ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 57-2 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง
เมื่อเข้าไปยังตำหนักเฟิ่งเต๋อ ในตำหนักมีสตรีชั้นสูงนั่งกันอยู่ไม่น้อย ตำหนักเฟิ่งเต๋อตกแต่งอย่างโอ่อ่าหรูหราหากก็ดูไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป ทว่ายังมีรายละเอียดพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ให้เห็น เยี่ยหลีรู้สึกสนใจในฮองเฮาที่ชื่อเสียงไม่ได้เป็นที่โจษจันกันในหมู่ราษฎรสักเท่าใดพระองค์นี้ขึ้นมาทันที
“ถวายพระพรฮองเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปีเพคะ” เยี่ยหลีเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ พร้อมคารวะหญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ในตำหนักทุกคน
“ชายาติ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด” น้ำเสียงของฮองเฮาฟังดูสง่างามและนุ่มนวล ไม่เหมือนแม่ของแผ่นดินที่อยู่สูงส่งเลยแม้แต่น้อย
“เป็นพระกรุณาเพคะ” เยี่ยหลียืดตัวขึ้น ก่อนเดินตามสาวใช้ที่มานำไปนั่งอยู่เก้าอี้ว่างตัวแรกสุด ถึงแม้ในบรรดาหญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ ณ ที่นี้ทั้งหมด เยี่ยหลีถือว่าอายุน้อย และไม่ได้มีความสำคัญมากสักเท่าใด แต่เมื่อดูจากฐานะแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือกว่าเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวง แน่นอนว่าฐานะของชายาติ้งอ๋องก็ย่อมอยู่สูงกว่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้เยี่ยหลีจะมาช้า แต่ก็ยังเว้นเก้าอี้ที่อยู่หน้าสุดไว้ให้นาง
เยี่ยหลีมองไปเรื่อยเปื่อย พบใบหน้าที่ตนคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย ฮูหยินใหญ่แห่งจวนฮว่ากั๋วกงพาฮว่าเทียนเซียงมาด้วย ข้างกายองค์หญิงเจาหยางและองค์หญิงเจาเหรินมีองค์หญิงซีสยาและท่านหญิงหรงหวาที่ไม่ได้พบหน้าเสียนาน แล้วยังมีเยี่ยอิ๋ง พระชายาหลีอ๋องผู้งดงามต้องตาต้องใจ ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ในตำหนักเฟิ่งเต๋อล้วนเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ไม่มากก็น้อย หรือไม่ก็ล้วนเป็นขุนนางกันทั้งสิ้น ฮูหยินหรือสตรีสูงศักดิ์ทั่วไปไม่ได้มารวมอยู่ที่นี้ด้วย
เมื่อนั่งลงแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หันมองฮองเฮาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหงส์ ฮองเฮาอยู่ในชุดเฟิ่งผาวสีเหลืองอร่าม ท่วงท่าเป็นธรรมชาติดูสูงส่งแสดงให้เห็นถึงฐานะมารดาแห่งแผ่นดินเพียงหนึ่งเดียว เมื่อเยี่ยหลีมองไป ฮองเฮาก็กำลังอมยิ้มมองมาที่ตนอยู่พอดี นางจึงตกใจเล็กน้อย ฮองเฮาไม่ได้ถือว่าเป็นหญิงงามเป็นพิเศษ พระนางมาจากจวนของฮว่ากั๋วกงเช่นเดียวกัน แต่ความงามของฮว่าเทียนเซียงดูจะมีมากกว่าฮองเฮาอยู่ขั้นหนึ่ง เพียงแต่ท่าทางสงบเยือกเย็นสง่างามเป็นธรรมชาติเช่นนั้น ไม่ว่าฮว่าเทียนเซียงหรือสตรีสูงศักดิ์คนใดที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็เทียบไม่ได้
“ฮองเฮาเพคะ ท่านนี้คือพระชายาของติ้งอ๋องหรือเพคะ” เสียงเล็กใสดังมาจากฝั่งตรงข้ามดึงดูดความสนใจของทุกคนโดยทันที เยี่ยหลีหันมองไปตามเสียง ก็เห็นหญิงสาวในชุดสีสันสดใส นั่งอยู่ทางฝั่งขวามือขององค์หญิงเจาเหริน เห็นได้ชัดว่ามีฐานะไม่ธรรมดา
ฮองเฮายิ้ม “ถูกแล้ว ท่านนี้ก็คือพระชายาของติ้งอ๋อง จะว่าไป ตั้งแต่องค์หญิงหลิงอวิ๋นมาถึงเมืองหลวงของต้าฉู่ก็สุขภาพไม่ค่อยดีมาโดยตลอด คงยังไม่ได้พบกับพระชายาของติ้งอ๋องสินะ ชายาติ้งอ๋อง ท่านนี้คือองค์หญิงหลิงอวิ๋นแห่งแคว้นซีหลิง”
เยี่ยหลีพยักหน้า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นให้เกียรติข้าแล้ว”
ด้วยฐานะของเยี่ยหลี ถึงแม้หลิงอวิ๋นจะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น แต่ก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อนางได้ แต่องค์หญิงองค์นี้จากที่เมื่อสักครู่ยังยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส กลับทำเหมือนไม่ได้ยินที่นางพูดเสียอย่างนั้น นางใช้สายตามองสำรวจเยี่ยหลี ก่อนพูดขึ้นว่า “ได้ยินท่านพี่เล่าว่าท่านชักกระบี่หลั่นอวิ๋นออกมาได้หรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ข้าได้เคยเห็นกระบี่หลั่นอวิ๋นจริง” แต่องค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับไม่พอใจกับคำตอบนี้ นางลุกยืนพร้อมเชิดหน้าขึ้น “ข้าไม่เชื่อ ข้าอยากประลองกระบี่กับเจ้า”
“ข้าใช้กระบี่ไม่เป็น” เยี่ยหลีตอบเสียงเรียบ
