ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 51-3
ภายในห้องเงียบไปในชั่วอึดใจ เยี่ยหลียกกาน้ำชาขึ้นรินชาเพิ่มให้สวีหงอวี่เงียบๆ ได้ยินสวีหงอวี่เอ่ยถามขึ้น
“ใช่สิ แค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าหกปี ตระกูลติ้งอ๋องมีแต่คนเสียชีวิต จากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแม่ทัพผู้เก่งกาจกลับล่มสลายกลายเป็นคนธรรมดา ชื่อเสียงตำหนักติ้งอ๋องผู้ไม่เคยแพ้ก็ถูกทำลายลงด้วยเหตุนี้ หลีเอ๋อร์รู้หรือไม่ สมัยนั้น…ที่ม่อซิวเหยาได้รับการกล่าวขานว่าเก่งกาจอย่างน่าอัศจรรย์ไม่แพ้บรรพบุรุษนั้น ท่านตาของเจ้าเป็นผู้ตั้งให้ เพราะเหตุนี้ ทำให้ท่านตาของเจ้าทั้งเจ็บแค้นและเสียใจมาสิบกว่าปีแล้ว”
“ความหมายของท่านลุงใหญ่คืออันใดหรือเจ้าคะ”
เยี่ยหลีอึ้งไป การแก่งแย่งชิงอำนาจทางการเมืองมีมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ถึงแม้ผู้คนจะคาดเดากันไม่หยุดหย่อนถึงสาเหตุที่ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องต้องล่มสลายลง แต่เมื่อได้ยินจากปากของท่านลุงเช่นนี้ ก็ทำให้เยี่ยหลีอดที่จะตกใจไม่ได้
ภายใต้ความตกใจนั้น เยี่ยหลีรีบทำจิตใจให้สงบลงโดยเร็ว ก่อนพูดว่า “ได้ยินว่าสมัยติ้งอ๋องยังหนุ่ม ฉายแววโดดเด่นและเก่งกาจด้านการรบเป็นอย่างมาก เช่นนั้นต่อให้ท่านตาไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมา คนที่ตั้งใจจะทำร้ายติ้งอ๋องก็คงจะทำร้ายเขาอยู่ดี ท่านตาเพียงชื่นชมความสามารถของเขาเท่านั้น มิอาจคาดเดาอนาคตได้ ดังนั้นเรื่องนี้…ท่านตาไม่จำเป็นจะต้องโทษตนเองเลยนะเจ้าคะ”
สวีหงอวี่พยักหน้าด้วยความชื่นชม “หลีเอ๋อร์อายุเพียงเท่านี้แต่สามารถคิดได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวทีเดียว ที่ลุงพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็หวังให้เจ้าเข้าใจถึงสถานการณ์ของตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ตอนนี้ในสายตาคนภายนอก ตำหนักติ้งอ๋องจะถดถอยลงจนเหลือเพียงชื่อแล้วก็ตาม แต่ทว่า…”
เยี่ยหลีมองสวีหงอวี่ ก่อนพูดต่อให้ว่า “แต่ทว่าตำหนักติ้งอ๋องยังคงมีไพ่ตายในมือที่ทำให้ราชสำนักไม่กล้าทำอันใดผลีผลามใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ถูกแล้ว หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ หลายปีนี้ม่อซิวเหยาคงได้ป่วยตายไปนานแล้ว ตอนนี้ที่ไม่กล้าแตะต้องเขาด้วยเพราะกลัวว่าจะเสียคนที่มีประโยชน์คนอื่นๆ ไป ติ้งอ๋องสองคนก่อนที่เสียชีวิตตามกันไปนั้น ทำให้คนเริ่มนึกเคลือบแคลงสงสัยมากแล้ว หากเกิดเหตุอันใดขึ้นกับม่อซิวเหยาอีกคน เกรงว่าคงจะสั่นสะเทือนไปทั่วแคว้น”
เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ รู้สึกหนาวจนต้องจับถ้วยชาในมือเพื่อซึมซับความอบอุ่นจากถ้วยชานั้น
“ที่ฮ่องเต้ทรงเลือกหลีเอ๋อร์เพราะเกรงกลัวตระกูลสวีเช่นกันหรือเจ้าคะ พระองค์ไม่กลัวว่า เมื่อตระกูลสวีกับตำหนักติ้งอ๋องสานสัมพันธ์จากการแต่งงานกันแล้ว…”
