ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 57-1 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองชายสองคนตรงหน้าที่เอาแต่ดวลเหล้ากันโดยไม่พูดไม่จาสักคำ เจ้ากรมเยี่ยกลอกตามองบนจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าฝืนใจเอ่ยทัดทานไปหนึ่งประโยค ทว่าม่อจิ่งหลีไม่แม้แต่จะสนใจ ส่วนม่อซิวเหยาก็เพียงหันไปอมยิ้มพร้อมพยักหน้าให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า แต่ก็มิได้ปฏิเสธม่อจิ่งหลีที่ชวนให้ดื่มต่อ เยี่ยหลีหันไปมองอาจิ่นที่ยืนอยู่ไม่ไกล อาจิ่นรับรู้ถึงสายตาของเยี่ยหลีที่ส่งมา สีหน้าที่มองม่อซิวเหยาดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ จึงมีแววร้อนใจ
เมื่อม่อจิ่งหลียื่นมืออกมาจะรินเหล้าอีกครั้ง กลับมีนิ้วเรียวงามดุจหยกยื่นออกมาปิดจอกเหล้าไว้ ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้งลงทันที เลิกคิ้วขึ้นถามม่อซิวเหยา “ม่อซิวเหยา นี่หมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยหลียังคงสีหน้าเรียบเฉย ย้ายจอกเหล้ามาวางไว้หน้าตนเอง “หลีอ๋องท่านเมาแล้วหรือไร คนที่ไม่ให้เทเหล้าคือข้าเอง เหตุใด้ท่านจึงมาถามท่านอ๋องของข้าล่ะ”
ม่อจิ่งหลีหัวเราะหึ ก่อนเอ่ยอย่างดูแคลน “ผู้ชายเขาดื่มเหล้ากัน ผู้หญิงจะมายุ่งให้มากเรื่องทำไม ข้าไม่ได้มีความคิดอ่านเช่นเดียวกับผู้หญิงหรอกนะ”
เยี่ยหลียิ้มเยือกเย็น “ผู้หญิงก็ไม่มีความคิดอ่านเช่นเดียวกับท่านอ๋องเช่นกัน เพียงแต่บ่ายนี้ข้ากับท่านอ๋องยังต้องไปเยี่ยมคารวะตระกูลสวี หลีอ๋องคงไม่คิดอยากให้ท่านอ๋องไปบ้านตระกูลสวีทั้งๆ ที่มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วตัวเช่นนี้กระมัง ท่านต้องรู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้อย่างท่านหลีอ๋อง โดยเฉพาะตระกูลสวีเป็นตระกูลของบัณฑิตผู้มีการศึกษา มีธรรมเนียมปฏิบัติสืบทอดกันมาในตระกูล ท่านหลีอ๋องคงไม่อยากให้ข้ากับท่านอ๋องถูกท่านลุงไล่ออกมาหรอกกระมัง”
“ม่อซิวเหยา พอแต่งงานแล้วเจ้าคงไม่ได้เป็นโรคกลัวผู้หญิงเพิ่มขึ้นหรอกกระมัง” ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้ง จ้องหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ก่อนหันไปพูดเยาะม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยามองตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ บนใบหน้ายังมีแววขบขันเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย “จิ่งหลี เคารพความเห็นภรรยาไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อาหลีพูดถูก ตอนบ่ายพวกเรายังต้องไปคารวะท่านสวีกับท่านผู้ตรวจการสวี เจ้าก็รู้ ท่านหงอวี่กล้าไล่พวกเราออกมาจริงๆ”
ม่อจิ่งหลีไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ “ทำไมข้าจึงไม่รู้มาก่อนว่า วันกลับบ้านไม่เพียงต้องไปพบคนในตระกูลเดิม แม้แต่คนของตระกูลท่านลุงก็ต้องไปพบด้วย อย่าพูดจาไร้สาระ ม่อซิวเหยา เหล้าที่ข้าเทให้ เจ้าจะดื่มหรือไม่”
“ไม่ดื่ม” ม่อซิวเหยาตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกได้ว่าม่อซิวเหยาอารมณ์ดีอย่างประหลาด แม้แต่ตอนที่พูดกับม่อจิ่งหลีนางยังสัมผัสได้ถึงแววล้อเล่นอยู่ในน้ำเสียง
