ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 375-2 งำนเลี้ยงหงเหมินของต ำหนักอุปรำช
เยี่ยหลีดึงมือของตนกลับอย่างสงบ ยิ้มพูดขึ้นว่า “จะรบกวนคุณชายหลินได้อย่างไร”
ชายวัยกลางคนยิ้มกลบเกลื่อน พูดขึ้นว่า “รบกวน อะไรกันเล่า อยู่บ้านพึ่งพาพ่อแม่ นอกบ้านพึ่งพาเพื่อนฝูง ข้าน้อยก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณชายฉู่ แต่เกรงว่าคุณชาย ฉู่จะรังเกียจความไร้รสนิยมของพ่อค้าอย่างข้า”
เยี่ยหลียิ้ม พลันรู้สึกถึงความจริงใจของคนตรงหน้า นี้ นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “มิทราบ ว่าข้าน้อยควรตอบแทนคุณชายหลินอย่างไร” ชายวัย กลางคนมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เราคุยกันเป็นการส่วนตัวดีหรือไม่”
เยี่ยหลีพูด “ข้าน้อยเป็นเพียงคนนอกของตระกูลฉู่ หากท าให้คุณชายหลินผิดหวังย่อมไม่ดี”
书呆子
ชายวัยกลางคนพูดเสียงเบาอย่างหมดหนทาง “อัน ที่จริงก็ไม่มีอะไร ยอดฝีมืออย่างคุณชายฉู่ข้าน้อยไม่เชื่อ ว่าจะไม่มีปากมีเสียงในตระกูลฉู่เลยแม้แต่น้อย ข้าน้อย แค่อยากจะ… ขอร้องให้คุณชายช่วยแนะน าข้าให้คุณชาย ชิงเฉินหรือไม่ก็คุณชายหานก็ได้” เวลาที่ติ้งอ๋องและพระ ชายาเอกติ้งอ๋องไม่อยู่เมืองหลี คุณชายชิงเฉินถืออ านาจ ทั้งหมดของต าหนักติ้งอ๋องไว้ ส่วนหานหมิงซีก็ดูแล การค้าของต าหนักติ้งอ๋องทั้งหมด ไม่ว่าจะแนะน ากับท่าน ใด เขาก็ไม่เสียผลประโยชน์แน่
เยี่ยหลีหลุบตา ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง เรื่อง พวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายวัยกลางคนก็สบายใจ และอด มองเยี่ยหลีอย่างชื่นชมไม่ได้ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่อง เล็กน้อยเลย ด้วยสถานะอย่างเขา การเข้าพบคุณชายชิง เฉินเป็นเรื่องที่ยากล าบากมาก ความสัมพันธ์ของฉู่จวิ
书呆子
นเหวยคนนี้และคุณชายชิงเฉินต้องดีในระดับหนึ่งแน่ เขา จึงมีความมั่นใจเยี่ยงนี้ “เช่นนั้น ขอบคุณคุณชายแล้ว” ชายวัยกลางคนประสานมือยิ้มพูด
“อุปราชเสด็จ! ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงแหลมสูงดังขึ้น ขัดค าพูดที่ชายวัยกลางคนอยากพูดต่อ เยี่ยหลียิ้มส่ง สัญญาณว่าค่อยคุยทีหลัง ชายวัยกลางคนจึงเก็บสายตาที่ แสดงความเสียดายเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับ การเสด็จของอุปราชและฮ่องเต้น้อย
ฮ่องเต้น้อยสวมฉลองพระองค์ลายมังกรสีเหลือง อร่ามเดิมตามอยู่ข้างกายม่อจิ่งหลี จะว่าไปม่อซู่อวิ๋นอายุ มากกว่าม่อตัวน้อยเกือบหนึ่งปี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าม่อ ซู่อวิ๋นจะสูงกว่าม่อตัวน้อยเมื่อครั้นตอนที่เยี่ยหลีออกจาก เมืองหลีเมื่อสองสามเดือนที่แล้วประมาณครึ่งศีรษะ ฮ่องเต้น้อยเดินตามข้างกายม่อจิ่งหลีด้วยตัวที่สั่นเทา ดู
书呆子
อย่างไรก็ไม่เหมือนผู้เป็นประมุข ดูคล้ายเด็กน่าสงสารที่ ถูกทรมานมากกว่า