สายตาสวีหงอวี่ดูเย็นเยียบ “บรรพบุรุษตระกูลสวีได้กล่าวไว้ หากราชสำนักไม่ทำอะไรตระกูลสวี ตระกูลสวีจะไม่มีทางทรยศเด็ดขาด”
“คำพูดเช่นนี้มีคนเชื่อด้วยหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีถามด้วยความไม่เข้าใจ ต่อให้ลงลายมือชื่อกันในหนังสืออย่างเป็นทางการก็ยังสามารถฉีกทิ้งได้ตลอดเวลา นับประสาอะไรกับคำสัตย์สาบาน
สวีหงอวี่จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยความไม่พอใจ “สิ่งนี้ระบุอยู่ในกฎตระกูลสวี ตระกูลสวีที่อยู่มาได้เป็นร้อยปีก็ด้วยเพราะคำสัตย์สาบานนี้”
เยี่ยหลีทำคอหด ลูบปลายจมูกก่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านลุงเจ้าคะ เช่นนั้น…ตระกูลสวีเคยสาบานอันใดไว้กับฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“แค่กๆ…” สวีหงอวี่กระแอมไอขึ้น จ้องเยี่ยหลีอย่างไม่เห็นขันด้วย
เยี่ยหลีจึงได้แต่ยกไหล่ก่อนเท้าคางแล้วเงียบไป ตระกูลที่ผ่านร้อนหนาวมาเป็นร้อยปีได้โดยที่ไม่ล่มสลายไปนั้น จะเคร่งครัดเรื่องเหล่านี้มากได้อย่างไร ใช่ว่าพวกเราไม่สามารถทรยศได้ เพียงแต่ผลจากการทรยศนั้นยังไม่มากพอเท่านั้นเอง
สวีหงอวี่จ้องหน้านางตรงๆ อีกครั้ง “สรุปก็คือหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ตระกูลสวีจะไม่ทรยศต่อราชสำนักแน่นอน”
คนตระกูลสวีไม่เคยขาดชื่อเสียงและผลประโยชน์ และไม่เคยยึดติดกับอำนาจ ตำแหน่งฮ่องเต้หรือ ของเล่นเช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด บุรุษที่ฉลาดพอย่อมรู้ซึ้งถึงสิ่งที่จะทำให้ตนเหนื่อยตาย หากอยากเสพสุขจากความวุ่นวายก็ต้องเตรียมใจรับชื่อเสียงที่เน่าเฟะไปตลอดชีวิต
“หลีเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านลุงใหญ่คิดว่าหากไม่ใช่ฮ่องเต้แล้ว ใครกันที่คิดอยากทำลายงานแต่งงานระหว่างข้ากับติ้งอ๋องเจ้าคะ” เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้น
สวีหงอวี่ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่อาจพูดพล่อยๆ ได้ ชิงเฉินบอกเพียงว่าเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่พวกเราใคร่ครวญถึงสตรีทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยาแล้ว ก็ยังหาไม่พบว่าสตรีผู้นั้นเป็นผู้ใด ส่วนตัวติ้งอ๋องเองคงรู้อยู่แล้ว เขาได้พูดอันใดหรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าของบัณฑิตอย่างสวีหงอวี่มีแววไม่พอใจขึ้นทันที เมื่อเห็นเยี่ยหลีส่ายหน้า จึงถอนหายใจเบาๆ “ตัวเขาคงรู้ว่าอันใดควรมิควร หากเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก สามีเช่นเขาเจ้าจะไม่เอาก็ไม่เป็นไร ตระกูลสวีเราเลี้ยงหลานสาวเองได้”
“หลีเอ๋อร์คิดว่าอาจเป็นสตรีสักคนที่มีใจให้ติ้งอ๋อง” เยี่ยหลีไม่รู้สึกอายที่จะพูดกับสวีหงอวี่ จึงพูดสิ่งที่ตนนึกสงสัยออกมาตรงๆ