“อะแฮ่ม…จิ่งหลี ในเมื่อติ้งอ๋องยังมีธุระ งั้นพวกเราก็อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย ไว้ทุกคนมีเวลาว่างแล้วค่อยมานั่งดื่มกันก็ยังได้” ฟู่เจาได้แต่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์
ทุกคนล้วนเติบโตมาในเมืองหลวง รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ ม่อซิวเหยากับม่อจิ่งหลีไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่คิดว่าหลายปีนี้ที่ไม่ได้เจอจะเพิ่มความโหดเ**้ยมเข้ามาด้วย ทำให้คนที่ดูอยู่รอบนอกอย่างพวกเขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเป็นเช่นนี้ ฟู่เจาอดรู้สึกยินดีไม่ได้ ตอนนี้ม่อซิวเหยาดูนิสัยดีขึ้นมาก ถึงขนาดยอมฟังคำทัดทานของพระชายา หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนเกรงว่า ถ้าทั้งสองไม่ดวลกันไม่ลดละก็คงลงไม้ลงมือกันไปแล้ว
“จิ่งหลี…” เยี่ยอิ๋งเอ่ยทักท้วงสียงอ่อนโยน “ช่วงบ่ายพวกเรายังต้องออกไปทำธุระกันมิใช่หรือ ไว้ค่อยเชิญติ้งอ๋องมาดื่มครั้งหน้าเถิด”
ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงมองนาง ส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก คนอื่นๆ ต่างลอบถอนใจกันเบาๆ เจ้ากรมเยี่ยนวดขมับที่เริ่มปวดตึบๆ เบา พร้อมสาบานกับตนเองในใจว่า จะไม่ให้ลูกเขยสองคนนี้ร่วมโต๊ะดื่มเหล้ากันอีกต่อไป
เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาก็ขอตัวลาเพื่อไปเยี่ยมตระกูลสวีต่อ ก่อนกลับสวีหงอวี่ยังได้เชิญม่อซิวเหยาไปพูดคุยกันตามลำพังที่ห้องหนังสืออีกกว่าครึ่งชั่วยาม เยี่ยหลีถูกกันไม่ให้ไปร่วมฟังด้วย จึงได้แต่นั่งรออยู่นอกห้องหนังสือ ลูกพี่ลูกน้องตระกูลสวีเกือบทุกคน ยกเว้นสวีชิงเฉินที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง[a1] กับสวีชิงเจ๋อที่ถูกท่านป้าสะใภ้รองเรียกใช้จนหัวหมุนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอยู่เป็นเพื่อนนางที่ในเรือน
สวีชิงเยี่ยนโน้มตัวลงบนโต๊ะ พร้อมหัวเราะหึๆ มองเยี่ยหลี “พี่หลี ท่านพ่อข้าไม่กินพี่เขยหรอกน่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก”
เยี่ยหลีเหลือบตามองเขาอย่างไม่เห็นขัน “ลูกตาของเจ้าเห็นว่าข้าเป็นห่วงเขาหรือ”
“เห็นเต็มสองตาเลยทีเดียว” สวีชิงเยี่ยนชี้ไปที่ลูกตาของตนเอง
สวีชิงเฟิงที่ปกติเป็นคนจิตใจหยาบกระด้างยังรู้สึกน้อยใจอย่างน้อยครั้งที่จะได้เห็น มองเยี่ยหลีพร้อมพูดด้วยความเสียใจว่า “ไม่คิดเลยว่าเวลาเพียงไม่กี่วัน หลีเอ๋อร์จะเปลี่ยนไปเป็นคนของตระกูลอื่นเสียแล้ว หากว่าติ้งอ๋องรังแกอะไรเจ้า เจ้าก็กลับมาบอกพี่สาม พี่สามจะออกหน้าช่วยเจ้าเอง”
เยี่ยหลีพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเข้าใจแล้ว พี่สามวางใจเถิด”
สวีชิงเฟิงถอนหายใจ “อีกไม่กี่วันข้าก็จะต้องไปจากเมืองหลวงแล้ว พี่สามจะบอกพี่รองไว้ รอพี่รองแต่งงานแล้วให้พี่สะใภ้รองไปเยี่ยมเจ้าที่ตำหนักติ้งอ๋องบ่อยๆ นะ”
สวีชิงเยี่ยนหัวเราะ “พี่สาม ท่านไม่ต้องทำเกินกว่าเหตุเช่นนี้ก็ได้กระมัง ตำหนักติ้งอ๋องไม่ใช่ภูเขากระบี่หรือทะเลไฟเสียหน่อย มีพวกเราอยู่ ติ้งอ๋องจะกล้ารังแกพี่สาวได้อย่างไร”
