ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 48-1
ณ ตรอกอันห่างไกลแห่งหนึ่งในเมืองหลวง มีรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ คนขับรถม้าไม่รู้หายตัวไปอยู่ที่ใดแล้ว และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บริเวณโดยรอบถูกคนล้อมปิดไว้ บุรุษคนที่เป็นหัวหน้าอยู่ในชุดสีเทาดูไม่สะดุดตา ผมยาวรุ่ยลงมาปิดหน้าปิดตาไปแล้วครึ่งหนึ่ง ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งที่โผล่พ้นออกมาดูแข็งกร้าวและเ**้ยมโหด นัยน์ตาข้างนั้นส่งสายตาเกลียดชังออกมาได้อย่างชวนขนลุก ถึงแม้ยามนี้ดวงตะวันยังไม่ตกดีและยังคงมีแสงสาดส่องให้ความอบอุ่นลงมาบ้าง แต่แสงตะวันที่สาดส่องไปทางบุรุษผู้นั้นกลับชวนให้รู้สึกเหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก
“ออกมา!” เสียงดุดันของบุรุษผู้นั้นดังขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่ภายในรถม้ายังคงไร้ความเคลื่อนไหว บุรุษผู้นั้นดูจะอดทนรอไม่ไหว เขายิ้มเย็นก่อนพูดขึ้นว่า “หากยังไม่ออกมาอีกข้าจะยิงเกาทัณฑ์เข้าไปแล้วนะ ข้ารู้ว่าคนข้างในไม่ได้ตาย ไสหัวออกมาดีๆ เถิด”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง สาวใช้ท่าทางสะอาดสอ้านเลิกผ้าม่านขึ้นด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ก่อนไถลตัวลงจากรถม้า จากนั้นก็มีหญิงสาวหน้าตาดีประคองหญิงสาวหน้าตางดงาม แต่สีหน้าขาวซีดลงมาจากรถม้า บนไหล่ขวาของหญิงสาวผู้นั้นมีเกาทัณฑ์ดอกหนึ่งปักอยู่ ส่วนมือซ้ายของนางที่กุมไหล่ไว้นั้นเป็นสีแดงฉานไปหมด “พวกเจ้า…พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน”
บุรุษตาเดียวหัวเราะเสียงเย็น สายตาเ**้ยมเกรียมนั้นฉายแววโหดร้าย “นี่คือชายาของติ้งอ๋องในอนาคตหรือนี่ ชีวิตคนพิการอย่างเจ้าม่อซิวเหยานั่นไม่เลวเลยทีเดียว เหลือชีวิตอยู่เพียงครึ่งเดียวแล้วยังจะมีสตรีที่งดงามเช่นนี้ยอมแต่งงานกับมันอีก!”
ชิงหลวนออกมายืนขวางหน้าปกป้องคนทั้งสองทางด้านหลังเอาไว้ “เจ้ารู้ดีว่าพวกเรามีฐานะเช่นใดแล้วยังกล้าเสียมารยาทเช่นนี้อีกหรือ”
บุรุษตาเดียวยิ้มอย่างโหดเ**้ยม “ผู้อื่นกลัวม่อซิวเหยา แต่ข้าไม่กลัว จะว่าไป…ยามนี้ในเมืองหลวงยังมีผู้ใดกลัวเขาอีกหรือ”
เยี่ยหลีจ้องตอบบุรุษผู้นั้น “ท่านมีความแค้นกับติ้งอ๋อง หรือตระกูลสวี หรือตระกูลเยี่ยกันแน่”
บุรุษตาเดียวอึ้งไป ก่อนเปลี่ยนเป็นหัวเราะบ้าคลั่งอย่างรวดเร็ว “สตรีของม่อซิวเหยาหรือ น่าสนใจดีนี่! ข้าไม่มีทั้งความแค้นกับม่อซิวเหยา และไม่มีความแค้นกับตระกูลสวีและตระกูลเยี่ย เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เยี่ยหลีตอบ “เช่นนั้นก็คงได้รับผลประโยชน์จากผู้อื่น เพื่อมาหาเรื่องข้า เจ้ารับเงินมาเท่าไร ข้าให้เจ้าเพิ่มอีกเท่าหนึ่ง”
