ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 49-2
เรือนหลังเล็กในจวนสวี กว่าจะให้ท่านลุงทั้งสองกับลูกพี่ลูกน้องทั้งห้าออกไปได้นั้นไม่ง่ายเลย ด้านหนึ่งเยี่ยหลีรู้สึกว่าการรับมือกับคนหลายคนเช่นนี้ช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน ทว่าในขณะเดียวกัน ในใจนางก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความยินดีที่มีญาติพี่น้องคอยเป็นห่วงเป็นใย
ม่อซิวเหยานั่งมองหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่ตรงข้ามตนนิ่ง เขาเพิ่งรู้สึกว่าเขาไม่รู้จักคู่หมั้นของเขาคนนี้เอาเสียเลย อันที่จริงคู่หมั้นของเขาปีนี้อายุยังไม่ถึงสิบหกปีดีด้วยซ้ำ แต่กลับมีความแน่วแน่ เด็ดขาด และสุขุมอย่างน่าตกใจ ตัวเขาเมื่ออายุสิบห้ากำลังทำอันใดอยู่นะ น้อยครั้งนักที่ม่อซิวเหยาจะหวนนึกถึงกาลก่อน ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทางยิ้มเรื่อยๆ ของหญิงสาวตรงหน้าแล้ว กลับทำให้เขารู้สึกว่าการคิดถึงอดีตมิใช่เรื่องน่าเจ็บปวดอีกต่อไป
เขาเมื่ออายุสิบห้าสิบหกปี เป็นช่วงที่อารมณ์พลุ่งพล่านและเต็มไปด้วยความคึกคะนองในวัยหนุ่ม ได้แต่เที่ยวห้ออาชาไปทั่วเมืองหลวง หยิบโหย่งและมัวเมาในกามรส ทั่วทั้งใต้หล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าสมัยนั้นคุณชายเล็กแห่งตำหนักติ้งอ๋องมากความสามารถและเจิดจรัสเพียงใด ทั่วทั้งใต้หล้ามีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแม่ทัพเล็กแห่งตำหนักติ้งอ๋องกวาดล้างแผ่นดินทางใต้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อยประหนึ่งเทพก็มิปาน ต่อให้อยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต เขายังคงองอาจและบ้าระห่ำ
ทว่าหญิงสาวนางนี้ อายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่สตรีน้อยคนนักจะได้ประสบในช่วงชีวิตหนึ่ง มารดาวายชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย ถูกถอนหมั้น ถูกมารดาเลี้ยงวางแผนใส่ร้าย ชื่อเสียงเสียหาย ถูกบังคับให้ออกเรือนกับผู้ที่ทุกคนล้วนเกรงกลัว ถูกลอบทำร้าย ถูกลักพาตัว แต่ดูคล้ายจะไม่เคยเห็นนางตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย อย่างเหตุการณ์ที่นางเจอในวันนี้ เมื่อผ่านพ้นมาได้แล้วนางกลับไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญหรือแสดงความโกรธเคืองแต่อย่างใด กลับยิ้มให้เขาน้อยๆ พร้อมเอ่ยขอโทษ และพูดว่าทำให้ท่านเป็นกังวลแล้วเท่านั้น หากเปลี่ยนเป็นเขาในอายุเท่านี้ไม่มีทางที่จะยังเย็นอยู่ได้เช่นนี้เป็นแน่ ม่อซิวเหยาได้แต่นึกถอนใจเงียบๆ
“อาหลี เรื่องวันนี้ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย” ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อซิวเหยาจึงได้เอ่ยเสียงเบา
