ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 41
เมื่อส่งตัวเยี่ยอิ๋งออกจากจวนไปแล้ว สิ่งที่นางสมควรทำก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงมิใคร่สนใจสายตาทุกคู่ที่ส่งมาทางนางอีก นางหมุนตัวกลับเรือนชิงอี้เซวียนไปอย่างอารมณ์ดี
เพียงก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ ฝีเท้าเยี่ยหลีก็ชะงักลงทันที ก่อนหันไปสั่งการว่า “ชิงหลวนอยู่คอยรับใช้ข้า ส่วนคนอื่นๆ ออกไปพักได้”
ถึงแม้ชิงซวงและคนอื่นๆ จะนึกสงสัย แต่พวกนางรู้ดีว่าเยี่ยหลีไม่ชอบให้มีคนรายล้อมมากนัก และอาจเป็นได้ว่ามีธุระที่อยากสั่งชิงหลวนเพียงลำพัง พวกนางจึงโค้งกายก่อนออกจากห้องไป
ชิงหลวนยืนสงบนิ่งอยู่ข้างประตูรอให้คุณหนูเอ่ยปากสั่งการ
เยี่ยหลีเดินไปหยุดที่ข้างหน้าต่าง สายตาสำรวจรอบห้องหนังสือก่อนไปหยุดอยู่ที่ห้องข้างห้องหนังสือที่มีผ้าม่านกั้นอยู่พร้อมพูดเสียงเบาว่า “ยังไม่ออกมาอีกหรือ”
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้นในห้องหนังสือ ในมือของชิงหลวนมีประกายของเหล็กแหลมเล็กๆ สองชิ้นปรากฏขึ้น สายตาที่ปกติดูสุภาพอ่อนโยนมายามนี้กลับฉายไอสังหารออกมาให้เห็น
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น เยี่ยหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ก่อนโยนของในมือขนาดประมาณไข่นกพิราบไปทางม่านโปร่งบางนั้น ควันขาวหนาตาพวยพุ่งขึ้น ไม่นานก็ปรากฏร่างร่างหนึ่งขึ้นหลังควันขาวที่พุ่งตัวมาทางเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว จนเมื่อร่างนั้นพุ่งมาเกือบถึงหน้าต่าง อยู่ดีๆ ก็กลับอ่อนยวบลงไปนอนพังพาบกับพื้นโดยมีเหล็กแหลมเรียวเล็กจ่ออยู่ที่แผ่นหลัง ตรงหน้าเขาไร้เงาเยี่ยหลีให้เห็น ไม่รู้ว่าเยี่ยหลีขยับไปยืนทางด้านหลังห่างไปเพียงเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อใด
“ไม่นึกเลยว่าคุณหนูเยี่ยจะฝีมือดีเช่นนี้ ข้าขอยอมแพ้” บุรุษผู้นั้นยิ้มขื่น ทิ้งร่างลงกับพื้นอย่างมิอาจฝืนได้อีก
สีหน้าเยี่ยหลียังคงเป็นปกติ “ยังห่างชั้นกับท่านอีกมาก เพียงแต่เมื่อข้าได้ประสบเหตุการณ์ดังเช่นเมื่อคืน ข้าจึงคิดว่าเตรียมพร้อมไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
ชายหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นเสมือนไม่ได้มีคนกำลังจ่ออาวุธอยู่ที่หลังของตน เขาแย้มยิ้มให้เยี่ยหลี “เจ้ารู้ว่าเมื่อคืนเป็นข้าหรือ คงมิใช่ว่า…พอเกิดเรื่องเมื่อคืนแล้วเจ้าถึงมีใจประหวัดคิดถึงข้าไม่รู้ลืมเข้ากระมัง” แม้แต่เยี่ยหลียังต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตรงหน้าหล่อเหลายิ่งนัก แตกต่างจากเฟิ่งจือเหยาที่รูปงามตามแบบฉบับทั่วไป สีหน้าเขาดื้อรั้นพร้อมจงใจหว่านเสน่ห์ใส่นาง หากเป็นหญิงสาวทั่วไปคงโกรธหรือเขินอายจนหน้าแดงแล้วปิดหน้าเดินหนีไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่เยี่ยหลีมิใช่หญิงสาวทั่วไปเหล่านั้น
