ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 52-2
พ่อบ้านขอตัวกลับออกไป มู่หรงถิงจึงจับมือเยี่ยหลีอย่างเป็นกังวล
“อาหลี เจ้าออกไปพบเขาระวังหน่อยนะ เกรงว่าเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อคงจะมาไม่ดีแน่”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น คุณหนูในเมืองหลวงมีน้อยคนนักที่จะเข้าใจเรื่องเช่นนี้ มู่หรงถิงติดตามท่านแม่ทัพมู่หรงไปออกรบตั้งแต่เล็กๆ คงจะรู้เรื่องที่พวกนางไม่รู้อยู่บ้าง ชิงหลวนและคนอื่นๆ กำลังช่วยปรนนิบัติเยี่ยหลีเปลี่ยนเสื้อผ้าและผัดหน้าใหม่อยู่ โดยมีมู่หรงถิงยืนให้ข้อมูลที่นางรู้อยู่ข้างๆ
“เจิ้นหนานอ๋องแห่งแคว้นซีหลิงนี้ เป็นน้องชายร่วมอุทรของฮ่องเต้แคว้นซีหลิงองค์ปัจจุบัน แล้วยังเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของแคว้นซีหลิงอีกด้วย แต่เมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านเคยแพ้ให้กับพระบิดาของติ้งอ๋อง หรือก็คือท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟาง ทั้งยังเสียแขนไปข้างหนึ่งระหว่างรบอีกด้วย หลังจากนั้นเจิ้นหนานอ๋องได้ส่งคนไปลอบสังหารท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็พลาดไปอย่างฉิวเฉียดทุกครั้งไป เจ้าก็รู้…ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเสียชีวิตไปนานแล้ว หากเจิ้นหนานอ๋องยังคงคิดแค้นอยู่…” เช่นนั้นความแค้นนี้คงต้องนำมาชำระกับลูกชายและลูกสะใภ้ของม่อหลิวฟางอย่างนางและม่อซิวเหยาเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้น เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อตั้งใจจะมาก่อกวนใช่หรือไม่” ใบหน้าเรียวของฉินเจิงซีดเผือดลงทันที มองเยี่ยหลีด้วยความไม่สบายใจ “พวกเราควรส่งใครไปแจ้งติ้งอ๋องหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวติ้งอ๋องก็คงทราบแล้ว อีกอย่าง เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อถึงอย่างไรก็คงไม่รังแกคุณหนูคนหนึ่งหรอก หากเขาทำเช่นนั้นจริง คงเป็นที่อับอายแก่ท่านอ๋องเจิ้นหนานแห่งแคว้นซีหลิงเกินไป” หากต้องการจะมาหาเรื่องจริง ก็ควรบุกไปหาม่อซิวเหยาถึงจะถูก พวกเขายังไม่ทันได้แต่งงานกันเลย
เยี่ยหลีสำรวจตัวเองในกระจก เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วจึงลุกยืนขึ้น “เดี๋ยวข้าออกไปก่อน พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกันนะ”
มู่หรงถิงรีบยืนขึ้นข้างๆ เยี่ยหลี ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า ส่วนเทียนเซียงกับเจิงเอ๋อร์รออยู่ที่นี่”
เยี่ยหลียิ้มด้วยความลำบากใจ “มู่หรง ข้าไม่ได้ไปรบสักหน่อย”
มู่หรงพูดยืนยันอีกครั้ง “ข้าไม่สน จะให้ข้าแอบตามเจ้าไปก็ได้ หากเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อเกิดมีเจตนาร้ายขึ้นมาจริงๆ ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้”
มีเจตนาร้ายต่อว่าที่ชายาติ้งอ๋องแต่คิดทำต่อหน้าธารกำนัลในแผ่นดินต้าฉู่อย่างนั้นหรือ คงมีแต่มู่หรงที่คิดได้เช่นนี้ ฮว่าเทียนเซียงโบกมือแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด หลีเอ๋อร์ เจ้าพามู่หรงไปด้วยก็แล้วกัน นางชอบเรื่องตื่นเต้นเป็นที่สุด”
มู่หรงถิงไม่สนใจว่าพวกนางจะคิดเช่นไร นางกอดแขนเยี่ยหลีด้วยความดีใจ “ไปเร็วไปเร็ว!”
