ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 46-2
“ม่อซิวเหยา!” เมื่อเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลียังคงนิ่งเฉยต่อคำพูดของตน ม่อจิ่งหลีจึงขู่เสียงต่ำด้วยความโกรธ
“จิ่งหลี เจ้าสมควรเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบให้ดีเสียหน่อยนะ!” ม่อซิวเหยาจ้องหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลีนิ่ง
พลังอำนาจที่มองไม่เห็นกดทับตนทำให้ม่อจิ่งหลีทนไม่ได้ “ฮ่องเต้มีพระราชานุญาตให้เจ้าพูดกับตัวข้าเช่นนี้หรือ หือ”
เมื่อเทียบกันแล้ว สีหน้าบึ้งตึงของม่อจิ่งหลีกับสีหน้านิ่งสงบของม่อซิวเหยาที่ครึ่งหนึ่งอยู่ใต้หน้ากาก ม่อซิวเหยากลับดูเป็นมิตรกว่าไม่รู้กี่ส่วน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ม่อจิ่งหลีกลับโกรธตนเองที่รู้สึกกลัวชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งทำให้เขารู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย และยิ่งไม่กล้าเชื่อตนเองเอาเสียเลย
ความทรงจำสุดท้ายของเขากับม่อซิวเหยานั้นย้อนไปเมื่อแปดเก้าปีก่อน ในยามนั้นฐานะของพวกเขาคล้ายคลึงกันมาก พวกเขาเกิดในตระกูลสูงส่งที่สุดของต้าฉู่ พวกเขามีพี่ชายเช่นเดียวกัน พี่ชายของเขาคือฮ่องเต้ ส่วนพี่ชายของม่อซิวเหยาคือติ้งอ๋อง พวกเขาไม่จำเป็นต้องสืบทอดยศศักดิ์ ไม่มีภาระหน้าที่ใดๆ ต่อให้กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ก็ยังมีเสื้อผ้าไหมดีๆ ใส่ มีอาหารรสเลิศกินตลอดชีวิต ติดก็แต่ไม่ว่าเรื่องใดม่อซิวเหยามักเก่งกาจกว่าเขาเสมอ!
เขาจึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับม่อซิวเหยามาโดยตลอด ในขณะที่เขาอุตสาหะพากเพียรอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตายด้วยอยากให้เสด็จพ่อเอ่ยชื่นชมนั้น ม่อซิวเหยากลับได้รับสายตาชื่นชมยินดีจากทุกคนรวมถึงเสด็จพ่อของเขาด้วย หรือในขณะที่เขานึกลำพองใจในความเก่งกาจด้านบู๊ของตนอยู่เงียบๆ นั้น ม่อซิวเหยากลับกวาดล้างสนามรบได้สำเร็จ ช่วยเสริมความยิ่งใหญ่ของชื่อเสียงเทพแห่งสงครามผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ตำหนักติ้งอ๋อง
ครั้งที่พวกเขายังเยาว์ เขาชังน้ำหน้าม่อซิวเหยานัก แต่ไม่เคยนึกกลัวเขาเลย หากรู้สึกไม่ถูกชะตาก็ต่อยตีกันสักยกหนึ่ง ต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไร เพราะคงมีสักวันที่เขาสามารถเอาชนะได้ เพียงแต่…เขาไม่นึกเลยว่า แปดปีให้หลังที่เขาจัดให้ม่อซิวเหยาเป็นคนไร้สมรรถภาพนั้น เขา…จะนึกกลัวขึ้นมาได้!
อับอายขายหน้ายิ่งนัก!
