขาก็เดินออกไป ปิดประตูห้องหนังสือ
กระแทกเสียงดัง โดยไม่สนใจว่าตงฟางโยวจะพูดอะไรอีก
ม่อจิ่งหลีเดินจ้ าอ้าวไปทางต าหนักหลีอ๋อง เพียง
เห็นแผ่นหลังของเขาก็สัมผัสได้ถึงความโมโหที่แผ่ซ่านไป书呆子
รอบตัว คนที่ตามหลังเขาสบตาเขาครู่หนึ่งด้วยความกลัว
แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอ๋อง พระชายา…”
ม่อจิ่งหลีหยุดฝีเท้าลง พูดเสียงขรึม “ไม่ต้องสนใจ
นาง! ต่อไปหากนางจะออกจากต าหนักก็ปล่อยให้นางไป
ข้าอยากรู้นักว่านางจะทนได้ถึงเมื่อไรกันเชียว!” คนข้าง
หลังพยักหน้า “ท่านอ๋องช่างประเสริฐนัก จากความรู้สึก
ที่นางมีต่อคุณชายชิงเฉิน ดูท่าจะทนได้ไม่นาน พวกข้าจะ
ได้คอยดูอยู่ข้างหลัง เหมือนตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นอยู่
ข้างหลัง”
แม้ม่อจิ่งหลีจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับตงฟางโยว แต่นาง
ก็เป็นชายาเอกที่เขาสู่ขอมาอย่างชอบธรรม เมื่อถูก
ลูกน้องพูดต่อหน้าว่าตงฟางโยวคลั่งไคล้คุณชายชิงเฉิน
เช่นนี้ สีหน้าม่อจิ่งหลีจึงแย่ลงกว่าเดิม เขาร้อง ฮึ เบาๆ
แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป书呆子
อันที่จริงม่อจิ่งหลีไม่มีเวลาสนใจตงฟางโยวเท่าไร
นัก เพราะก าลังวุ่นอยู่กับเรื่องการเป็นพันธมิตรกับซีหลิง
และเป่ยหรง เขาเพียงสั่งคนคอยจับตาดูนางไว้ ส่วนท้อง
พระโรงในยามนี้นั้น ระเบิดอันทรงพลังที่จู่ๆ ม่อจิ่งหลีทิ้ง
ไว้ก าลังจะระเบิด ไม่ต้องพูดถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่
ปรองดองกับต าหนักติ้งอ๋อง เพราะแม้แต่คนที่สนับสนุน
ม่อจิ่งหลีก็อดไม่ได้ที่จะใช้สายตามองสีหน้าอิ่มเอมใจของ
อุปราชที่อยู่บนท้องพระโรงราวกับเขาเป็นคนเสียสติ
ม่อจิ่งหลีเพิ่งจะแจ้งเรื่องการผูกสัมพันธมิตรกับซีห
ลิงและเป่ยหรง ยังไม่ทันได้กล่าวถึงเป้าหมายและ
แผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา ก็มีคนเดินออกมา พูดเสียง
ขรึม “ท่านอ๋อง เรื่องนี้มิได้นะขอรับ!”
ม่อจิ่งหลีมองคนที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าพลัน
เคร่งเครียด เขาเป็นคนของไทเฮา ม่อจิ่งหลีอยู่กับไทเฮา
มานานขนาดนี้ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง书呆子
คอยสนับสนุนไทเฮา หากเป็นเช่นนั้น หลายปีมานี้ม่อจิง
หลีคงถือว่าใช้ชีวิตอย่างเสียเปล่าแล้ว เมื่อครั้นที่ม่อจิ่งฉีมี
ชีวิตอยู่ เขาเกิดความขัดแย้งกับไทเฮา ตอนนั้นปีกของ
ไทเฮาก็ถูกก าจัดไปไม่น้อย ในสถานการณ์เช่นนี้คนที่ท า
ให้ไทเฮายังสามารถยืนหยัดได้ทั้งในและนอกพระโรง
เช่นนี้ นอกจากต าหนักติ้งอ๋อง ก็ไม่มีใครอื่นอีก ม่อจิ่งหลี
จึงตีว่าคนของไทเฮาก็คือคนของม่อซิวเหยา เขาอยาก
ถลกหนังพวกเขาออกเสียให้รู้แล้วรู้รอด ม่อจิ่งหลีมองคน
เบื้องล่าง ถามว่า “เหตุใดจึงไม่ได้”
ขุนนางที่เดินออกมาพูดอย่างจริงจังว่า “ซีหลิง
และเป่ยหรงแบ่งแยกดินแดนของพวกเรา เข่นฆ่าขุนนาง