เยี่ยอิ๋งเดินอยู่ข้างๆ ม่อจิ่งหลี เมื่อเห็นเด็กน้อยผู้น่า สงสารแล้วก็อยากจะยื่นมือไปจูงเขาไว้ แต่เพราะสีหน้า ของม่อจิ่งหลี เขาจึงไม่กล้าขยับตัว
“คารวะอุปราช! ถวายบังคมฮ่องเต้!” ตามหลัก แล้ว แม้ตอนนี้อุปราชดูแลราชกิจแทน แต่ก็ควรถวาย บังคมฮ่องเต้ก่อน แต่การท าความเคารพก่อนหน้านี้ก็ขาน เรียกอุปราชขึ้นก่อน คนส่วนใหญ่และขุนนางใน พระราชวังที่มาเข้าร่วมต่างเคยชินมานานแล้ว ส่วนเหล่า พ่อค้าคนรวยส่วนใหญ่กลับไม่สังเกตถึงปัญหานี้เลย และ ยังมีคนอีกจ านวนหนึ่งที่คอยตามน้ าไปเนื่องจากไม่กล้า ขัดหลีอ๋อง
书呆子
“ลุกขึ้นเถิด” หลังจากม่อจิ่งหลีเดินขึ้นไปนั่งบน บัลลังก์ของตนแล้ว จึงหลุบตามองทุกคนจากที่สูงแล้วพูด ขึ้น
“ขอบคุณอุปราช” ทุกคนกล่าวพร้อมกัน
เยี่ยอิ๋งก็นั่งลงทางขวามือของม่อจิ่งหลี ฮ่องเต้ น้อยม่อซู่อวิ๋นแอบชายตามองม่อจิ่งหลี แล้วจึงเดินไปนั่ง ลงบนเก้าอี้ว่างที่อยู่ด้านซ้ายมือ ทุกคนที่อยู่ข้างล่างเห็น ท่าทางขี้ขลาดของฮ่องเต้น้อยก็อดแอบส่ายศีรษะไม่ได้
ม่อจิ่งหลีมองดูเหล่าแขกขุนนางที่อยู่ข้างล่างอย่าง พึงพอใจ ยิ้มพูดว่า “ทุกท่านมิต้องเกรงใจ กินดื่มให้เต็มที่ เถิด” ทุกคนขอบคุณอุปราชอีกครั้ง คนที่นั่งอยู่ย่อมทราบ ดีว่าการกินเลี้ยงของอุปราชในวันนี้มีจุดประสงค์อะไร โดยเฉพาะพ่อค้าผู้ร่ ารวยที่ถูกบังคับให้มา ทุกคนต่างฝืน ยิ้มหน้าเกร็ง จะมีอารมณ์กินดื่มได้อย่างไรกัน
书呆子
บรรยากาศในงานเลี้ยงช่างพิลึกนัก เยี่ยหลีกลับไม่ สนใจ นางกินและจิบสุราอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับไม่รู้ จุดประสงค์ของงานเลี้ยงนี้ ในห้องโถง ม่อจิ่งหลีที่นั่งมอง อยู่ข้างบนย่อมเห็นสีหน้าของทุกคน สองสามวันมานี้ม่อ จิ่งหลีอารมณ์เสียเพราะเรื่องของตงฟางโยว แม้ปกติม่อ จิ่งหลีมักอยากบีบคอตงฟางโยวอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อจู่ๆ นางหายตัวไป ก็ท าให้เรื่องมากมายที่ม่อจิ่งหลีจัดการอยู่ ต้องหยุดชะงักไปด้วย ตงฟางโยวกุมอ านาจหลายอย่าง ของภูเขาชางหมางไว้ เมื่อนางไม่อยู่ ม่อจิ่งหลีแทบจะไม่ สามารถระดมอ านาจส่วนหนึ่งได้เลย อีกทั้งไทเฮาที่ ทะเลาะกับม่อจิ่งหลีในท้องพระโรงต่อหน้าเหล่าขุนนาง แม้ทั้งในและนอกเมืองหนานจิงไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้ขาดสะบั้นลงแล้ว แต่การคุม ขังมารดาของตนอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ก็ท าให้ม่อจิ่งหลีถูก ขุนนางผู้รู้วิพากวิจารณ์ไม่น้อย บัดนี้ เมื่อได้เห็นสีหน้าทุก คนที่ฝืนทนและจ าต้องเชื่อฟัง ม่อจิ่งหลีพลันรู้สึกอารมณ์
书呆子
ดีขึ้นเป็นกอง แม้คนเหล่านี้คัดค้านเขาแล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ต้องยอมเชื่อฟังค าสั่งของเขา และคุกเข่าต่อ หน้าเขาอย่างนอบน้อมอยู่ดี
