ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 376-6 เหตุใดเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์
ม่อซู่อวิ๋นล้มลงบนพื้นที่ปูด้วยก้อนกรวด แขนทั้ง สองข้างของเขาถลอกเลือดไหลซิบๆ เขาน้ าตาคลอเบ้า ด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่รู้เหตุใดน้ าตาจึงไม่ไหลลงมาเสีย ที ม่อซู่อวิ๋นไม่ลุกขึ้น เขานอนราบอยู่กับพื้น เหม่อมอง แขนที่เจ็บจนแสบร้อนของตนเอง
แขนขาวนวลเรียวสวยคู่หนึ่งค่อยๆ อุ้มเขาขึ้นมา จากบนพื้น ม่อซู่อวิ๋นกะพริบตาปริบๆ เหม่อมองคุณชาย โฉมงามในชุดขาวตรงหน้า
“เจ็บหรือไม่” เยี่ยหลีก้มตัวลง มองเด็กน้อย ตรงหน้าที่ก าลังมองตนแล้วถามขึ้น
น้ าตายังคงคลอในเบ้าตาของม่อซู่อวิ๋น ผ่านไปครู่ หนึ่งเขาจึงพยักหน้า เยี่ยหลีลอบถอนหายใจ เหตุใดนาง จึงไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของเด็กน้อยคนนี้เลย
书呆子
ความรู้สึกของเด็กคนนี้ช้าลงไปมากเมื่อเทียบกับก่อน หน้านี้
เมื่อผู้ติดตามม่อซู่อวิ๋นเห็นว่ามีคนเข้ามา ก็รีบห้าม ปราม “คุณชายท่านนี้… ฮ่องเต้ต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว เจ้าค่ะ” เยี่ยหลีกวาดตามองพวกเขา ยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “พวกเจ้ารู้ด้วยหรือว่าเขาคือฮ่องเต้”
นางในที่พูดสีหน้าพลันซีดเผือก แต่เพียงแวบเดียว ก็กลับมาดังเดิม นางพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยย่อมรู้ว่าตอนนี้ พระองค์ยังเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นได้โปรดคุณชายรีบออกไป เถิด ฮ่องเต้หาใช่คนที่ใครจะมาพบก็ได้ไม่” แม้น้ าเสียง ของนางในคนนี้ฟังดูมีความเกรงอกเกรงใจ แต่เยี่ยหลี ยังคงฟังน้ าเสียงที่แฝงความเย่อหยิ่งและการเน้นเสียง หนักค าว่า ‘ตอนนี้ยังเป็น’ ของนางออก การปฏิบัติ ต่อม่อซู่อวิ๋นเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้รับค าสั่งมา อีกที
书呆子
องครักษ์ที่ตามหลังเยี่ยหลีมาก็เดินเข้าไปหาเขา คิด หาค าพูดเพื่อบอกให้เยี่ยหลีออกไปจากที่นี่ แต่พวกเขาก็รู้ ว่าท่านอ๋องยังจ าเป็นต้องใช้ประโยชน์จากฉู่จวินเหวยคน นี้อยู่ จึงมิกล้าพูดจาบังคับข่มขู่มากเกินไปนัก
“คารวะพระชายาเอกเพคะ” ในขณะที่ สถานการณ์ตึงเครียดอยู่นั้น เยี่ยอิ๋งก็เดินมาพร้อม ผู้ติดตาม นางกวาดสายตามองผ่านทุกคนแวบหนึ่ง ก่อน ถามขึ้นว่า “ท าอะไรกันอยู่รึ” นางในที่พูดกับเยี่ยหลีก่อน หน้านี้เดินขึ้นหน้า พูดว่า “เรียนพระชายา ข้าน้อยได้รับ บัญชาจากไท่เฟยให้พาฮ่องเต้ออกมาเดินเล่น คุณชายฉู่ ท่านนี้กลับขวางทางฮ่องเต้ไม่ยอมให้พระองค์จากไปเพ คะ”
เยี่ยอิ๋งไม่ปริปากพูดอะไร นางมองไปที่เยี่ยหลี เยี่ย หลีอมยิ้มพูดว่า “เรียนพระชายา ข้าน้อยแค่เห็นฮ่องเต้ สะดุดล้มจึงเข้ามาพยุง จากนั้น… ” เยี่ยหลียกแขนเสื้อที่
书呆子
ถูกจับไว้แน่นขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะฮ่องเต้ น้อยจับแขนเสื้อตนไว้ไม่ยอมปล่อย
