ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 376-5 เหตุใดเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องต้องการให้เขียนราชโองการ อันใดหรือ” จั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นไม่สามารถเข้ามาในห้อง หนังสือของต าหนักหลีอ๋องได้ พวกเขาท าได้เพียงรออยู่ ด้านนอก แต่ถึงกระนั้นต่อให้พวกเขาเข้ามาอยู่ข้างกาย นาง เยี่ยหลีก็ไม่คิดจะแตกหักกับม่อจ่งหลีอย่างรวดเร็ว เพียงนี้
สีหน้าม่อจิ่งหลีคลายความกังวลลง เอ่ยปากพูด อย่างล าบากใจว่า “ข้าขอเอ่ยตามตรง ช่วงนี้พระวรกาย ของฮ่องเต้ไม่สู้ดีนัก เกรงว่า… ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ ย่อมไม่มีรัชทายาท จึงต้องการสละราชบัลลังก์… คุณชาย ฉู่โปรดช่วยเขียนราชโองการสละราชบัลลังก์ให้ทีเถิด คุณชายเป็นทายาทแห่งตระกูลสูงศักดิ์ คงไม่ท าให้ข้า ผิดหวัง” ม่อจิ่งหลีแสร้งท าเป็นเศร้าเสียใจ แต่ความจริง
书呆子
นั้นนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ การกระท าเช่นนี้ของเขา ท าให้เยี่ยหลียิ่งรู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก
“ไม่ทราบว่า… ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะสละราช บัลลังก์ให้องค์ชายพระองค์ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีถาม ด้วยท่าทีไร้เดียงสา สีหน้ายังคงเดิม ฮ่องเต้ไม่มีรัชทายาท บัลลังก์ย่อมต้องสละให้ผู้อื่น ทว่าตามหลักแล้วจะสืบทอด ให้คนที่ใกล้ชิดกับตนทางสายเลือดมากที่สุด ซึ่งหมายถึง พี่น้องต้องมาก่อน ตามด้วยลูกหลาน แต่การสืบต่อให้ ท่านลุงนั้นเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยาก ดังนั้นการที่เยี่ยหลีถาม เช่นนี้ จึงไม่ถือเป็นเรื่องเสียมารยาท
นัยน์ตาม่อจิ่งหลีมีประกายความเย็นชาแล่นผ่าน เขาไม่ได้ตอบค าถามของเยี่ยหลี มู่หยางที่นั่งอยู่ตรงข้าม ยิ้มพูดขึ้นว่า “คุณชายฉู่เข้าใจผิดแล้ว ฮ่องเต้มีพระ ประสงค์จะสละราชบัลลังก์ให้กับท่านอุปราช ในเมื่อพี่ น้องของฮ่องเต้ต่างยังทรงพระเยาว์… อีกทั้งบัดนี้ต้าฉู่ยัง
书呆子
อยู่ในช่วงโกลาหล ต้องการผู้น าที่มีความสามารถและ เก่งกาจจริงๆ แม้ฮ่องเต้จะยังทรงพระเยาว์ แต่ก็คิดถึงแต่ ประโยชน์ของต้าฉู่เท่านั้น”
เพื่อบ้านเมืองต้าฉู่หรือ เกรงว่าเพราะถูกพวกเจ้า กลั่นแกล้งเสียมากกว่า เยี่ยหลียิ้มอย่างเย็นชาในใจ
เยี่ยหลีมองม่อจิ่งหลีอย่างลังเลครู่หนึ่ง แสร้งแสดง ความล าบากใจ พูดว่า “ท่านอ๋องโปรดอภัย ตอนนี้เกรง ว่า… ข้าน้อยคงต้องขอปรึกษากับครอบครัวข้าน้อยก่อน มิหน าซ้ า แม้ข้าน้อยเป็นคนของตระกูลฉู่ แต่ก็เป็นเพียง คนนอก เรื่องราชโองการสละราชบัลลังก์เช่นนี้…” ตั้งแต่ โบราณกาล ฮ่องเต้ที่ยินยอมสละราชบัลลังก์มีเพียงไม่กี่ พระองค์เท่านั้น และคนที่เขียนราชโองการย่อมต้องเป็น คนที่มีอิทธิพล เพื่อท าให้ทุกคนเชื่อถือและยกย่องผู้สืบ ราชบัลลังก์ และเพราะเหตุนี้เอง หากเขียนได้ดีย่อมมี ชื่อเสียงเลื่องลือถึงคนรุ่นหลัง ในทางกลับกันหากเขียนได้
书呆子