“ท่านอ๋อง” เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองสีหน้าบูดบึ้งและโกรธเกลียดของม่อจิ่งหลี ไม่นึกสงสัยเลยว่าหากไม่ได้อยู่ที่นี่และมิใช่คนผู้นี้ ม่อจิ่งหลีคงได้เข้าไปฉีกทึ้งคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ เสียแล้ว “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใด เชิญพูดออกมาได้เลยเจ้าค่ะ ข้ากับซิวเหยาไม่มีเรื่องอันใดที่พูดให้กันฟังไม่ได้”
“ไม่มีเรื่องอันใดที่พูดให้กันฟังไม่ได้หรือ” ม่อจิ่งหลีอารมณ์เย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย้ยหยัน “เยี่ยหลี เจ้าแน่ใจหรือ”
เยี่ยหลีมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ม่อจิ่งหลีดูจะคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่านาง
“เช่นนั้นเรามาพูดเรื่องคืนก่อนวันแต่งงานของตัวข้ากับเรื่องที่เกิดในวันแต่งงานหน่อยเป็นไร”
เยี่ยหลีมองเขาด้วยความเห็นใจ บุรุษผู้นี้ช่างไม่รู้เลยว่าที่ตัวเขาต้องอับอายขายหน้าเพราะเป็นลมล้มไปในวันเสกสมรสนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยาด้วย “วันเสกสมรสหรือเพคะ ท่านอ๋องจะพูดถึงตอนที่ท่านเป็นลมจนดำเนินพิธีต่อไม่ได้หรือ มายามนี้…เยี่ยหลีคงได้แต่แสดงความเสียใจ” และเห็นใจอย่างสุดซึ้ง
“เยี่ยหลี!” ม่อจิ่งหลีมองหญิงสาวตรงหน้าที่ดูไม่รู้สึกผิดและเห็นใจตนอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ตัวข้าทำพิธีไม่เรียบร้อยแล้วไม่สมใจเจ้าหรือ”
เยี่ยหลีรู้สึกคับค้องใจขึ้นมาทันที “ท่านอ๋อง ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร ถึงแม้เยี่ยหลีกับน้องสี่จะไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง แต่ไม่ได้โกรธเกลียดกันจนถึงขั้นสาปแช่งให้นางทำพิธีแต่งงานไม่สำเร็จนะเพคะ ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ถือเป็นการใส่ร้ายเยี่ยหลี จะให้ข้า…ให้ข้ามีหน้าไปพบน้องสี่ได้อย่างไร”
คิดจะเสี้ยมให้ม่อซิวเหยากับนางผิดใจกันหรือ ลูกไม้ของม่อจิ่งหลียังไม่เด็ดพอหรอกนะ เยี่ยหลีแสร้งทำสีหน้าน่าสงสาร มองม่อจิ่งหลีด้วยความน้อยอกน้อยใจ แสดงบทบาทคุณหนูที่ถูกใส่ร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ม่อซิวเหยาที่เดิมทีคิดจะเปิดปากช่วยพูดแก้สถานการณ์ให้เยี่ยหลีกลับมองสตรีงดงามตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์ แม้แต่ตัวเขาเองยังอดนึกอยากปรบมือชื่นชมกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของนางเลย ดูท่าเขาคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยแนะนำอะไรเยี่ยหลีเสียแล้ว ตัวนางสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้ดีกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก
ในขณะที่ม่อซิวเหยาคิดในใจอยู่นั้น ม่อจิ่งหลีกำลังจะอ้าปากระเบิดอารมณ์ออกมาอีกครั้ง ม่อซิวเหยาถึงได้เปิดปากกล่าวว่า “อาหลีไม่จำเป็นต้องเสียใจเช่นนี้ ไม่ว่าคนอื่นจะว่าอย่างไร ตัวข้าเชื่อใจอาหลีเสมอ”
เยี่ยหลีหลุบตาลงต่ำ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “แค่ซิวเหยาเชื่อใจในตัวข้า ข้าก็ดีใจอย่างยิ่งแล้ว มิเช่นนั้น…ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
“เยี่ยหลี เจ้านี่ช่าง!” ม่อจิ่งหลีพูดทิ้งท้ายไว้เท่านี้ ก่อนสะบัดกายเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับลมหอบ
เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใคร่ใส่ใจพลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง คนอย่างม่อจิ่งหลีเพียงล่วงเกินเขาเข้าหน่อยเดียว เป็นได้จดจำเพื่อแก้แค้นจนตายทีเดียว นอกเสียจากจะยอมลงให้เขาด้วยการนำของขวัญไปขอขมาต่อหน้า ให้เขาได้พูดจาจิกกัดจนเป็นที่พอใจเท่านั้น หากเพียงยอมให้เฉยๆ เขาไม่มีทางพอใจ แต่เขาคนนี้กลับมีภูเขาลูกใหญ่โตอย่างฮ่องเต้และไทเฮาองค์ปัจจุบันหนุนหลังอยู่เสียนี่ “ดูเหมือนข้าจะสร้างศัตรูให้ท่านเสียแล้ว”