“ข้าว่าสิ่งที่ท่านควรเป็นกังวลมิใช่ข้า แต่เป็น…ของที่อยู่ข้างหลังท่านมากกว่า เชื่อข้าสิ หากออกแรงกดลงไปอีกเพียงสามส่วน ถึงแม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ข้ารับรองได้ว่าท่านจะได้ใช้ชีวิตอยู่แต่บนเตียงไปชั่วชีวิต” เพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของเยี่ยหลี ปลายแหลมของเหล็กนั้นทิ่มเข้าหาตัวเขาเพิ่มอีกเล็กน้อย ความเจ็บแปลบจากปลายแหลมค่อยๆ แผ่จากแผ่นหลังไปทั่วตัว สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูสามตระกูลเยี่ยคงไม่คิดจะฆ่าคนปิดปากกระมัง”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ใบหน้าอันงดงามปรากฏรอยยิ้มที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น แต่กลับทำให้ชายหนุ่มที่พื้นรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง “การฆ่าคนปิดปากไม่ใช่เรื่องที่คุณหนูผู้ดีมีตระกูลสมควรทำ ดังนั้นข้าจึงคิดจะจับท่านส่งให้ผู้อื่น ได้ยินมาว่ามีคนกำลังต้องการตัวท่านอยู่ไม่น้อย ท่านว่าข้าส่งตัวท่านไปให้ติ้งอ๋องดี หรือส่งไปให้หลีอ๋องดีเล่า”
ชายหนุ่มผู้นั้นร้องขอชีวิตกับเยี่ยหลีด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว หากเขาตกไปอยู่ในมือของติ้งอ๋องคงถูกตัดแขนตัดขาเป็นแน่ และหากตกไปอยู่ในมือของหลีอ๋อง ดูจากที่ใครบางคนยังยืนข่มขู่เขาได้อย่างเป็นปกติแล้ว หลีอ๋องคงต้องให้เขาชดใช้ด้วยชีวิตเป็นแน่ “คุณหนูสาม ข้าก็แค่คนทำงานแลกเงินคนหนึ่ง อีกอย่าง ถือว่าข้าได้ช่วยเจ้าไว้เช่นกันมิใช่หรือ เจ้าจะมีเมตตาไว้ชีวิตข้าสักครั้งไม่ได้เชียวหรือ”
เยี่ยหลีหมุนตัวเดินไปนั่งสบายๆ บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านช่วยข้าหรือ มิใช่ว่าม่อจิ่งหลีเคยล่วงเกินท่านไว้ ท่านจึงคิดอยากเอาคืนหรอกหรือ”
ในเมื่อการร้องขอไม่เป็นผล ชายหนุ่มผู้นั้นจึงจำต้องหุบยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถือเสียว่าข้าติดหนี้บุญคุณคุณหนูสามครั้งหนึ่ง ได้หรือไม่”
เยี่ยหลีเท้าคางยิ้มอ่อน “เรื่องนี้…หนี้บุญคุณของคุณชายเฟิงเย่ว์แห่งหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ ต่อให้ท่านกล้าติดหนี้ แต่ข้าคงมิกล้าให้ท่านชดใช้หรอก” หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ หอนางโลมอันดับหนึ่งในใต้หล้า คุณชายเฟิงเย่ว์ นามหานหมิงเย่ว์ โจรเด็ดดอกไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องเด็ดดอกไม้เป็นว่าเล่น หากผูกมิตรกับเขาก็ถือเป็นการทำลายชื่อเสียงตนเองจนสิ้น
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จ้องเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เครื่องประดับหยกของข้าอยู่ที่เจ้าใช่หรือไม่” คนที่รู้ว่าคุณชายเฟิงเย่ว์กับนายใหญ่แห่งหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์เป็นคนคนเดียวกันนั้นมีน้อยจนนับคนได้ “ข้าไม่ยักรู้ว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยแห่งจวนเจ้ากรม ชายาเอกในอนาคตของติ้งอ๋องจะเก่งกาจเพียงนี้”