ไม่ดีชื่อเสียงก็จะเสื่อมเสียตลอดไป แม้เยี่ยหลีจะเพียงยืม ฐานะของสมาชิกตระกูลฉู่มาใช้ แต่ก็ไม่คิดท าลาย ชื่อเสียงของผู้อื่น หากเขาเขียนได้ดี ราชโองการที่ม่อจิ่ง หลีให้เขาเขียนฉบับนี้ เกรงว่าสุดท้ายจะถูกตราไว้ภายใต้ ชื่อสายตรงของตระกูลฉู่ คนใต้หล้ารู้เพียงว่าคนตระกูลฉู่ เป็นผู้เขียนขึ้น ผู้ใดเลยจะสนใจว่าฉู่จวินเหวยจะเป็น ลูกหลานทางสายหลักหรือสายรอง หรือแม้กระทั่งว่า ตระกูลฉู่มีคนผู้นี้อยู่จริงหรือไม่
อันที่จริงม่อจิ่งหลีก็ไม่ได้ต้องการบังคับให้เยี่ยหลี เขียนพระราชโองการนี้ เพียงแต่เขาหาคนที่เหมาะสมมา เขียนไม่ได้แล้วจริงๆ ขุนนางอาวุโสที่มีชื่อเสียงโด่งดังใน ราชวังย่อมไม่ยินยอมเขียนราชโองการนี้ในนามของ ตนเอง ส่วนคนสนิทของม่อจิ่งหลีก็ไม่มีคนใดมีชื่อเสียง มากพอ แม้ฉู่จวินเหวยเป็นเพียงสมาชิกสายรองของ ตระกูลฉู่ แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นคนของจวนฉู่ จวนฉู่ถือได้
书呆子
ว่าเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศเกรียงไกรรองลงมาจาก ตระกูลสวี หากได้คุณชายชิงเฉินมาเขียนราชโองการ ม่อ จิ่งหลีคงไม่ต้องสนใจว่าเยี่ยหลีจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แล้ว
ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีอย่างไม่พอใจ “เรื่องเล็กน้อย เพียงเท่านี้ คุณชายฉู่กลับหาเหตุมาบ่ายเบี่ยง เจ้าดูแคลน ข้าหรืออย่างไร”
เยี่ยหลีอยากตบหน้าม่อจิ่งหลีสักฉาด หากคนที่นั่ง อยู่ตรงนี้เป็นคุณชายสายรองของตระกูลฉู่จริงๆ แล้วม่อ จิ่งหลีเดินหมากเช่นนี้ แล้วคุณชายตระกูลฉู่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ สมรู้ร่วมคิด เกรงว่าคงได้ปลิดชีพตนเองให้แล้วๆ กันไป แล้ว
“ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลียืน หยัด “แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าน้อยมิบังอาจอวดดี ท่านอ๋องคงไม่หวังว่า หลังจากข้าน้อยเขียนราชโองการ
书呆子
ไปแล้ว จะมีข่าวจากจวนฉู่ว่าจวินเหวยถูกขับออกจาก จวนไปหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เท่ากับว่าตระกูลฉู่ตบหน้าม่อ จิ่งหลีฉาดใหญ่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะน่าเกลียดกว่าการให้ ใครก็ได้มาเขียนราชโองการเสียอีก อย่างอื่นขอไม่พูด แต่ หากตระกูลสวีถือโอกาสนี้พูดอะไรออกไป เหล่า ปัญญาชนในใต้หล้าคงไม่มีใครพึงพอใจม่อจิ่งหลี
ม่อจิ่งหลีเองก็รู้ว่าสิ่งที่เยี่ยหลีพูดคือความจริง แต่ ค าขอร้องที่เขายื่นให้ด้วยความมั่นใจนั้นกลับถูกปฏิเสธ แล้วเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เมื่อมู่หยางเห็น สถานการณ์เช่นนี้ จึงรีบพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ความกังวล ของคุณชายฉู่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล คุณชายฉู่เป็น ปัญญาชน เรื่องบางเรื่องอาจจะคิดไม่ทัน ให้คุณชายได้ ไตร่ตรองสักสองสามวันเถิด คิดว่าถึงตอนนั้นคุณชายฉู่คง จะคิดได้เอง”
书呆子
ม่อจิ่งหลีจึงพยักหน้า มองเยี่ยหลีพูดว่า “ข้าให้ ความส าคัญกับคุณชายอย่างยิ่ง คุณชายฉู่โปรดใคร่ครวญ ด้วย ด้วยความสามารถของคุณชายฉู่ จะไม่ใช่คุณชายชิง เฉินคนที่สองได้อย่างไร”