และพลเรือน ท่านอ๋องในฐานะที่เป็นอุปราช และครอง
บัลลังก์ต้าฉู่ ไฉนต้องเป็นพันธมิตรกับพวกเขาด้วย ท า
เช่นนี้ต่างจากการนับถือโจรเป็นพ่อที่ตรงใดหรือพ่ะย่ะ
ค่ะ”书呆子
“เหลวไหล!” ม่อจิ่งหลีสีหน้าพลันเปลี่ยน เขาพูด
น้ าเสียงที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ
“ใต้เท้าหวังพูดถูก ท่านอ๋องโปรดพิจารณาด้วย”
ทุกคนพูดโดยพร้อมเพรียงกัน
ม่อจิ่งหลีจ้องมอง ขุนนางที่คุกเข่าลงมีมากกว่าแปด
ส่วน แม้จะเหลือเพียงร้อยละยี่สิบ แต่สีหน้าพวกเขา
แสดงให้เห็นว่าไม่เห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ อันที่จริงม่อจิ่ง
หลีรู้แต่แรกว่าการยินยอมเป็นพันธมิตรกับซีหลิงและเป่ย
หรง ต้องเผชิญกับผลลัพธ์เช่นนี้ ทว่าเมื่อได้เห็นผู้คนไม่
เห็นด้วยกับตนมากมายเช่นนี้ ราวกับคนทั้งใต้หล้าเป็น
ศัตรูกับตน ความโกรธกริ้วของม่อจิ่งหลีก็อดพลุ่งพล่าน
ขึ้นมาไม่ได้ สีหน้าโหดเหี้ยมของเขาจ้องเขม็งไปที่ขุนนาง
ที่คุกเข่าอยู่เต็มพื้น พูดว่า “ซีหลิงและเป่ยหรงเป็นศัตรู
ของต้าฉู่หรือ แล้วต าหนักติ้งอ๋องไม่ใช่หรืออย่างไร ตอนนี้
อาณาเขตที่ม่อซิวเหยาครอบครองไม่ใช่ของต้าฉู่หรอก书呆子
หรือ ข้าอยากรู้เหลือเกิน พวกเจ้าจงรักภักดีต่อต้าฉู่ หรือ
ต าหนักติ้งอ๋องกันแน่”
ค าพูดแทงใจเช่นนี้ ท าเอาขุนนางอาวุโสมากมาย
พลันรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ขุนนางเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่มาสอง
ราชวงศ์หรือนานถึงสามราชวงศ์แล้ว หากไม่ใช่เพราะ
จงรักภักดีต่อต้าฉู่ในตอนนั้น ก็คงไปอยู่กับต าหนักติ้งอ๋อง
นานแล้ว แม้จะไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโต แต่ก็สามารถมี
ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข แต่ตอนนี้กลับถูกติดตราบาป
ว่าไม่ภักดีต่อต้าฉู่ เพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับหลีอ๋อง แล้ว
จะท าให้ไม่รู้สึกเศร้าใจได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น การ
ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับซีหลิงและเป่ยหรงของหลีอ๋อง
นั้นก็เป็นความผิดมหันต์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะชนะหรือพ่ายแพ้
ชื่อเสียก็จะติดตัวไปอีกนานแสนนาน แม้ตายไปก็เป็นที่
รังเกียจของผู้คน书呆子
“ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ แต่การ
เป็นพันธมิตรกับซีหลิงและเป่ยหรงเป็นสิ่งไม่สมควร
กระท า ท่านอุปราชได้โปรดพิจารณาด้วย!” เหล่าขุนนาง
พูดโดยพร้อมเพรียง
ม่อจิ่งหลีสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่พอใจ พูดว่า “ข้า
ตัดสินใจแล้ว ไม่จ าเป็นต้องถกเถียงกันอีก” ในขณะที่พูด
สายตาของม่อจิ่งหลีก็กวาดไปมองฮ่องเต้น้อยที่นั่งอยู่บน
เก้าอี้มังกร น้ าตาของเขาเริ่มเอ่อคลอในดวงตาเพราะ
บรรยากาศที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นัยน์ตาม่อจิ่งหลี