“เจ้า” บุรุษตาเดียวมองประเมินเยี่ยหลี ประหนึ่งกำลังพิจารณาความน่าเชื่อถือในถ้อยคำของนาง “ข้ารับเงินคนมาสองหมื่นตำลึงเพื่อเอาชีวิตเจ้า เจ้าจ่ายไหวหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เจ้าปล่อยพวกข้าไป แล้วข้าจะให้เจ้าสี่หมื่นตำลึง”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร” บุรุษตาเดียวหรี่ตาลงพร้อมมองจ้องเยี่ยหลี ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เงินจำนวนสี่หมื่นตำลึงก็สามารถทำให้ใจสั่นได้ทั้งสิ้น สายตาของคนที่รายล้อมอยู่ถึงกับเริ่มสั่นไหว แต่หากบุรุษตาเดียวยังไม่มีคำสั่ง พวกเขาก็มิกล้าจะกระทำการใดโดยพลการ
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ปล่อยสาวใช้ข้าให้ไปนำเงินมาให้เจ้าก็ได้ รับเงินแล้วค่อยปล่อยตัวไป ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เสียประโยชน์ อีกอย่าง…ข้าว่าเจ้าไม่ได้คิดจะฆ่าข้า ข้าเพียงขอให้เจ้าอย่าทำร้ายพวกข้า”
หางตาของบุรุษตาเดียวกระตุกขึ้น ก่อนจ้องหน้าเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าฆ่าเจ้าหรือ”
“หากเจ้าคิดจะฆ่าข้าจริง เมื่อสักครู่เจ้าแค่ยิงเกาทัณฑ์มั่วซั่วให้ถูกพวกข้าตายไปก็ได้แล้ว”
“ดี สตรีของม่อซิวเหยาแตกต่างจากสตรีทั่วไปจริงๆ! เจ้า! กลับไปเอาเงินมา หากบอกให้ผู้ใดล่วงรู้ หรือพอถึงเวลาและสถานที่นัดหมายแล้วไม่นำเงินมาให้ข้าละก็ เตรียมรับศพคุณหนูของพวกเจ้าได้เลย”
ชิงอวี้ที่ถูกชี้หน้ารีบส่ายหน้าโดยแรง “ข้าไม่ไป! ให้คุณหนูเป็นคนไปแล้วทิ้งพวกเราไว้”
บุรุษตาเดียวยิ้มเย็น “พวกเจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อว่าชีวิตของสาวใช้สองคนมีค่าพอสำหรับเงินจำนวนนั้นหรือ”
ชิงอวี้กัดฟันตอบว่า “คุณหนูของพวกเราบาดเจ็บ ข้าพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ให้ชิงหลวนเป็นคนไปเอาก็แล้วกัน”
“ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอันใด หากเจ้าไปเร็วมาเร็วยังกลับมาช่วยรักษาบาดแผลให้คุณหนูของเจ้าได้ รีบไสหัวไปเสีย!”
“ชิงอวี้ เจ้ารีบไปก่อน” เยี่ยหลีเอ่ยสั่งเสียงเบา
ชิงอวี้กัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้าหนักๆ “ชิงหลวน ดูแลคุณหนูให้ดีด้วย”
ชิงหลวนพยักหน้า หมุนตัวไปประคองเยี่ยหลีแทนชิงอวี้ บุรุษตาเดียวมองชิงอวี้ที่วิ่งโซซัดโซเซออกไปแล้วก็ชี้ไปยังชายสองคนข้างกายตน “ตามสาวใช้นั่นไป แล้วเอาเงินกลับมา ส่วนพวกเจ้า…จะเดินไปเองดีๆ หรือจะให้ใครมาเชิญพวกเจ้าไป”
“พวกข้าเดินไปเอง”
พวกนางถูกลักพาตัวเสียแล้ว เยี่ยหลีมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี แน่นอนว่า ที่โจรกลุ่มนี้สามารถลักพาตัวชายาติ้งอ๋องในอนาคตจากเมืองหลวงที่อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์เช่นนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง แล้วกลุ่มคนขนาดนี้ยังสามารถเดินทางด้วยความรวดเร็วออกนอกเมืองหลวงมายังภูเขาสูงที่มีหุบเหวลึกซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นร้อยลี้เช่นนี้ได้อีก แน่แล้วว่าพวกนางถูกโจรป่าลักพาตัวมา เพราะที่นี่คือรังโจรป่า