การที่นางสามารถนำหยกจากตัวเขาไปได้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หานหมิงเย่ว์นึกสงสัยยิ่งนักว่าที่ตัวเขาเข้าเมืองหลวงในคราวนี้มิได้ตรวจตราวันแดงวันดำให้ดีเสียก่อนหรือไร ในคราแรกเพียงนึกสนุกจึงรับงานลักพาตัวแม่นางคนหนึ่งให้หลีอ๋องเท่านั้น ไม่นึกว่าคุณหนูลูกผู้ดีที่ดูไร้พิษสงนี้จะกลายเป็นบุปผาพิษไปเสียได้
เดิมทีคิดเพียงจะหยอกล้อหลีอ๋องที่ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาผู้นั้นเล่นสักหน่อย เล่นไปเล่นมากลับพาตนเองเข้าไปอยู่ในนั้นด้วยเสียได้ เมื่อเขาออกจากป่าผืนนั้นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี ก็ถูกคนสะกดรอยตาม จากนั้นไม่ถึงสองชั่วยามคนที่สะกดรอยตามเขาจากหนึ่งคนก็เพิ่มเป็นสองคน พอฟ้าสว่างไม่เท่าไร คนของม่อจิ่งหลีก็สะกดรอยตามเขาด้วยอีกคนหนึ่ง
เยี่ยหลีเพียงยิ้มมิได้กล่าวอะไรพลางมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างใจเย็น
ในที่สุดหานหมิงเย่ว์ก็ยกมือยอมแพ้ “คุณหนูสามตระกูลเยี่ย ทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมปล่อยข้าไป”
“เมื่อข้าจำเป็น ให้ข้ายืมสายข่าวของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ใช้เสียหน่อยเป็นพอ” เยี่ยหลีเอ่ยข้อเสนอของตน
หานหมิงเย่ว์ตาเป็นประกายทันที “ข้าไม่เข้าใจที่คุณหนูเยี่ยกล่าว”
“หอนางโลม โรงสุรา เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารที่ใหญ่ที่สุด ข้าเดาว่า…เทียนอี้เก๋อกับท่านคงมีความสัมพันธ์กันไม่น้อย ใช่หรือไม่” เทียนอี้เก๋อ สำนักข่าวที่ลึกลับที่สุดที่อยู่ได้ด้วยการขายข่าว เพียงแต่กระทำกันอย่างลับๆ ทำให้คนที่ต้องการค้นหาสำนักข่าวนี้จำนวนไม่น้อยต้องยอมแพ้และล่าถอยไป
“คุณชายหานลุกขึ้นได้แล้ว หากข้ากะเวลาไม่ผิด ยาน่าจะหมดฤทธิ์แล้ว” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนชายหนุ่มที่ยังคงนอนอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ
หานหมิงเย่ว์ดูไม่เก้อเขินที่ถูกจับได้ ขยับกายลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าสบายๆ พร้อมปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากตัว ก่อนยกมือคารวะเยี่ยหลี “คุณหนูสามช่างหลักแหลมเสียจนทำให้ข้าประหลาดใจ” คุณหนูธรรมดาๆ ผู้หนึ่งถึงขนาดคาดเดาได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์กับเทียนอี้เก๋อ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง “เครื่องประดับหยกนั่นข้าขอยกให้คุณหนูสาม หากคุณหนูสามต้องการสิ่งใดขอให้คนถือหยกชิ้นนั้นมาหาข้า เชื่อว่าด้วยความสามารถของคุณหนูสามคงรู้ว่าจะหาข้าได้ที่ใด”
เยี่ยหลีพยักหน้ารับอย่างไม่เกรงใจ “เช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านมาก ข้าจะขอให้ติ้งอ๋องส่งของอย่างอื่นไปกำนัลหลีอ๋องเอง”
หานหมิงเย่ว์ยิ้มขื่นให้เยี่ยหลี “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะตระบัดสัตย์หรือ”