“ท่านพ่อ” เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เยี่ยหลีถึงได้รู้ว่าที่พ่อบ้านมารายงานนั้นช่างไม่ละเอียดเอาเสียเลย เดิมทีนางคิดว่ามีเพียงท่านพ่อกับแขก คิดไม่ถึงว่ายังมีม่อจิ่งหลีกับเยี่ยอิ๋งนั่งอยู่ด้วย
มู่หรงถิงหันมองหน้านาง พร้อมส่งสายตาที่สื่อคำถามว่า “เหตุใดไปที่ไหนก็เจอแต่เขานะ”
เยี่ยหลียิ้มตอบนางอย่างไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ก่อนเดินขึ้นหน้าไปคารวะเจ้ากรมเยี่ย ต่อหน้าคนอื่นแล้ว เจ้ากรมเยี่ยยินดีอย่างยิ่งที่จะเล่นบทบิดาผู้แสนดีที่รักใคร่ลูกสาว จึงยิ้มให้เยี่ยหลีด้วยความเอ็นดูยิ่ง
“หลีเอ๋อร์มาแล้ว คุณหนูมู่หรงก็มาด้วยหรือ”
มู่หรงถิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ผู้น้อยมาโดยไม่ได้รับเชิญ ขอท่านลุงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เจ้ากรมเยี่ยยิ้ม “ที่ไหนกัน หลีเอ๋อร์มีเพื่อนที่ดีเช่นคุณหนูมู่หรง ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก หลีเอ๋อร์ คุณหนูมู่หรง ท่านนี้คือทายาทท่านอ๋องเจิ้นหนาน เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิง”
หญิงสาวทั้งสองหันไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ แคว้นซีหลิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของต้าฉู่ ซึ่งขนบธรรมเนียมต่างๆ ไม่เหมือนกับต้าฉู่สักเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือแคว้นซีหลิงเรียกตนเองว่าต้า[1]หลิน แต่เรียกต้าฉู่ว่าตงฉู่ แต่ต้าฉู่กลับเรียกอีกฝ่ายว่าซีหลิง และเรียกตนเองว่าต้าฉู่ เพียงฟังจากชื่อเรียกก็สามารถบอกได้แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นไม่ได้รักใคร่ปรองดองกันสักเท่าใด เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อท่านนี้มีร่างกายสูงใหญ่ เครื่องหน้าทั้งห้าคมสันเด่นชัดประหนึ่งมีดสลัก เยี่ยหลีสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขามีนัยน์สีม่วงเจืออยู่ ว่ากันว่าราชนิกุลของแคว้นซีหลิงทุกคนล้วนมีดวงตาสีน้ำตาล รูปลักษณ์ของซื่อจื่อท่านนี้เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ของแคว้นซีหลิง
“คาวระท่านซื่อจื่อ” แม้แต่คนกระโดกกระเดกอย่างมูหรงถิง เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตจากต่างแคว้นก็ยังรักษามารยาทที่ควรมีได้อย่างเคร่งครัด
เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมองสำรวจหญิงสาวทั้งสองอย่างไม่เกรงใจ ก่อนละสายตาจากมู่หรงถิงแล้วเลื่อนไปมองเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ครู่หนึ่งเขาถึงได้พูดขึ้นว่า “ชายาติ้งอ๋อง คุณหนูมู่หรง ไม่ต้องมากพิธี ข้าน้อยชื่อเหลยเถิงเฟิง”
เหลย เป็นแซ่ของแคว้นซีหลิง ดีจริงไม่มีอุปสรรคทางภาษา