เยี่ยอิ๋งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “คุณชายฉู่เป็นแขก คนส าคัญของท่านอ๋อง ในเมื่อฮ่องเต้ชอบเขาก็ให้เขาเล่น กับฮ่องเต้เสียหน่อยจะเป็นอะไรไป พวกเจ้าจะท าให้เป็น เรื่องใหญ่โตเป็นกระต่ายตื่นตูมกันไปไย”
“พระชายา! แต่ว่าไท่เฟย… ”
“ทางไท่เฟย ข้าจะไปอธิบายเอง พวกเจ้าเอาแต่ยืน มองฮ่องเต้ล้มแบบนี้ เป็นผีดิบกันไปหมดแล้วหรือไร” เยี่ยอิ๋งพูดเสียงเย็นชา แม้คนเหล่านี้เป็นคนของเสียนเจา ไท่เฟย แต่ต่อหน้าผู้คนข้างนอกก็มิกล้าโต้เถียงกับเยี่ยอิ๋ง ผู้เป็นชายาหลีอ๋องคนนี้ พวกเขาจึงได้แต่ปิดปากเงียบ
เยี่ยหลีรับยาที่ส่งมาจากเว่ยลิ่นที่อยู่ข้างหลัง ค่อยๆ ทายาให้ม่อซู่อวิ๋น ถามโดยไม่หันศีรษะไปมองว่า “ยังไม่ เชิญหมอหลวงมาอีกหรือ”
书呆子
ผู้ติดตามม่อซู่อวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหัน หลังจากไป
เนื่องจากม่อซู่อวิ๋นยังคงจับแขนเสื้อเยี่ยหลีไว้ไม่ ปล่อย เยี่ยหลีจึงจากไปไหนไม่ได้ชั่วคราว นางได้แต่ อุ้มม่อซู่อวิ๋นไปนั่งพักที่ศาลาในสวนดอกไม้ ในขณะที่นั่ง อุ้มม่อซู่อวิ๋นอยู่ในศาลานั้น เยี่ยหลีก็มองเยี่ยอิ๋งแล้วพูด ขึ้นว่า “เรื่องที่เสียนเจาไท่เฟยท า เจ้ารู้หรือไม่”
สีหน้าเยี่ยอิ๋งพลันเปลี่ยน นางถามขึ้นอย่างตื่น ตระหนก “ไท่เฟยหรือ ไท่เฟยท าอะไร”
เยี่ยหลีรู้สึกหนักอึ้งในใจ เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยอิ๋งก็ รู้ทันทีว่านางรู้เรื่องทั้งหมดที่เสียนเจาไท่เฟยท า “เหตุใต เจ้าจึงไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเหยาจี” เยี่ยอิ๋งกัดริมฝีปาก เล็กน้อย พูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องสลักส าคัญอะไร และก็ไม่ เกี่ยวข้องกับต าหนักติ้งอ๋องด้วย ข้าจะบอกนางไปเพื่อ
书呆子
อะไรเล่า อีกอย่าง… แม้ข้าไม่บอกนาง เจ้าก็รู้อยู่ดีมิใช่ หรือ”
“ข้ารู้แล้ว แต่เสียดายที่ช้าไปเสียแล้ว” เยี่ยหลี กล่าว
เยี่ยอิ๋งไม่ใส่ใจ พูดขึ้นว่า “หรือเจ้าอยากจะช่วยเขา เขาเป็นฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ เจ้าเป็นชายาเอกของต าหนักติ้ง อ๋อง ช่วยเขาไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไรต่อเจ้าหรือ” เยี่ย หลียิ้มเล็กน้อย พูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าถ้าม่อจิ่งหลีเป็น ฮ่องเต้แล้วเจ้าจะได้เป็นไทเฮาหรือ”
เยี่ยหลีหน้าซีด นางรู้ดีว่าหากไม่มีคนคอยสนับสนุน แม้ม่อจิ่งหลีได้เป็นฮ่องเต้ ตนก็อาจไม่ได้เป็นไทเฮา แต่ เดิมมีต าหนักติ้งอ๋องคอยหนุนหลัง แต่ตอนนี้ม่อจิ่งหลีก ลับตัดสินใจเปิดศึกกับต าหนักติ้งอ๋องแล้ว…
“เจ้าก็ลองไปบอกม่อจิ่งหลีว่าข้าอยู่ที่ไหนดูสิ ลองดู ว่าเขาจะอารมณ์ดีขึ้นหรือไม่ เผื่อเขาจะยกต าแหน่ง
书呆子
ไทเฮาให้เจ้า” เยี่ยหลีอมยิ้ม พูดพลางมองไปที่นางพร้อม รอยยิ้ม แต่ความเย็นชาในดวงตาดวงนั้นกลับท าให้เยี่ยอิ๋ง ใจเสีย นางกัดริมฝีปากพูดว่า “ข้าไม่หักหลังเจ้าหรอก… หักหลังเจ้าไปไม่มีผลดีอะไรกับข้า” ม่อจิ่งหลีเป็นคนใจ แคบ คิดเล็กคิดน้อย หากนางบอกข่าวของเยี่ยหลีไป เช่นนั้นก็ต้องถูกเปิดโปงเรื่องที่ตนช่วยต าหนักติ้งอ๋องสืบ ข่าวด้วย ถึงตอนนั้น แม้เยี่ยหลีจะต้องพบเจอกับปัญหา แต่สุดท้ายโชคร้ายจะตกอยู่กับตน มิหน าซ้ า… เยี่ยหลียัง กุมข่าวคราวของลูกตนไว้อยู่อีกด้วย