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มให้ “เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าท่านจะควบคุมได้ และข้าเองก็สะเพร่าเกินไป เพียงแต่…วันพรุ่งในเมืองหลวงคงจะ…เกรงว่าจะพลอยทำให้ชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องต้องเสื่อมเสียไปด้วย”
ม่อซิวเหยามองนางด้วยสายตานิ่งลึกยากจะคาดเดา “เรื่องตำหนักติ้งอ๋อง ข้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ขอเพียงเจ้าไม่เสียใจทีหลังเท่านั้น”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เข้าใจทันทีว่าเขาหมายความเช่นไร เรื่องในตำหนักติ้งอ๋อง เขาว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ดังนั้นไม่ว่าชื่อเสียงของนางจะเปลี่ยนไปเช่นไรก็จะไม่กระทบต่อการแต่งงานของพวกเขา หมายความเช่นนี้ใช่หรือไม่ นางเอียงคอคิดเล็กน้อย ก่อนยิ้มให้อย่างไม่รู้จะทำเช่นไรว่า “ข้าว่าหากข้านึกเสียใจภายหลัง…ชาตินี้คงไม่ได้แต่งงานอีกแล้ว เช่นนั้นสู้…ลองสักตั้งไม่ดีกว่าหรือ”
มุมปากของม่อซิวเหยาค่อยๆ ยกขึ้นในองศาที่พบเห็นได้น้อยนัก “เช่นนั้นย่อมดีที่สุด ข้าก็รู้สึกว่าหากเจ้านึกเสียใจทีหลังแล้วละก็ ชั่วชีวิตข้านี้คงยากที่จะหาชายาที่เหมาะสมได้อีกเช่นกัน”
เยี่ยหลีมองพลางยิ้มให้เขา “ในเมื่อท่านอ๋องไม่รังเกียจ เช่นนั้นพวกเราก็มาร่วมมือกันเถิด”
เมื่อได้มองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างหันมายิ้มให้ตนพลางบอกว่าพวกเรามาร่วมมือกันเถิดแล้ว จิตใจม่อซิวเหยาหวั่นไหวขึ้นโดยพลัน ภายใต้แสงเทียน ใบหน้าของหญิงสาวที่ขาดสีเลือดไปเล็กน้อย เมื่อต้องแสงเทียนแล้วกลับทำให้ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก ม่อซิวเหยาดึงตนเองออกจากความรู้สึกเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว ก่อนยกมือขึ้นจับหน้าผาก “ภายในสองวันนี้หานหมิงเย่ว์คงนำของมาส่งให้เจ้าเป็นแน่ เจ้ารับไว้โดยไม่ต้องสนใจเขาก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความตกใจ “เขาจะยกรายได้หนึ่งในสิบของเทียนอี้เก๋อให้ข้าจริงหรือ” เทียนอี้เก๋อเป็นสำนักข่าวที่ใหญ่ที่สุดในต้าฉู่ รายได้จากการขายข่าวแต่ละปี ต่อให้เป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วนก็คงมากอย่างน่าตกใจเป็นแน่
ม่อซิวเหยาพยักหน้า มองเยี่ยหลีที่คล้ายอยากพูดต่อ แต่หยุดไว้
เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องวันนี้คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เพราะถือว่าท่านตอบรับข้อเสนอของหานหมิงเย่ว์ไปแล้ว ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในอำนาจที่แท้จริงของเทียนอี้เก๋อกับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ แต่ข้าก็ไม่นึกอยากเป็นศัตรูกับเขาสักเท่าไร เพียงแต่แค่ครั้งนี้เท่านั้น หากอีกหน่อยคนผู้นั้นเกิดทำอันใดขึ้นมาอีกแล้วเขามาตกอยู่ในมือข้าอีกครั้ง ข้าจะไม่รับการขอร้องอีก”