เจ้ากรมเยี่ยมองลักษณะท่าทีไม่ปกติของเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ แล้วจึงหันมองเยี่ยหลีก่อนจะกระแอมขึ้นมาเบาๆ ทีหนึ่ง “หลีเอ๋อร์ ซื่อจื่อตั้งใจนำของขวัญมาให้เจ้า”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณซื่อจื่อมากเพคะ ลำบากซื่อจื่อต้องมาด้วยตนเองแล้ว หวังว่าต้าฉู่จะทำให้ท่านรู้สึกเหมือนอยู่ที่แคว้นตนนะเพคะ”
เหลยเถิงเฟิงหัวเราะเสียงใส “แน่นอน ข้าอยากเห็นต้าฉู่มานานแล้ว จะต้องเดินชมให้ทั่วเป็นแน่ ใครก็ได้ นำของขวัญที่ข้าเตรียมไว้มาให้ชายาติ้งอ๋องที” เขาตบมือเบาๆ ชายสองคนท่าทางเหมือนองครักษ์ก็เดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยกกล่องไม้สลักลวดลายดอกไม้ทรงแคบและยาวเข้ามาด้วย เมื่อเห็นความยาวและขนาดของกล่องนั้นแล้ว เยี่ยหลีก็เริ่มรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง ของขวัญชิ้นนี้คงไม่ใช่ของขวัญธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว เหลยเถิงเฟิงให้สัญญาณมือ ชายอีกคนหนึ่งก็รับคำสั่งพร้อมเปิดกล่องไม้นั้นขึ้น พร้อมเกิดลมเย็นหอบหนึ่งพัดเข้าหน้า เจ้ากรมเยี่ยหน้าขรึมลงทันที เด้งตัวขึ้นก่อนพูดเสียงต่ำว่า “ซื่อจื่อ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
เหลยเถิงเฟงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่พระบิดาและเสด็จลุงของข้าเลือกให้กับพระชายาติ้งอ๋องด้วยตนเอง มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ”
เจ้ากรมเยี่ยตอบว่า “งานสมรสของนางใกล้เข้ามาทุกที ท่านให้กระบี่เล่มนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” กระบี่เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง ซึ่งถือว่าไม่เป็นมงคลยิ่ง ภายในกล่องไม้ที่ได้รับการแกะสลักลวดลายดอกไม้มาอย่างประณีตงดงามนั้น มีกระบี่หน้าตาโบราณเล่มหนึ่งวางอยู่ ถึงแม้ตัวกระบี่จะยังอยู่ในฝัก แต่ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบและรังสีสังหารแผ่ออกมา นี่ต้องเป็นกระบี่พิเศษที่ผ่านสมรภูมิเลือดมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน
“นี่เป็นของขวัญที่แคว้นข้าและพระบิดาจัดหามาให้เป็นพิเศษเพื่อแสดงความจริงใจของเรา หรือว่า…ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ต่างไม่รู้ถึงความเป็นมาของกระบี่เล่มนี้”
เหลยเถิงเฟิงกอดอกด้วยท่าทีปกติ มองทุกคนด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง น้ำเสียงสบประมาทที่แฝงอยู่ในประโยคนั้น ทำให้ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วขึ้น ก่อนยืนขึ้นมองกระบี่ที่อยู่ในกล่อง มู่หรงถิงใจสั่นขึ้นมาทันที หันมองเยี่ยหลีด้วยสายตาไม่แน่ใจ
“นี่คือ…หลั่นอวิ๋นหรือ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อจิ่งหลีจึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้น
เหลยเถิงเฟิงเอ่ยชื่นชม “หลีอ๋องมีสายตาแหลมคมยิ่ง ถูกแล้ว นี่คือกระบี่หลั่นอวิ๋น”
ทุกคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป แม้มิใช่กระบี่โบราณอันเลื่องชื่อ แต่ชื่อเสียงของกระบี่เล่มนี้ก็ไม่ด้อยกว่ากระบี่เล่มใดๆ ในตำนานเลย กระบี่เล่มนี้ตั้งชื่อตามม่อหลั่นอวิ๋น ติ้งอ๋องท่านแรก เป็นอาวุธคู่กายของม่อหลั่นอวิ๋นเวลาออกไปกรำศึก และกลายเป็นอาวุธคู่กายของติ้งอ๋องรุ่นต่อรุ่น กระบี่เล่มนี้มีประวัติติดตามติ้งอ๋องทุกท่านออกไปกรำศึกในสมรภูมิรบมานักต่อนัก ดื่มเลือดคนไปแล้วนับไม่ถ้วน จนกระทั่งเมื่อเจ็ดปีก่อน ม่อซิวเหวิน ติ้งอ๋องคนก่อนป่วยจนเสียชีวิตอยู่ที่ชายแดน กระบี่เล่มนี้ก็ได้หายสาบสูญไปด้วย ผู้คนต่างตามหากันไม่หยุดหย่อน แต่กลับไปพบร่องรอย ของขวัญชิ้นนี้ ช่างแสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความจริงใจได้มากพอจริงๆ
เหลยเถิงเฟิงผายมือออกมา พร้อมกล่าวว่า “ตั้งแต่ท่านพ่อทราบว่ากระบี่หลั่นอวิ๋นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่านสละแรงกายแรงใจไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรในการส่งคนออกตามหา แต่ก็ถือได้ว่าแรงที่เสียไปนั้นไม่ทรยศต่อคนที่ตั้งใจจริง เมื่อปีก่อนจึงได้พบกระบี่เล่มนี้ที่ดินแดนทางตอนเหนือ เราจึงถือโอกาสงานมงคลใหญ่ของติ้งอ๋อง นำของนี้มามอบคืนเจ้าของ ชายาติ้งอ๋องเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
เจ้ากรมเยี่ยยืนขึ้น ก่อนพูดกับเหลยเถิงเฟิงด้วยสีหน้าหนักใจ “ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ คงต้องขอบคุณท่านซื่อจื่อมากจริงๆ” จะบอกว่ากระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นสมบัติล้ำค่าของต้าฉู่ก็ว่าได้ การที่เหลยเถิงเฟิงส่งของขวัญชิ้นนี้มาให้ ทำให้เจ้ากรมเยี่ยมิอาจปฏิเสธได้ เจ้ากรมเยี่ยรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ที่ไม่ได้ปฏิเสธการเข้าเยี่ยมของเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อไปตั้งแต่แรก
เหลยเถิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนยิ้มพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ข้าจะไม่ปิดบังความจริงหรอกนะ อันที่จริงเมื่อได้ของล้ำค้าเช่นนี้มา ตัวข้าเองก็เคยคิดอยากเก็บเอาไว้เสียเอง เพียงแต่กระบี่หลั่นอวิ๋นนี้เหมือนมีจิตวิญญาณแฝงอยู่ ข้าทุ่มกำลังความคิดไปไม่รู้เท่าไร แต่ก็มิอาจดึงกระบี่เล่มนี้ออกจากฝักได้ สุดท้ายถึงแม้ข้าจะไปหานักตีกระบี่มือหนึ่งมาจนสามารถดึงกระบี่นี้ออกจากฝักมาได้ แต่น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งเอาเสียเลย แม้แต่นักกระบี่มือหนึ่งของแคว้นซีหลิงก็ยังไม่สามารถสั่งการมันได้ ข้าจึงคิดว่า กระบี่หลั่นอวิ๋นเล่มนี้คงยอมเชื่อฟังแต่คนของตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น จึงอยากให้พระชายาติ้งอ๋องได้ลองใช้กระบี่เล่มนี้”
เจ้ากรมเยี่ยพูดด้วยความไม่พอใจว่า “นางเป็นสตรีไม่ชำนาญเพลงกระบี่ อีกอย่าง หากท่านซื่อจื่อต้องการให้ลองกระบี่จริงก็ควรไปหาติ้งอ๋องถึงจะถูก”