อาจเป็นเพราะเยี่ยหลีมีค่าตัวถึงสี่หมื่นตำลึง ทำให้พวกนางไม่ถูกจับโยนลงคุกใต้ดินที่อยู่ในป่าลึก แต่ถูกจับมาขังไว้ในห้องเล็กๆ ที่ซอมซ่อห้องหนึ่ง จนเมื่อประตูถูกลงกลอนเรียบร้อยแล้ว ชิงหลวนจึงรีบเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก ก่อนเดินเข้ามาหาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนู พวกเราออกจากเมืองหลวงมาไกลเพียงนี้ ชิงอวี้จะหาพวกเราเจอหรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยลงลดมือที่กุมหัวไหล่ขวาลง พร้อมใช้มือดึงเกาทัณฑ์ดอกนั้นออกมา เกาทัณฑ์ดอกนั้นเสียบเข้าระหว่างอกขวากับซอกรักแร้ ซึ่งไม่ได้ทำให้เยี่ยหลีบาดเจ็บแม้แต่น้อย สีแดงที่ไหลอาบเสื้อผ้านั้นเป็นเพียงผงสีชาดกับยาจากขวดที่ชิงอวี้พกติดตัวไว้เท่านั้น “พวกมันไม่ได้คิดจะให้ชิงอวี้กลับมาอยู่แล้ว เพียงเสียดายเงินสี่หมื่นตำลึงนั่นเท่านั้น”
ชิงหลวนอึ้งไป “คุณหนูจะบอกว่า…พอพวกมันได้เงินแล้วก็จะฆ่าปิดปากเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนอมยิ้มปลอบใจชิงหลวน “เจ้าวางใจเถิด สองคนนั่นมิใช่คู่ปรับของชิงอวี้ นางไม่เป็นอันใดหรอก”
สีหน้าของชิงหลวนยังคงเป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าเดิม เหลือบมองคุณหนูของตนอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร นางเป็นห่วงชิงอวี้ที่ไหนกัน ที่นางเป็นกังวลคือพวกนางจะพ้นจากภัยร้ายครานี้ไปได้เช่นไรต่างหาก นายท่านกับคุณชายใหญ่ฝากความปลอดภัยของคุณหนูไว้ที่พวกนาง ยามนี้คุณหนูถูกพวกโจรจับตัวไว้ พวกนางกลับช่วยเหลือไม่ได้ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!
“พวกมันมีกันมากเกินไป มิใช่ความผิดของพวกเจ้าหรอก” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ “ช่วยข้าพันแผลเถิด”
ชิงหลวนพยักหน้า ก้มหน้าลงฉีกแขนเสื้อตัวในที่สะอาดออกมา “พันแผล” ให้เยี่ยหลี พร้อมถามว่า “คุณหนูรู้หรือไม่ว่าผู้ใดที่คิดร้ายต่อพวกเราเจ้าคะ จะใช่ฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ช่วงนี้เงินของนางตึงมืออยู่แล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะควักเงินสองหมื่นตำลึงเพื่อให้คนมาลักพาตัวข้า แล้วยังจับได้ง่ายเกินไปด้วย” ที่สำคัญที่สุดคืออีกฝ่ายไม่ได้คิดอยากเอาชีวิตนาง เช่นนั้นหากอีกฝ่ายไม่กลัวนางแก้แค้น ก็คืออีกฝ่ายเป็นคนที่นางคาดไม่ถึง จึงมิอาจแก้แค้นได้ ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นหวังซื่อ
ชิงหลวนขมวดคิ้ว “แต่ว่าคุณหนูไม่เคยล่วงเกินผู้ใดนี่เจ้าคะ”
เยี่ยหลีนิ่งคิดเงียบๆ ลักพาตัวนางมา แต่ไม่คิดเอาชีวิตนาง เช่นนั้น…หากข่าวที่นางโดนโจรจับตัวไปแพร่ออกไป ชื่อเสียงของนางคงย่อยยับไม่มีชิ้นดี “งานแต่งงาน”
“อะไรนะเจ้าคะ”
“มีคนอยากให้งานแต่งงานระหว่างข้ากับติ้งอ๋องไม่ราบรื่น” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ
“หลีอ๋อง!” ชิงหลวนเอ่ยด้วยความแค้นเคือง
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เป็นไปได้ แต่ก็ไม่แน่นัก” ต่อให้ม่อจิ่งหลีโง่เขลาสักเพียงใดก็น่าจะรู้ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับนาง คนแรกที่ม่อซิวเหยาจะไปหาก็คือเขา