สวีหงอวี่ยิ้มพร้อมมองหน้านาง “คนที่มีใจให้ติ้งอ๋องหรือ หากเจ้าพูดถึงสมัยที่ติ้งอ๋องยังหนุ่มละก็ สมัยนั้นมีคุณหนูกว่าครึ่งค่อนเมืองหลวงที่มีใจให้เขา เพียงแต่…คนที่มีความสามารถพอจะจ้างเทียนอี้เก๋อได้นั้น…ไม่มีเลยสักคน ถึงแม้หานหมิงเย่ว์จะรักเงินเป็นชีวิตจิตใจ แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่รักใคร่กับติ้งอ๋องมาแต่เยาว์วัย เขาไม่มีทางหาเรื่องคู่หมั้นของติ้งอ๋องเพื่อเงินเป็นแน่”
“เช่นนั้น…สตรีที่มีใจให้ม่อซิวเหยาและยังเป็นคนที่สนิทสนมกับหานหมิงเย่ว์เล่าเจ้าคะ”
สวีหงอวี่เลิกคิ้วขึ้น “มีอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่มีทางใช่นาง”
เยี่ยหลีกระพริบตา สวีหงอวี่วางถ้วยชาลงอย่างใจเย็น “หลิ่วกุ้ยเฟย”
คราวนี้ถึงคราวเยี่ยหลีสำลักบ้าง “หลิ่ว…หลิ่วกุ้ยเฟยหรือเจ้าคะ”
“มีอันใดแปลกหรือ หลิ่วกุ้ยเฟยสมัยนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเชียวนะ แม้แต่พี่ชายใหญ่ของเจ้า นางยังไม่เคยมองเขาตรงๆ เลยสักครั้ง แต่กลับพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานกับติ้งอ๋อง น่าเสียดาย…ตอนนั้นติ้งอ๋องมีหญิงสาวในใจอยู่แล้ว เช่นนั้นคงได้เป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างหาได้ยากทีเดียว อีกอย่าง หลิ่วกุ้ยเฟยถนัดด้านการวาดภาพ ฝีมือการวาดภาพของหานหมิงเย่ว์สมัยหนุ่มๆ ก็โด่งดังมากในเมืองหลวง ภาพวาดชื่อดังของต้าฉู่ที่เขาวาดเป็นภาพที่สองนั้นก็คือหลิ่วกุ้ยเฟย ทุกวันนี้ยังประเมินค่ามิได้ แต่หลังจากหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าวังไปแล้ วรูปภาพนั้นก็ถูกซื้อไปด้วยมูลค่าสูงลิ่ว” ไม่รู้ด้วยเหตุใด สวีหงอวี่จึงหยุดพูดหัวข้อสนทนาที่หนักอึ้ง แล้วเปลี่ยนเป็นเล่าเรื่องซุบซิบในอดีตให้นางฟังแทน
เยี่ยหลีนึกถึงสตรีในวังที่สายตาเย็นชาประหนึ่งดอกหลีแล้ว ช่างเหมาะสมแก่ชื่อ ยอดสาวงามยิ่งนัก “เหตุใดท่านลุงจึงคิดว่าไม่ใช่นางล่ะเจ้าคะ”
“พี่ใหญ่ของเจ้ารู้จักกับหลิ่วกุ้ยเฟย ถึงแม้ไม่ได้เห็นใบหน้าของหญิงผู้นั้น ทั้งยังผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แต่พี่ใหญ่ของเจ้ามั่นใจว่าไม่ใช่หลิ่วกุ้ยเฟย อีกอย่าง เจ้าคิดว่าวังหลวงเป็นสถานที่เช่นใดกัน กุ้ยเฟยคนหนึ่งจะสามารถพาคนกลุ่มหนึ่งออกมาเที่ยวเดินนอกวังได้สบายๆ อย่างนั้นหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้ารับ นางเองก็ไม่ได้คิดจริงๆ ว่าจะเป็นหลิ่วกุ้ยเฟย ตอนอยู่ในวังถึงแม้จะรับรู้ได้ถึงสายตาดูถูกที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีต่อนาง ทั้งยังคอยจับผิดนางตลอด แต่ในสายตาของนางนั้นกลับไม่มีแววอาฆาตอย่างเห็นนางเป็นศัตรู
“คู่หมั้นคนเดิมของม่อซิวเหยาเป็นใครหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีถามขึ้น นางนึกสงสัยจริงๆ ว่า หญิงสาวเช่นใดกันที่สามารถเอาชนะสตรีที่งดงามเช่นหลิ่วกุ้ยเฟยจนได้ใจของม่อซิวเหยาไป อีกอย่างหากว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว คนที่จะเป็นคู่หมั้นม่อซิวเหยาได้จะต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่เป็นแน่ ทว่า แม้เยี่ยหลีจะตั้งใจทบทวนความทรงจำอยู่พักใหญ่ ก็ยังคิดไม่ออกว่ามีตระกูลใหญ่ตระกูลใดที่สูญเสียบุตรสาวผู้แสนงดงามแต่อาภัพไปเมื่อเจ็ดปีก่อน
สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีด้วยความขุ่นเคืองใจ ก่อนเอ่ยว่า “ซูจุ้ยเตี๋ย”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ฟังดูเป็นชื่อของหญิงสาวที่สวยมากจริงๆ”
สวีหงอวี่มองหลานสาวของตนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก รู้สึกเสียใจลึกๆ อีกครั้งที่เขาไม่ยืนกรานที่จะรับตัวเยี่ยหลีไปเลี้ยงดูตั้งแต่แรก ดูสิว่าตอนนี้บ้านเยี่ยเลี้ยงนางออกมาเป็นอย่างไร นี่นางกำลังพูดถึงอดีตคู่หมั้นของสามีในอนาคตของตัวเองนะ ต่อให้หญิงคนนั้นตายไปแล้วแต่ก็ควรแสดงอาการสนใจสักหน่อยมิใช่หรือ ท่านสวีผู้โด่งดังเพิ่งนึกได้ในตอนนี้เองว่า หลานสาวของตนไม่เคยแสดงอาการเอียงอายอย่างที่หญิงสาวควรจะมีเวลาเอ่ยถึงติ้งอ๋องหรือหลีอ๋องเลย แม้แต่หน้าแดงก็ยังไม่มี!
“คุณหนูซูผู้นี้เป็นบุตรสาวบ้านใดหรือเจ้าคะ” ในเมืองหลวงดูเหมือนจะไม่มีตระกูลแซ่ซูที่มีชื่อเสียงเลยนี่
“เจ้าคิดว่าวันที่ติ้งอ๋องนำของมาหมั้นหมายนั้น ผู้อาวุโสซูมาเพื่อการใด”
“ผู้อาวุโสซูหรือเจ้าคะ”
“ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสซู” สวีหงอวี่เอ่ยเรียบๆ
“เช่นนั้นผู้อาวุโสซูมาทำอันใดหรือเจ้าคะ”
“มาดูว่าติ้งอ๋องที่ควรจะเป็นหลายเขยของเขาจะแต่งงานกับหญิงสาวเช่นไรน่ะสิ อีกอย่าง การเสียชีวิตของซูจุ้ยเตี๋ยทำให้ติ้งอ๋องที่กำลังป่วยหนักอยู่เสียใจอย่างมาก ผู้อาวุโสซูเห็นติ้งอ๋องเป็นเสมือนหนึ่งหลานชายของตนเอง ดังนั้นจึงมาเพื่อช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้กับติ้งอ๋องด้วย”
เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของท่านลุง เยี่ยหลีจึงยิ้มอย่างไม่รู้จะทำเช่นใดดี
“ท่านลุงเจ้าคะ หลีเอ๋อร์รู้ว่าท่านลุงหมายความเช่นไร ข้ากับติ้งอ๋องปฏิบัติต่อกันด้วยดีเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีอย่างไม่เห็นด้วย “อย่างไรที่เจ้าเรียกว่าปฏิบัติต่อกันด้วยดี หากอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก แล้วเจ้าเป็นคนแรกที่เขาเลือกที่จะละทิ้ง เช่นนั้นยังเรียกว่าดีอยู่หรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “แต่ว่า หากต้องให้ข้าเลือกระหว่างท่านลุง ท่านตา พี่ๆ กับติ้งอ๋องแล้ว ข้าก็คงไม่เลือกเขาเช่นกันนะเจ้าคะ ข้ากับเขาเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน อย่างไรญาติพี่น้องก็ต้องสำคัญกว่า”
“พวกเจ้าเป็นสามีภรรยากันนะ! อีกหน่อยเจ้าต้องอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต ไม่ใช่อยู่กับลุงและท่านตาไปชั่วชีวิต”
“ท่านลุงเห็นว่าติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มประเภทที่ยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อคนที่เขาห่วงใยหรือเจ้าคะ”
“…ใช่ ขอเพียงเจ้าคว้าใจเขาไว้ได้ในกำมือ”