เหลยเถิงเฟิงมองเยี่ยหลีก่อนพูดกลั้วหัวเราะว่า “หรือว่าพระชายาติ้งอ๋องไม่ถือเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องกระนั้นหรือ ได้ยินว่าร้อยปีก่อนพระชายาของติ้งอ๋องคนแรกเคยใช้กระบี่เล่มนี้ช่วยชีวิตติ้งอ๋องด้วยการสังหารข้าศึกพร้อมกันถึงสิบหกคนมาแล้ว ชื่อเสียงนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันมานับแต่นั้น จะเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดของติ้งอ๋อง แค่เป็นเพียงคู่ชีวิตของติ้งอ๋องก็เพียงพอแล้ว พระชายาติ้งอ๋องมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลียังไม่ทันเอ่ยปาก ม่อจิ่งหลีก็ส่งเสียงเหอะขึ้น “ท่านหญิงชิงอวิ๋นเป็นสตรีที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ สามารถใช้กระบี่หลั่นอวิ๋นได้ก็ไม่ได้ใช่เรื่องแปลกอันใด เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่ออยากให้เยี่ยหลีใช้กระบี่หลั่นอวิ๋นเล่มนี้ หรือท่านตั้งใจจะทำให้ต้าฉู่ของเราลำบากใจ มีใครไม่รู้บ้างว่า สำหรับเยี่ยหลีแล้ว แม้แต่เพลงกระบี่ครบทุกกระบวนท่าซักเพล งยังเกรงว่าจะรำออกมาไม่ได้”
เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “ข้ากลับเชื่อสายตาของตำหนักติ้งอ๋อง ที่ผ่านมานั้น พระชายาติ้งอ๋องทุกรุ่นล้วนเก่งกาจและโดดเด่น”
ม่อจิ่งหลีหัวเราะเยาะ “รุ่นนี้ถือเป็นข้อยกเว้น”
มู่หรงถิงออกปากพูดปกป้องเยี่ยหลีว่า “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ ท่านนำกระบี่ที่แม้แต่จะดึงท่านก็ยังดึงไม่ออกมาให้สตรีที่ไม่เคยแม้แต่จะฝึกมารำเพลงกระบี่อย่างนั้นหรือ แคว้นซีหลิงชอบบีบบังคับให้ใครต้องตกที่นั่งลำบากเช่นนี้หรือเพคะ”
“บีบบังคับให้ใครต้องตกที่นั่งลำบากหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ถามพระชายาติ้งอ๋องเล่า ท่านพ่อได้สั่งไว้แล้ว กระบี่เล่มนี้ต้องมอบให้กับพระชายาติ้งอ๋อง ไม่เช่นนั้น…ข้าจะต้องนำมันกลับไปยังแคว้นซีหลิง”
นี่ถือเป็นการข่มขู่ เจตนาของเหลยเถิงเฟิงนั้นชัดเจนมาก หากว่าที่ชายาติ้งอ๋องไม่สามารถดึงกระบี่และไม่สามารถใช้กระบี่หลั่นอวิ๋นนี้ได้ ก็อย่าได้มาถือโทษหากเขาจะนำกระบี่เล่มนี้กลับแคว้นซีหลิงไป หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่าว่าแต่ต้าฉู่จะเสียหน้าเลย แม้แต่ชื่อเสียงก็คงได้ย่อยยับไปด้วย
“พี่สาม เช่นนั้นท่านลองดูหน่อยไม่ดีกว่าหรือ ไม่แน่ว่าอาจดึงออกได้ก็เป็นได้” เยี่ยอิ๋งอ่ยปากขึ้นเสียงเบา “ซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงให้ของขวัญอันล้ำค่าเช่นนี้ หากพวกเราไม่รับไว้จะไม่เป็นการเสียมารยาทกับแคว้นเพื่อนบ้านหรือ”
เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วมองเยี่ยอิ๋ง พร้อมคิดชั่งน้ำหนักในใจว่า การที่เยี่ยหลีปฏิเสธไม่ลองดึงกระบี่กับดึงกระบี่ไม่ออก อย่างไหนขายหน้ากว่ากัน
[1] ต้า ในภาษาจีนแปลว่า ใหญ่ หรือ ยิ่งใหญ่