“เช่นนั้น…ยามนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ หรือให้ชิงหลวนเปิดประตู แล้วคุณหนูอาศัยจังหวะนี้หนีไป”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ที่นี่ห่างจากเมืองหลวงอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งร้อยลี้ หากเป็นอย่างที่นางคาดเดาจริงว่าที่ทำเช่นนี้เพราะเรื่องงานแต่งงานระหว่างนางกับติ้งอ๋อง เกรงว่าเพียงนางก้าวพ้นจากเมืองหลวง ข่าวที่นางโดนลักพาตัวไปคงแพร่กระจายไปทั่วแล้ว หากมีเพียงนางคนเดียวที่ต้องหนีไปจากรังโจรนี้คงไม่ยากนัก แต่ต่อให้นางกลับไปยามนี้ก็เกรงว่าคงไม่ได้ช่วยอันใด เช่นนั้นไม่สู้อยู่ที่นี่ อาจมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็เป็นได้ “พักก่อนแล้วกัน สายอีกหน่อยค่อยว่ากัน”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ณ ตำหนักติ้งอ๋อง
“ท่านอ๋อง!” พ่อบ้านของตำหนักติ้งอ๋องเข้ามาด้วยความรีบร้อน เมื่อได้พบหน้าม่อซิวเหยายังไม่ทันคารวะก็รีบพูดว่า “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยารีบเงยหน้าขึ้น “เกิดเรื่องอันใด”
“เมื่อสักครู่มีบ่าวมารายงานว่า อยู่ดีๆ ข้างนอกก็มีข่าวว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยถูกโจรเด็ดดอกไม้จับตัวไปพ่ะย่ะค่ะ…” สายตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นกะทันหันทำให้พ่อบ้านถึงกับหยุดถ้อยคำของตนลง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุก ก่อนมองชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้รถเข็นด้วยความกล้าๆ กลัวๆ “ท่านอ๋อง…”
ม่อซิวเหยาหลับตาลง ก่อนลืมขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “เกิดอันใดขึ้น”
“บ่าวเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ พวกบ่าวออกไปจัดการเรื่องซื้อของที่ต้องใช้ในงานมงคลของท่านอ๋อง ก็ได้ยินข้างนอกลือกันเช่นนี้ไปทั่วแล้ว พวกนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีจึงรีบกลับตำหนักมารายงานบ่าวพ่ะย่ะค่ะ บ่าวมิกล้าให้เสียเวลามากไปกว่านี้ จึงได้…”
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นตัดบทเขา “ส่งคนไปดูที่จวนเจ้ากรมประเดี๋ยวนี้ว่าอาหลีกลับมาแล้วหรือไม่ แล้วให้อีกกลุ่มหนึ่งไปสืบหาร่องรอยหลังอาหลีออกจากวัง รวมทั้งสถานการณ์ภายในวังด้วย!”
“พ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!” พ่อบ้านมิกล้ารั้งรอแม้สักนิด รีบหมุนกายเดินออกจากประตูแล้ววิ่งหายไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว
“อาจิ่น ส่งข่าวให้เฟิ่งซานรู้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม ข้าไม่อยากได้ยินข่าวลือเช่นนี้ในเมืองหลวงอีก” ภายในห้องหนังสือที่เงียบสงบ ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ แต่น้ำเสียงที่เจือแววอาฆาตนั้นกลับทำให้คนฟังขนลุกโดยไม่รู้ตัว
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋อง” พ่อบ้านที่เพิ่งหายออกไปกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งที่หน้าประตู
“มีอะไร”
“คุณชายใหญ่สวีเพิ่งให้คนส่งจดหมายมา ขอเชิญท่านอ๋องรีบไปยังเรือนหลังเล็กของตระกูลสวีพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง “ข้ารู้แล้ว”