สวีชิงป๋อที่นั่งอยู่อีกด้านกลอกตาบนขึ้นทันที “ใครกันที่พอเห็นติ้งอ๋องแล้วเป็นต้องรีบหลบทันที” เหตุใดตระกูลสวีจึงได้มีลูกชายคนเล็กที่ใจเสาะเช่นนี้นะ แล้วยังจะหวังจะให้ออกหน้าช่วยเยี่ยหลีอีกหรือ”
สวีชิงเยี่ยนหน้าแดงขึ้นทันที แค่คิดถึงฝีมือของใครบางคนเข้าก็ตัวสั่นแล้ว “พี่สี่ จะว่าข้าใจเสาะไม่ได้นะ ก็ใครให้คนคนนั้น…” โหดเ**้ยมเกินไปจริงๆ นี่ นึกไปถึงโจรดวงซวยสองคนที่บ้านพักหลังเล็กในคืนนั้น หลังจากนั้นสวีชิงเยี่ยนยังนอนฝันร้ายอยู่อีกหลายคืน จนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่เห็นม่อซิวเหยา ปฏิกิริยาของเขาก็คืออยากหลบไปยืนอยู่ข้างหลังสวีชิงป๋อ
เมื่อเยี่ยหลีมองท่าทีเขินๆ ของสวีชิงเยี่ยน ถึงแม้เขาจะพูดไม่จบ แต่นางก็พอเดาได้ คงเป็นเพราะใครบางคนไปทำเรื่องเขย่าขวัญเขาเข้า จนทำให้สวีชิงเยี่ยนขวัญหนีดีฝ่อ แต่เรื่องนี้เยี่ยหลีไม่ได้คิดที่จะซักไซ้ ม่อซิวเหยาฆ่าฟันข้าศึกมาตั้งแต่อายุยังน้อย นางก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่วันๆ ตัวไม่ต้องฝุ่นหรอก
เมื่อกลับไปยังตำหนัก เยี่ยหลีก็เริ่มยุ่งกับการรับช่วงงานจำนวนมากของตำหนักอ๋อง แค่เพียงสมุดบัญชีต่างๆ ก็ทำให้เยี่ยหลีต้องใช้เวลาศึกษาถึงสองวันเต็มๆ กว่าจะเข้าใจ ในขณะเดียวกันนางตกใจกับความร่ำรวยมหาศาลของตำหนักติ้งอ๋อง ทรัพย์สมบัติที่ติ้งอ๋องสั่งสมมารุ่นสู่รุ่นมากมายเสียจนทำให้เยี่ยหลีนึกตกใจ เมื่อจัดการงานในมือจนพอคล่องแล้ว เยี่ยหลีก็ได้รับจดหมายเชิญจากในวังพอดี และเนื่องด้วยเป็นงานเลี้ยงอำลาคณะทูตจากแคว้นต่างๆ ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีจึงไม่อาจหาเหตุผลมาปฏิเสธได้
เป็นอีกครั้งที่นางได้เข้าวัง แต่ด้วยประสบการณ์คราวที่แล้วที่ไม่ค่อยรื่นรมย์นัก ทำให้เยี่ยหลีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก รถม้าของตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้จอดที่หน้าประตูวังเหมือนรถม้าของชนชั้นสูงทั่วไป แต่ขับเข้าประตูวังไปได้เลย ม่อซิวเหยาอยู่ในชุดสีขาวนวลปักลายมังกรทะยานท่ามกลางหมู่เมฆสีเงิน มีเครื่องประดับศีรษะทำจากหยกขาวประดับอัญมณีสีน้ำเงิน ยิ่งทำให้ดูสุภาพและงามสง่า
“อาหลีอารมณ์ไม่ดีหรือ”
เยี่ยหลีนั่งเอนตัวพิงรถม้าอยู่อย่างเกียจคร้าน “เปล่า เพียงแค่ในวังนี้มักทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก”
ม่อซิวเหยายิ้ม “ทั้งที่มีคนไม่รู้เท่าใดที่อยากเข้ามาในวังหลวง ความคิดของอาหลีช่างพิเศษนัก”
เยี่ยหลีเหลือบตามองเขา “เหยียบศพคนไม่รู้เท่าใดเพื่อให้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ หรือไม่ก็ถูกคนอื่นเหยียบเพื่อให้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ มันน่าดึงดูดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ม่อซิวเหยาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนยิ้ม “แน่นอนว่าระหว่างทางย่อมน่าเบื่อ เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็นระหว่างทางนั้น พวกเขาเพียงคิดฝันว่าตนเองจะได้ปีนขึ้นไปอยู่ยังจุดสูงสุดเท่านั้น