“ไม่หรอก เขากับข้าไม่เคยญาติดีกันมาก่อนอยู่แล้ว” ม่อซิวเหยาพูดเรียบๆ
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “พอเล่าให้ฟังได้หรือไม่เพคะ”
“สมัยเด็ก เขาเอาหนังสือการบ้านของข้าไปซ่อน ทำให้ข้าถูกเสด็จพ่อต่อว่า ข้าจึงทำให้เขาถูกฮ่องเต้องค์ก่อนโบย โตมาหน่อยเขาสงสัยว่าข้าไปเกี้ยวพาสตรีทีเขาชอบพออยู่ จึงให้คนมาวางยาในสุราของข้า สุดท้ายเป็นเขาที่ได้กินสุราจอกนั้นเสียเอง ในการประลองด้านบู๊ครั้งหนึ่ง ข้าไม่ทันระวังถีบเขาตกเวทีประลอง วันต่อมาข้าถูกคนฝีมือดีจากวังหลวงสิบกว่าคนดักตีหัว สิบวันให้หลังข้ากับเฟิ่งจือเหยาจึงจับตัวเขาไปแขวนไว้บนกิ่งไม้ในเมืองหลวง อืม…แล้วคนที่เขาชอบมาเห็นเข้าพอดี”
“ที่แท้ก็…แค้นฝังลึก” เยี่ยหลีไม่รู้จะพูดอะไร ถึงแม้จะเคยได้ยินมาบ้างว่าสมัยเป็นเด็กหนุ่มม่อซิวเหยาเก่งกาจและเจิดจรัสเพียงใด แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มที่ดูสงบนิ่งและสุภาพอย่างปัจจุบันแล้ว ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าม่อซิวเหยาก็มีช่วงเวลาที่ซุกซนและร้ายกาจเช่นเดียวกัน
“เฟิ่งจือเหยาบอกข้าว่า ในวันเสกสมรสนั้น เขาไปพบหลีอ๋องสลบอยู่หลังภูเขาจำลองในสวนดอกไม้ของตำหนักหลีอ๋อง” เมื่อคนขัดจังหวะไม่อยู่แล้ว ม่อซิวเหยาจึงอมยิ้มมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถาม
เยี่ยหลียิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “ดูเหมือนม่อจิ่งหลีจะล่วงเกินคนไว้ไม่น้อย” นางยืนยันได้เลยว่าในวันนั้นไม่มีผู้ใดเห็นว่านางลงมือกับม่อจิ่งหลี ถึงแม้จะเป็นเฟิ่งจือเหยาก็คงเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น สายตาม่อซิวเหยามีแววขบขัน เขาพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่…ถึงแม้จิ่งหลีจะเป็นคนไม่มีสมองเท่าไร แต่ท่านที่อยู่ในวังสองท่านกับเสียนเจาไท่เฟยมิใช่คนไร้สมอง ดังนั้น…”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างใคร่ครวญ “ข้าเข้าใจแล้ว” คนในวังสองท่านกับเสียนเจาไท่เฟยนั้นนับได้ว่าไต่เต้าขึ้นมาจากการจัดการสนมหลายสิบคนและโอรสอีกสิบกว่าคน แน่นอนว่าย่อมมิอาจเทียบได้กับท่านอ๋องอย่างม่อจิ่งหลีที่มีแต่คนปกป้องมาตลอด หากทำให้พวกเขาขัดหูขัดตาเกินไปย่อมไม่เป็นผลดี มีแต่ผลเสีย เยี่ยหลีก้มศีรษะนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนพูดว่า “ข้าเกรงก็แต่ว่า…จะถูกคนจับตามองแล้วน่ะสิ”
ม่อซิวเหยามองไปทางสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างใช้ความคิด ก่อนพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ว่าผู้ใด พวกเขาคงมิอาจวางใจได้ มิใช่เพราะพวกเขาคิดจัดการเจ้า เพียงแต่พวกเขาจับตามองเจ้าได้ง่ายกว่าเท่านั้นเอง ก่อนงานแต่งงานของพวกเรา คนในวังคงหาข้ออ้างเรียกให้เจ้าเข้าไปพบ ถึงเวลานั้น…นำสาวใช้ที่ชื่อชิงอวี้ไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
เห็นเยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยอธิบายเบาๆ ว่า “คุณชายใหญ่สวีเคยบอกข้าว่า สาวใช้คนนี้พอมีฝีมือทางการแพทย์อยู่บ้าง”
เยี่ยหลีจึงได้เข้าใจ ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วเบาๆ พลางพยักหน้า
ม่อซิวเหยาอมยิ้มขณะรินชาร้อนให้นาง “ปวดหัวเสียแล้วหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้าตอบตามจริง “ข้ารู้สึกว่าตนเองไม่คุ้นชินกับเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย” การคิดวางแผนจัดการกันไปมาเช่นนี้ ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน คนพวกเนี้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันบ้างหรือไร
“ขอโทษด้วย” ม่อซิวเหยามองนางนิ่ง
เยี่ยหลีโบกมือ ก่อนพูดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “ข้าเดาว่าต่อให้ฮ่องเต้ไม่ทรงจับข้าหมั้นหมายกับท่าน ก็คงทรงจับข้าให้หมั้นหมายกับผู้ที่เขาไม่ชอบหน้าอยู่ดี”