เยี่ยหลีหัวเราะในใจ นางมิบังอาจเทียบ ความสามารถกับพี่ใหญ่ แต่ข้อแลกเปลี่ยนของการตีสนิท กับเขาของม่อจิ่งหลีครั้งนี้กลับน่าชื่นชมนัก ใครไม่รู้บ้าง ว่าคุณชายชิงเฉินเป็นบุคคลที่อยู่ใต้เพียงคนสองคน และ อยู่เหนือคนนับหมื่น พูดได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนทั้งใต้ หล้า มีปัญญาชนผู้ใดที่ไม่มองคุณชายชิงเฉินเป็น แบบอย่างและเป้าหมายความส าเร็จของตนเองบ้าง แต่เยี่ยหลีรับรองได้ว่า แม้นางคือฉู่จวินเหวยจริงๆ นางก็ ไม่มีทางเลือกม่อจิ่งหลี ม่อซิวเหยามีพลังและ ความสามารถเหนือคนเป็นหมื่น แต่ม่อจิ่งหลีไม่มี เกรงว่า
书呆子
กว่าเขาจะตั้งหลักปักฐานได้ คนที่โชคร้ายที่สุดคงไม่พ้น คุณชายชิงเฉินคนที่สองอย่างเขานี้เอง
เยี่ยหลีประสานมือตอบรับ “ขอบคุณความเมตตา ของท่านอ๋อง ข้าน้อยจะไตร่ตรองอย่างดี”
ม่อจิ่งหลีมองเยี่ยหลี พยักหน้าพูดว่า “ดี ข้าจะให้ คนส่งคุณชายกลับจวน”
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง” เยี่ยหลีก็ไม่รีรอ นางรู้ดี ว่าม่อจิ่งหลีหมายถึงอะไร แต่ก็หาได้ใส่ใจ ในเมื่อม่อจิ่งหลี ให้เขารู้เรื่องส าคัญเช่นนี้แล้ว จะวางใจให้เขาไปเสียเฉยๆ ได้อย่างไร ทว่าม่อจิ่งหลีไม่รู้เลยว่า หากเยี่ยหลีหายตัวไป จากหนานจิง แม้เขาจะพลิกแผ่นดินหาอย่างไรก็คงหาไม่ เจออีก
เมื่อจั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นที่รออยู่ข้างนอกเห็นเยี่ยหลี เข้าไปแล้วออกมาพร้อมกับองครักษ์ต าหนักหลีอ๋องสอง สามนาย สีหน้าพวกเขาพลันเปลี่ยนไปทันที เยี่ยหลีโบก
书呆子
มือเล็กน้อยให้สัญญาณว่าอย่าท าอะไรตุกติก ทั้งสองจึง สงบลง พวกเขาเดินเข้าไปหานาง “ข้าน้อยคารวะ คุณชาย”
เยี่ยหยีพยักหน้าพูดว่า “กลับกันเถิด”
“ขอรับ คุณชาย”
เยี่ยหลีเดินออกจากต าหนักหลีอ๋องพร้อมผู้ติดตาม สองสามนายที่เพิ่งตามมาและจั๋วจิ้งกับเว่ยลิ่น ในขณะที่ เดินผ่านสวนดอกไม้นั้นก็บังเอิญเห็นฮ่องเต้น้อยผู้อยู่ใน ชุดสีเหลืองอร่าม ชั่วระยะเวลาเพียงสองสามวันที่ไม่ได้ พบเขา ใบหน้าน้อยที่แต่เดิมก็ซูบตอบของฮ่องเต้น้อยก็ เริ่มซีดเซียว ดวงตาที่ราวกับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตลอดเวลาดวงนั้นก็ยิ่งหม่นหมอง ทุกคนดูออกว่าอายุขัย ของเด็กคนนี้ใกล้ถึงฆาตแล้ว
ม่อซู่อวิ๋นเดินทอดน่องอยู่ในสวนดอกไม้ ขันทีและ นางในก้มหน้าอยู่ข้างหลัง ไม่มีใครท าอะไร ราวกับว่าขอ เพียงฮ่องเต้น้อยไม่คลาดสายตาพวกเขาไป ไม่ว่าเขาจะ ท าอะไรก็ย่อมได้ทั้งสิ้น ทางเดินในสวนดอกไม้ไม่เรียบนัก เหมือนกับว่าม่อซู่หวิ๋นเห็นของเล่นน่าสนุกอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาที่หม่นหมองพลันมีประกายเล็กน้อย เขาก้าวเท้า เตรียมจะวิ่งออกไป แต่ร่างกายของเขาที่อ่อนแอลงมาก แล้ว ท าให้เขาล้มลงกับพื้นทันทีที่ยืนไม่มั่นคง
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เหล่าขันทีและนางในที่ติดตาม เขากลับไม่มีใครเข้าไปประคองเขาขึ้นมาสักคน ราวกับว่า คนเหล่านี้กลายเป็นหุ่นกระบอกที่ไร้สติสัมปชัญญะไป แล้วกระนั้น