“แน่นอน” หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีอย่างจริงจังก่อนรับปาก “ในเมื่ออาหลีไม่นึกเสียใจภายหลัง อีกหน่อยเจ้ากับข้าก็ถือว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าผู้ใดคิดทำร้ายอาหลี ถือเป็นศัตรูกับข้าด้วย”
เยี่ยหลีพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ ไม่พูดจา ดวงจันทร์เสี้ยวนอกหน้าต่างค่อยๆ เคลื่อนคล้อยลงมาตามแนวหลังคา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองจันทร์ข้างแรมที่อยู่บนฟากฟ้า ใบหน้างดงามถูกแสงจันทร์อ่อนๆ อาบไล้ ชายหนุ่มบนเก้าอี้รถเข็นที่นั่งอยู่ด้านหลังนางจ้องมองเรือนร่างแบบบางอย่างใจลอย สายตาอบอุ่นปกคลุมไปด้วยแสงบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
ณ จุดรวมพลลับของเทียนอี้เก๋อในสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวง หานหมิงเย่ว์ในสภาพยับเยินล้มเข้าไปในห้องจนทำให้ผู้ที่อยู่ในห้องถึงกับตกใจ
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป” คุณชายเฟิงเย่ว์ที่ทำให้บิดามารดาของคนนับไม่ถ้วนแค้นใจจนนึกอย่างถลกหนังและทำให้คุณหนูลูกผู้ดีมีตระกูลหลงใหลมานักต่อนักนั้นตกใจอย่างยิ่ง รีบพุ่งตัวไปรับร่างที่ซวนเซของพี่ชายตนไว้
หานหมิงเย่ว์โบกมือไปมา ปล่อยให้น้องชายประคองไปนั่งบนฟูกที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ยิ้มขื่นแล้วกล่าวว่า “ไปกระตุกหนวดเสือเข้าเสียแล้ว” ถึงแม้เขาจะเคยชินกับการเตรียมพร้อมรับมือไว้ทุกด้าน ทว่าการกระโดดลงมาจากหน้าผานั้น ไม่ว่าจะระวังให้ดีอย่างไรก็ยังถูกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาทิ่มแทงจนเกิดแผลทั้งภายในและภายนอกทั่วตัว เขาไม่นึกขุ่นเคืองใจใดในเรื่องนี้ เพราะทุกคนต่างรู้จักกันและกันดี ม่อซิวเหยาเองก็ถือว่ายั้งมือไม่น้อย มิเช่นนั้นเหตุใดเกาทัณฑ์จากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจึงยิงไม่ถูกคนที่ไร้กำลังภายในเลยเล่า
“เอ๋ พี่ใหญ่ ท่านพบคุณหนูสามตระกูลเยี่ยแล้วหรือ” หานหมิงซีจับชีพจรของหานหมิงเย่ว์ก่อนถามด้วยความตกใจ
หานหมิงเย่ว์ฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง หรี่ตามองน้องชายของตน “เจ้ารู้ได้อย่างไร ที่เจ้าไปทำให้ม่อซิวเหยาโกรธคราวนี้ อย่าบอกนะว่าเพราะเรื่องคุณหนูเยี่ยคนนี้เช่นกัน”
หานหมิงซีลูบจมูกอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฝืนยิ้มกว้าง “พี่ใหญ่…คือว่า คราวที่แล้วที่ข้าเสียท่าให้เยี่ยหลี ก็เพราะยาตัวนี้ แล้วก็…ข้าติดหนี้บุญคุณนางครั้งหนึ่ง พี่ใหญ่อย่าไปหาเรื่องนางอีกได้หรือไม่”
หานหมิงเย่ว์หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าจะเอาเทียนอี้เก๋อไปทดแทนบุญคุณหรือ”
หานหมิงซีซบหน้ากับฝ่ามืออย่างละอาย “คือว่า…นางฉลาดมาก ข้าไม่ได้พูดอันใดเลย แต่นางกลับเดาได้ว่าเทียนอี้เก๋อมีความสัมพันธ์กับหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ นางยังเอาเครื่องประดับหยกของข้าไปด้วย ข้าเลยไม่มีทางเลือก”