ความรู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ยืนอยู่เหนือคนนับหมื่น เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาลืมเลือนสิ่งอื่นๆ ไป”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว จ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ก่อนถามขึ้นว่า “ซิวเหยาก็คิดเช่นนี้หรือ”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป หลุบตาลงมองมือของตนที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้รถเข็น พักใหญ่กว่าจะตอบเสียงขรึมว่า “ข้าเพียงไม่อยากให้ตนเองเป็นผู้ที่ถูกผู้อื่นเหยียบเพื่อให้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ก็เท่านั้น” ภายในรถม้าเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เยี่ยหลีจะเอ่ยขึ้นเงียบๆ ว่า “ข้าไม่ชอบการเหยียบใคร แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาเหยียบข้า”
“ท่านอ๋อง ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮามีรับสั่งเชิญพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” อาจิ่นเอ่ยรายงานเสียงขรึมมาจากนอกรถม้า
รถม้าค่อยๆ หยุดลง เยี่ยหลีคาดคะเนที่จอดรถม้าอยู่ในใจ ไม่ใช่ที่ที่ตนเคยมาก่อนหน้านี้ คำนวณแล้วสถานที่นี้น่าจะอยู่แถวตำหนักเฟิ่งเต๋อของฮองเฮา
ม่อซิวเหยาหันมาบอกว่า “ข้าต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ เจ้าเข้าไปเองได้หรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกขึ้นเพื่อลงจากรถม้า ม่อซิวเหยารั้งนางไว้ “ระวังตัวด้วย หากมีเรื่องอันใด…ให้ชิงหลวนออกมาบอกอาจิ่นโดยทันที เขาจะคอยอยู่แถวๆ ตำหนักเฟิ่งเต๋อ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “แต่ว่าท่าน…” อาจิ่นเป็นองค์รักษ์ติดตามม่อซิวเหยา และเป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุด หากอาจิ่นไม่คอยอยู่ข้างกายเขา…
ม่อซิวเหยายิ้ม “เจ้าคงไม่คิดว่าคนที่ข้าไว้ใจได้มีเพียงอาจิ่นหรอกนะ ไม่เป็นไรหรอก ไปเถิด”
“เอาเถิด อีกเดี๋ยวพบกัน” เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงไม่ได้ดื้อดึงอีก ลุกขึ้นลงจากรถม้าไป
นอกรถม้ามีคนจากตำหนักเฟิ่งเต๋อรออยู่แล้ว เมื่อเห็นเยี่ยหลีลงมาก็รีบเดินเข้ามาหา “บ่าวคารวะพระชายาติ้งอ๋อง บ่าวรับพระบัญชาจากองค์ฮองเฮาให้มารอรับพระสนมที่นี่เพคะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว”
“บ่าวมิบังอาจ ทูลเชิญพระชายาตามบ่าวมาเพคะ”
[a1]หมายถึง ไปโน่นมานี่ไม่หยุด ใช่ไหมคะ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง หมายถึงไม่ได้อยู่ประจำ อพยพไปเรื่อยๆ
Comments for chapter "ตอนที่ 57-1 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
tuktikta
น่าเบื่อกว่าที่คิด แนะนำให้อ่าน ยอดหญิงสกุลเสิ่น ข้ามกาลบันดาลรัก และ วาสนาบันดาลรัก ค่ะ เรื่องแรกนางเอกสุดยอด มีทุกรสให้คนชอบ แถมงกอีกต่างหาก ส่วนเรื่องที่สอง นางเอกก็สุดยอดไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน เรื่องที่สามแม้นางเอกไม่ได้เก่งมากเท่าสองคนแรก แต่ก็น่ารักและไม่ทำให้ผิดหวังเลยค่ะ