เยี่ยหลีมองนางอย่างสงบ พูดว่า “เจ้ายังคงไม่คิด จะให้บัญชีข้าใช่หรือไม่”
เยี่ยอิ๋งกัดฟันพูด “เจ้าช่วยข้าหาลูกมากลับมาให้ได้ เสียก่อน แล้วก็…”
书呆子
“แล้วก็?” เยี่ยหลีเลิกคิ้วอย่างสงสัย มองนางอย่าง สนใจ เยี่ยอิ๋งพูดว่า “หลังจากม่อจิ่งหลีครองบัลลังก์แล้ว เจ้าต้องช่วยข้าให้ขึ้นเป็นไทเฮา”
“เยี่ยอิ๋ง” เยี่ยหลีมองนางอย่างเวทนา พูดเสียงขรึม ว่า “แล้วเจ้าจะเสียใจ”
คนข้างนอกเดินน าหมอหลวงเข้ามาข้างใน แต่เด็ก น้อยคนนั้นยังคงไม่ปล่อยมือจากแขนเสื้อของเยี่ยหลี เยี่ย หลีโน้มน้าวอยู่นานกว่าเขาจะยอมปล่อยมือและให้หมอ หลวงดูอาการ เมื่อเห็นวิธีการตรวจแบบขอไปทีของหมอ หลวงที่ยิ่งเน้นย้ าถึงความเพิกเฉยต่อความผิดปกติของเขา เยี่ยหลีก็รู้สึกเอือมระอาหนักขึ้น นางลุกขึ้น เดินออกจาก ศาลาไป องครักษ์ที่ยืนรออยู่ข้างนอกเข้ามาประกบนาง ทันที เยี่ยหลีหันศีรษะไปด้านข้างแล้วพูดว่า “ไปบอก อุปราชเสียว่า อย่าท าเรื่องให้น่าเกลียดจนเกินไปนัก จะ ไม่มีผลดีต่อชื่อเสียงของท่านอ๋องเอง”
书呆子
องครักษ์สองสามนายชะงักไป แต่ก็ให้คนหนึ่งแยก จากไปทางห้องหนังสือของต าหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีเหลียว ไปมองเด็กน้อยที่ปล่อยให้หมอหลวงทรมานตนอย่าง เหม่อลอยอยู่ในศาลา แล้วจึงหันกลับไปพูดว่า “เราไปกัน เถิด”
“คุณชายขอรับ ฮ่องเต้… ” เว่ยลิ่นอดถามขึ้นไม่ได้ พวกเขาเองก็ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็นที่ไม่มีหัวใจ เมื่อเห็นเด็ก น้อยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่นั่งรอความตาย เว่ยลิ่นจึงรู้สึก สงสารขึ้นมาจับใจ
เยี่ยหลีส่ายศีรษะพูดว่า “เกรงว่าฮ่องเต้… คงเหลือ เวลาไม่มากแล้ว”
องครักษ์สองสามนายที่ติดตามเยี่ยหลีเบิกตา มองเยี่ยหลีอย่างตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าคุณชายที่ดูสุภาพ อ่อนโยนท่านนี้จะกล้าหาญเช่นนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาเป็นคน
书呆子
ที่ท่านอ๋องส่งมาสังเกตการณ์ แต่กลับกล้าพูดเช่นนี้ต่อ หน้าพวกเขา
เพียงแต่พวกเขายังไม่เข้าใจสิ่งหนึ่ง นั่นคือเมื่ออีก ฝ่ายไม่ถือสาที่จะพูดความลับต่อหน้าพวกเขาเช่นนี้ แสดง ให้เห็นว่าอีกฝ่ายมั่นใจแล้วว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้แพร่ง พรายความลับของเขาออกไป และในโลกนี้คนที่ไม่ สามารถแพร่งพรายความลับออกไปได้ ก็คือคนที่ตายแล้ว เท่านั้น
เมื่อจั๋วจิ้งและเว่ยลิ่นได้ยินสิ่งที่เยี่ยหลีพูด พวกเขา ก็สาดสายตาเย็นชาใส่องครักษ์สองสามนายอย่างรู้ใจกัน สายตาพิฆาตแล่นผ่านพร้อมความตายที่มาเยือนใน บัดดล
วันต่อมา มีข่าวจากต าหนักหลีอ๋องว่าขันทีและ นางในที่คอยรับใช้ม่อซู่อวิ๋นถูกโบยจนตาย เมื่อได้
书呆子
ยินจั๋วจิ้งรายงาน เยี่ยหลีพลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะ ท าธุระในมือของตนต่อไป