“นั่นเป็นเครื่องประดับหยกของข้า! เอามา เก็บไว้กับเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะไปสร้างเรื่องใดขึ้นมาอีก” หานหมิงเย่ว์ยื่นมือออกมา
หานหมิงซีไม่กล้าบิดพลิ้ว จึงจำใจยอมคืนเครื่องประดับหยกชิ้นนั้นไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้สนใจหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์หรือเทียนอี้เก๋ออยู่แล้ว ที่เขาเอาเครื่องประดับหยกของพี่ชายติดตัวไปก็เพียงนึกสนุกเท่านั้น “พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บมากหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะไปเชิญหมอให้”
ครั้นเห็นสีหน้าของน้องชายที่เอาแต่เล่นสนุกไปวันๆ ดูเต็มไปด้วยความกังวลเช่นนั้น สีหน้าของหานหมิงเย่ว์จึงอ่อนลง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “มิใช่เรื่องใหญ่ เพียงเดินกำลังภายในไม่ได้ ไม่ต้องไปเชิญหมอมาหรอก มีแขกมาหรือไม่”
สีหน้าหานหมิงซีขรึมลงทันที ก่อนส่งเสียเหอะออกมาคราหนึ่ง “มีหญิงสาวคนหนึ่งมาหาท่านเมื่อบ่าย ข้าไล่นางไปแล้ว”
“หมิงซี…”
หานหมิงซีเดินไปเดินมาในห้องด้วยความร้อนใจ “พี่ใหญ่ พวกเรากลับชายแดนใต้แล้วไม่ต้องยุ่งกับเรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ คราวที่แล้วข้าเพียงล้อเล่นกับเยี่ยหลีนิดเดียว ม่อซิวเหยาเกือบตัดแขนตัดขาข้าทิ้งเสียแล้ว ต่อให้ท่านเป็นเจ้าของเทียนอี้เก๋อก็จริง แต่ท่านอย่าลืมว่าเขาเป็นถึงติ้งอ๋อง ท่านไม่เสียดายชีวิตตนเองไม่พอ ยังอยากจะเสียเทียนอี้เก๋อไปด้วยหรือ”
หานหมิงเย่ว์ขยับริบฝีปากเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง ทว่ายังไม่ทันได้พูดออกมาก็ถูกหานหมิงซีขัดขึ้นเสียก่อน “อย่ามาพูดว่าพวกพี่เป็นสหายกัน สหายบ้าอะไร! ต่อให้เป็นสหายกันจริงก็ไม่สมควรแตะต้องสตรีของสหาย ท่านคิดว่าข้าเป็นบุรุษชอบเด็ดดอกไม้แล้วจะไม่มีขีดจำกัดหรือ อีกอย่างท่านอย่าลืมว่าแต่ก่อนพวกท่านเคยทำอะไรไว้กับเขา! เหตุใดท่านถึงยังกล้าไปยั่วโมโหเขาอีก”
“หมิงซี…เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” หานหมิงเย่ว์มองน้องชายที่เดินไปมาในห้องอย่างร้อนใจ ไม่เหลือคราบชายหนุ่มขี้เล่นที่ไม่สนใจสิ่งใดอยู่เลย
หานหมิงซีหน้าแดง ส่งเสียงเหอะแล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไป “ข้าจะไปเรียกสตรีคนนั้นเข้ามา!” เมื่อเห็นร่างของน้องชายหายไปหลังประตูแล้ว หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้วยกมือขึ้นจับหน้าอกของตนที่ยังรู้สึกเจ็บ ไม่รู้เพราะเหตุใดถ้อยคำของหานหมิงซีเมื่อครู่ที่บอกว่าอย่าลืมว่าแต่ก่อนพวกพี่เคยทำอะไรเขาไว้สะท้อนไปมาอยู่ในหัว สายตาของหานหมิงเย่ว์มืดครึ้มไปเล็กน้อย ในใจได้แต่ถอนหายใจแผ่วเบา “ของที่จะส่งไปวันพรุ่ง…เพิ่มเข้าไปอีกส่วนหนึ่งก็แล้วกัน”