เบื้องหลังของตระกูลสวีไม่ธรรมดาเกินไป ไม่ว่าจะจับคู่นางกับผู้ใดฮ่องเต้ก็คงมิอาจวางใจทั้งสิ้น ดูอย่างคุณชายของตระกูลสวีแต่ละเป็นตัวอย่าง สวีชิงเฉินที่อายุปาเข้าไปยี่สิบสองปีแล้วยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่ได้หมั้นหมายกับผู้ใดเป็นตัวเป็นตน ฮ่องเต้ก็ไม่เคยคิดจะจับคู่เขาให้หมั้นหมายกับผู้ใด นางถึงกับนึกสงสัยว่าฮ่องเต้คงคิดอยากให้สวีชิงเฉินไม่ต้องแต่งงานเลยตลอดชีวิตนี้ หรือต่อให้ได้แต่งงานก็ขอให้ได้แต่งกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ไม่มีอำนาจใดๆ มีเพียงชื่อเสียงลอยๆ อย่างสวีชิงเจ๋อเป็นใช้ได้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ให้แต่งงานกับองค์หญิงสักองค์
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยหลีจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “ยามนี้ในวังมีองค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือนหรือไม่เพคะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “พระธิดาองค์สุดท้องในฮ่องเต้พระองค์ก่อน องค์หญิงหลินหลาง กับพระธิดาองค์โตในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน องค์หญิงฟางเฟย ปีนี้ชันษาสิบสองปีแล้ว ทำไมหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า หวังว่านางจะคิดมากไปเอง คงเป็นไปได้ยากที่สวีชิงเฉินจะได้แต่งงานกับเด็กสาวที่อายุเพียงสิบสองปี แต่ว่ายังมีสวีชิงปั๋วกับสวีชิงเหยียน…
เพียงเห็นสีหน้าของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็เดาได้ทันทีว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ จึงพยักหน้า “ปีนั้นฮ่องเต้หรือแม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนเคยตรัสว่าจะยกองค์หญิงให้สมรสกับสวีชิงเฉินจริง แต่ท่านชิงอวิ๋นปฏิเสธไป”
การที่ตระกูลสวีไม่แต่งงานกับราชนิกุลสาวนั้นถือเป็นตัวอย่างพิเศษของตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินต้าฉู่ เพราะหากแต่งไปแล้วนั่นก็เท่ากับว่าต่อแต่นี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับอำนาจและราชสำนักอีก จะได้ก็แต่เพียงขึ้นชื่อว่าเป็นราชบุตรเขยและได้ใส่เสื้อผ้าดีๆ มีอาหารรสเลิศกินเท่านั้น ซึ่งนับเป็นฝันร้ายของชายหนุ่มตระกูลใหญ่ที่มีอุดมการณ์และความทะเยอทะยานโดยแท้
ทว่าก็มีตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ยินดีให้บุตรชายสายหลักคนรองที่ไม่มีสิทธิ์ในการสืบทอดตระกูลแต่งงานกับองค์หญิง เพราะนั่นหมายความว่าสายเลือดของตระกูลจะหลอมรวมเข้ากับสายเลือดของราชวงศ์ และนั่นจะนำมาซึ่งความเมตตาของฮ่องเต้และความมีชื่อเสียงของตระกูล แต่ตระกูลสวีที่รุ่งเรืองมาถึงสองรัชสมัยและกินเวลาหลายนับร้อยปีนั้นปฏิเสธที่จะแต่งงานกับองค์หญิงมาแล้วอย่างน้อยห้าครั้ง นับแต่ร้อยปีก่อนที่ประมุขตระกูลสวีได้ตั้งกฎของตระกูลขึ้นว่าห้ามบุตรชายตระกูลสวีแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์เป็นอันขาด ต่อให้เป็นบุตรชายสายรองก็ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้น ราชนิกุลทั้งหลายจึงไม่หาเรื่องใส่ตัวด้วยการยกเรื่องจะให้องค์หญิงแต่งงานกับตระกูลสวีขึ้นมาอีก
“ในวังคงรู้เรื่องที่พวกท่านลุงใหญ่เข้าเมืองกันมาแล้วสินะเพคะ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ถึงแม้จะบอกว่าเป็นการเข้าเมืองส่วนตัว แต่ท่านหงอวี่ก็ไม่ได้ตั้งใจปิดการเดินทางครั้งนี้ไว้เป็นความลับ เรื่องเช่นนี้หากจะสืบกันจริงๆ ก็คงปิดไม่ได้ เจ้ากรมเยี่ยจงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หากปิดบังไป รังแต่จะทำให้เคลือบแคลงใจเปล่าๆ”
เยี่ยหลียิ้ม “ที่ท่านพูดมามีเหตุผลนัก กลับไปข้ายังต้องไปคารวะท่านลุงใหญ่ และมีหลายเรื่องที่อยากขอคำแนะนำจากท่านพอดี”
“ฝากความเป็นห่วงจากข้าไปให้ท่านหงอวี่ด้วย”