“ทหาร น าคนเข้ามา!” ท่ามกลางบรรยากาศงาน เลี้ยงอันเคร่งเครียดและพิลึกพิลั่น จู่ๆ เสียงของม่อจิ่งหลี พลันดังขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง องครักษ์สองนายของต าหนักหลี อ๋องก็ลากชายวัยกลางคนที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเข้า มา แล้วจับเขาคุกเข่าลงบนพื้น เยี่ยหลีมองอย่างสงสัย นางไม่รู้จักคนคนนี้ แต่นายใหญ่หลินที่อยู่ข้างๆ ตกใจ เฮือก พูดเสียงเบาว่า “จางไป่ว่าน” ในห้องโถง มีคนไม่ น้อยแสดงสีหน้าเดียวกับนายใหญ่หลิน ผู้คนที่อาศัยใน หนานจิง หากเป็นคนมีชื่อเสียงย่อมรู้จักเขากันหมด ชื่อ จางไป่ว่านย่อมไม่ใช่ชื่อจริงของเขา เขาเป็นพ่อค้าข้าวที่มี ชื่อเสียงของเจียงหนาน ว่ากันว่าร้อยละหกสิบของร้าน
书呆子
ข้าวสารในเจียงหนานเป็นของตระกูลจางทั้งหมด ถือได้ ว่าเป็นผู้ค้าร่ ารวยอันดับต้นๆ ในหนานจิง อยู่เหนือความ มั่งคั่งก็ว่าได้ จึงเป็นที่มาของชื่อจางไป่ว่าน[1]
จางไป่ว่านคนนี้ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ คนหน้า เลือด เขาเป็นคนร่ ารวยอยู่แล้ว แต่เขาสวมเสื้อผ้าอย่าง คนธรรมดา แม้แต่ภรรยาและลูกๆ ของเขาก็ใช้ชีวิตอย่าง เรียบง่าย ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะรู้ว่าเขามีเงินทองมากมาย เขาเอาเปรียบคนอื่นได้ แต่หากคนอื่นเอาเปรียบเขา แม้แต่ต าลึงเดียว เขาก็จะกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน คน เช่นนี้ จะยอมบริจาคเงินจ านวนมากให้ม่อจิ่งหลีใช้เป็น ค่าจ้างทหารได้อย่างไร มิหน าซ้ ากองก าลังม่อจิ่งหลีออก รบ ย่อมต้องการข้าวสาร ก่อนหน้านี้ม่อจิ่งหลีส่งคนไป เจรจากับเขาแล้ว แต่เขาคนนี้กลับหลีกเลี่ยงการเจรจา งานเลี้ยงวันนี้ก็ไม่ยอมเข้าร่วม
书呆子
ด้วยนิสัยของม่อจิ่งหลี เขาจะยอมรับพฤติกรรมที่ บังอาจปฏิเสธตนเช่นนี้ได้อย่างไร จางไป่ว่านที่ไม่ยอมน า หนังสือเชิญมาร่วมงานอย่างสมเกียรติ จึงถูกคนจับตัวเข้า มาในงานเลี้ยงของต าหนักอุปราชแทน
ม่อจิ่งหลีใช้สายตาเย็นชากวาดมองชายวัยกลางคน ผู้ร่ ารวยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ยิ้มอย่างเยือกเย็นพูดว่า “นาย ใหญ่จาง เชิญเจ้ามาร่วมงานช่างยากเย็นเลยเกินนะ”
จางไป่ว่านสีหน้าอมทุกข์ พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ท่านอ๋องโปรดอภัย ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยรู้สึกไม่ สบายจริงๆ ก็เลย… ขอท่านอ๋องโปรดประทานอภัยด้วย พ่ะย่ะค่ะ”
“รู้สึกไม่สบายหรือ” ม่อจิ่งหลีพูด “จริงหรือ ข้ามี หมอหลวงเก่งกาจอยู่สองสามท่าน ให้พวกเขาจับชีพจร ให้เจ้าดีหรือไม่ จะได้ก าจัดต้นตอของโรคไปเสีย”
书呆子
“มิ… มิบังอาจ…” สีหน้าจางไป่ว่านซีดเผือด คล้าย คนป่วย เขาจะกล้าให้คนของต าหนักหลีอ๋องจับชีพจรได้ อย่างไร เกรงว่าหลังจากหมอหลวงของต าหนักหลีอ๋องจับ ชีพจรแล้ว แม้จะมีโรคภัยไข้เจ็บอะไร ก็คงต้องกลับมา แข็งแรงสมบูรณ์อยู่ดี มิหน าซ้ า ใครๆ ก็รู้ว่าอาการไม่ สบายของเขาเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
[1] ไป่ว่าน แปลว่า หนึ่งล้าน