เยี่ยหลียังคงยิ้มน้อยๆ “นั่นก็นอกเสียจากว่าท่านอยากให้คนทั้งใต้หล้ารู้ว่าคุณชายเฟิงเย่ว์กับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์มีความสัมพันธ์กันเช่นไร ท่านค่อยๆ ไปเถิด ข้าไม่ส่ง”
“ข้าลา”
ชิงหลวนเก็บเหล็กแหลมกลับคืน มองหานหมิงเย่ว์ที่หายออกไปทางหน้าต่าง ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “คุณหนู ให้เขาไปง่ายๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ”
เยี่ยหลีลุกขึ้นยืนข้างหน้าต่าง สายตาจ้องไปยังตำแหน่งที่ร่างของหานหมิงเย่ว์หายไป “เจ้าคิดว่าเขาเป็นเจ้าของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์จริงๆ หรือ”
“มิใช่หรือเจ้าคะ”
เยี่ยหลีจับหยกในมือเล่น “ข้าเดาว่ามิใช่ แต่เชื่อว่าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหานหมิงเย่ว์ตัวจริงไม่น้อย หากจะมีเรื่องกับหานหมิงเย่ว์เพียงเพราะเขา คงไม่คุ้มค่า”
“คุณหนูสามตระกูลเยี่ยช่างหลักแหลมนัก” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมรอยยิ้มเกียจคร้านดังลอยมาจากด้านนอก
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มมองเฟิ่งจือเหยาที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ใต้ชายคาตั้งแต่เมื่อใด “คุณชายเฟิ่ง การมาโดยไม่เชิญมิใช่วิสัยของสุภาพบุรุษ”
เฟิ่งจือเหยาโบกพัดในมืออย่างผึ่งผาย เสมือนหนึ่งตนไม่ได้อยู่ในห้องของหญิงสาว แต่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงที่มีสายตาผู้คนจำนวนมากจับจ้องอยู่กระนั้น “ฝีมือและการวิเคราะห์ของคุณหนูสามทำให้ข้ายอมก้มหัวให้แต่โดยดี หานหมิงเย่ว์ไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบได้ง่ายๆ เลย”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าไม่เคยเอาเปรียบใคร เชื่อว่าคุณชายหานก็คงคิดเช่นเดียวกัน แต่ที่คุณชายเฟิ่งซานใช้วิชาตัวเบาลอบเข้าจวนเจ้ากรมโดยไม่ให้ผู้ใดรู้เช่นนี้ น่าจะมีฝีมือเทียบเท่ากับคุณชายเฟิงเย่ว์ได้กระมัง”
เส้นเลือดที่หน้าผากเฟิ่งจือเหยาเต้นตุบๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะให้ตนเองดูผึ่งผาย “ติ้งอ๋องเชิญให้คุณหนูสามไปร่วมงานสมรสของหลีอ๋องด้วยกัน”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ติ้งอ๋องจะไปร่วมงานหรือ” นางจำได้ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ม่อซิวเหยาก็ไม่ออกไปให้ธารกำนัลพบเห็นอีกเลย
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “ต่างกรรมต่างวาระ เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะไปหรอก ได้ยินว่าเพิ่งตัดสินใจเมื่อเช้านี้ คงไม่ทำให้คุณหนูสามผิดหวังกระมัง”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เข้าใจความหมายที่เฟิ่งจือเหยาสื่อมาทันที จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ลำบากคุณชายเฟิ่งซานมาส่งข่าวแล้ว”
“ข้าจะรอเจ้ามาตามเวลานัด”