พลันมีแสงมืดมนแล่นผ่าน เขาเดินไปข้างกายฮ่องเต้น้อย
พูดเสียงเข้มว่า “ฮ่องเต้ การตัดสินใจของข้าฮ่องเต้เห็นว่า
อย่างไรบ้าง”
ฮ่องเต้น้อยม่อซู่อวิ๋นกลัวเสด็จลุงอุปราชท่านนี้อยู่
แล้ว เมื่อถูกม่อจิ่งหลีจ้องเขม็งใส่ เขาก็ปล่อยโฮร้องไห้
ออกมาทันที ม่อจิ่งหลีช าเลืองมองเขาอย่างเกลียดชัง书呆子
ตะคอกเสียงดุดัน “ร้องหาพระแสงอะไร เจ้าเป็นฮ่องเต้
ร้องไห้ต่อหน้าเหล่าขุนนางเช่นนี้ได้หรือ ข้าถามเจ้าอยู่
นะ” ฮ่องเต้น้อยตกใจจนสะอึก ใบหน้าน้อยๆ ที่เต็มไป
ด้วยคราบน้ าตาของเขาแดงก่ า พูดเสียงสะอื้นว่า “เสด็จ
ลุง… ฮือ เสด็จลุงพูด… ถูก… ”
ม่อจิ่งหลีร้อง ฮึ เบาๆ เขาชายตามองทุกคนในท้อง
พระโรง พูดว่า “ได้ยินแล้วหรือยัง นี่คือความเห็นของฝ่า
บาท พวกเจ้าไม่เห็นด้วยกับบัญชาของข้า แต่แม้แต่
บัญชาของของฮ่องเต้พวกเจ้าก็จะฝ่าฝืนหรือ” เหล่าขุน
นางอัดอั้นใจนัก ฮ่องเต้น้อยอายุเพียงแปดเก้าขวบ และ
ยังถูกม่อจิ่งหลีกลั่นแกล้งมาตลอดสองปีนี้ แม้ไทเฮาจะสั่ง
สอนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ แม้แต่เด็กสามัญชนอายุแปด
เก้าขวบ เขาก็ยังสู้ไม่ได้ แต่พวกเขาจะพูดอะไรได้เล่า จะ
บอกว่าฮ่องเต้ยังไม่รู้เรื่องหรือ จะบอกว่าค าพูดของฮ่องเต้
ไม่นับหรือ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สองสามคนท าได้เพียงคร่ า书呆子
ครวญในใจ ประมุของค์น้อยผู้โดดเดี่ยว ขุนนางมีอ านาจ
ขายแผ่นดิน
“หลีอ๋อง เจ้าจะท าอะไรกันแน่” ไทเฮาเดินออกมา
จากท้ายต าหนัก มองบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่
ของตนเองด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อม่อจิ่งหลีเห็นไทเฮาเดินออกมา สีหน้าพลัน
เคร่งขรึม พูดอย่างไร้อารมณ์ว่า “วังหลังไม่ยุ่งเรื่อง
การเมือง เหตุใดเสด็จแม่ถึงออกมาตอนนี้” เมื่อฮ่องเต้
น้อยม่อซู่อวิ๋นเห็นไทเฮา น้ าตาที่ก าลังจะกลั้นไว้ได้เมื่อครู่
นี้พลันไหลทะลักออกมากอีกครั้ง เขามองไปที่ไทเฮาแล้ว
ปล่อยโฮออกมา “ฮือๆ เสด็จย่า… หลานกลัว… ” ไทเฮา
มองสายตาที่เย็นชาของม่อจิ่งหลี ก็รู้สึกว่าภาพเบื้องหน้า
มืดมัว บัดนี้นางเหลือเพียงม่อจิ่งหลีเป็นลูกชายเพียงคน
เดียวแล้ว หากเป็นไปได้ นางเองก็อยากให้ตนและลูกชาย
อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข แต่เมื่อตอนที่ม่อจิ่งฉีเสียชีวิต书呆子
พวกเขาสองคนทะเลาะกันรุนแรงเกินไป สองปีมานี้
ไทเฮาจึงยิ่งเห็นชัดแจ้งขึ้นว่าในสายตาของลูกชายคนนี้
ต าแหน่งเสด็จแม่ของตนคงสู้ท่านป้าเสียนเจาไท่เฟยไม่ได้
แม้แต่น้อย ไทเฮามีต าแหน่งสูงศักดิ์มาตลอดชีวิต จะยอม
ทนให้ลูกชายที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ถูกช่วง
ชิงอ านาจและคอยดูสีหน้าคนอื่นได้อย่างไร หลังจาก
นั้นม่อจิ่งหลีก็ได้ความช่วยเหลือจากภูเขาชางหมาง ซึ่งยิ่ง
กีดกันคนของไทเฮามากขึ้น ความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้
จึงยิ