“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าใช้กระบี่ไม่เป็นแล้วเหตุใดจึงชักกระบี่หลั่นอวิ๋นออกมาได้เล่า” องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยคาดคั้น
เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมยิ้มน้อยๆ “องค์หญิง การชักกระบี่กับใช้กระบี่นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ใครเป็นคนกำหนดว่าคนที่ใช้กระบี่ไม่เป็นจะไม่สามารถชักกระบี่ออกมาได้กัน” นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดบรรดาองค์หญิง ท่านหญิง และคุณหนูทั้งหลายถึงได้ชอบบังคับให้คนประลองนั่นประลองนี่โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำสิ่งที่พวกนางต้องการประลองเป็นหรือไม่
“ข้าไม่สน อย่างไรข้าก็อยากจะประลองกับเจ้า หรือว่าเจ้าไม่กล้ารับคำท้า”
เยี่ยหลีลุกขึ้นยืน “องค์หญิงเอ่ยถามต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮา ฮูหยิน และคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงเช่นนี้ข้าจะไม่กล้ารับได้หรือ”
องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดด้วยความพอใจว่า “ถ้าเช่นนั้น กระบี่ของเจ้าเล่า”
“อันที่จริงในชาตินี้นอกจากกระบี่หลั่นอวิ๋นแล้วข้าไม่เคยแตะต้องกระบี่เล่มอื่นอีกเลย กระบี่ที่เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อส่งมาให้ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เคยจับอาวุธชนิดนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่มีกระบี่ และยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องจับกระบี่อย่างไร”
“พรืด…บังคับให้คนที่ไม่เคยแม้แต่จับกระบี่ให้มาประลองกระบี่…ฮองเฮาเพคะ พรุ่งนี้เทียนเซียงจะไปท้าท่านแม่ทัพให้ประลองการปักผ้ากับหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ จากนั้นก็เรียกหม่อมฉันว่าเป็นคนที่ปักผ้าเก่งที่สุดในใต้หล้า”
ฮว่าเทียนเซียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮว่าฮูหยินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก แต่กลับได้ยินกันทั่ว หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ ฮองเฮาถลึงตาใส่เทียนเซียงเสียทีหนึ่ง แต่ในดวงตากลับมีแววขบขันซ่อนอยู่ “ฝีมือการปักผ้าของเจ้ายังกล้าเอามาพูดอีก”
ฮว่าเทียนเซียงปิดปากหัวเราะ “ฮองเฮาพูดถึงหม่อมฉันเช่นนั้นได้อย่างไรกันเพคะ ข้าเพียงอยากมีชื่อเสียงดีๆ บ้างก็เท่านั้น ตำแหน่งที่หนึ่งในใต้หล้าเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ออกจะตายเพคะ”
เยี่ยหลีมองฮว่าเทียนเซียงด้วยสายตาซาบซึ้ง ฮว่าเทียนเซียงกะพริบตาปริบๆ ส่งให้นาง ก่อนหลบไปข้างหลังฮว่าฮูหยินทำทีเขินอาย
ฮองเฮากลั้นยิ้มไว้ แล้วหันไปพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นว่า “องค์หญิง พระชายาติ้งอ๋องไม่เชี่ยวชาญศาสตร์การใช้กระบี่ ดังนั้นอย่าได้ประลองกระบี่เลย”
องค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกฮว่าเทียนเซียงทำให้โกรธจนหน้าแดง นางจึงกัดฟันตอบว่า “นางชักกระบี่หลั่นอวิ๋นออกมาได้ จะใช้กระบี่ไม่เป็นได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่านางตั้งใจจะล้อหม่อมฉันเล่น”
“กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นของของตำหนักติ้งอ๋อง นางเป็นชายาของติ้งอ๋องอยากจะชักกระบี่ออกมาอย่างไรก็ได้ จะใช้กระบี่เป็นหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย” ท่านหญิงหรงหวาที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งปรายตามององค์หญิงหลิงอวิ๋น ก่อนพูดประชดประชนว่า “องค์หญิงจากต่างแคว้นนี่ล้วนประหลาดกันเช่นนี้ทุกคนเลยหรือไร เหตุใดจึงชอบบังคับให้คนประลองโน่นนี่ รู้ทั้งรู้ว่าคนเขาทำไม่ได้ก็ยังไม่รู้จักหยุด องค์หญิงพูดไปเลยดีกว่าว่าให้พระชายาติ้งอ๋องยอมแพ้ แล้วยอมรับว่าฝีมือกระบี่ของท่านเหนือกว่านางไปเสียเลย ไม่ดีกว่าหรือ”
“เจ้า!” ที่ท่านหญิงหรงหวาพูดเช่นนี้ ไม่เพียงองค์หญิงหลิงอวิ๋นเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงซีสยาก็พลอยรู้สึกประดักประเดิดไปด้วย หลายคนต่างหวนนึกไปถึงงานบุปผานานาพรรณที่องค์หญิงซีสยาต้องการที่จะประลองการร่ายรำกับพระชายาติ้งอ๋อง
เมื่อฮองเฮาเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะไปกันใหญ่ จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “เอาละๆ พอเท่านี้เถิด หรงหวา หยุดพูดไร้สาระต่อหน้าองค์หญิงทั้งสองได้แล้ว”
ท่านหญิงหรงหวาส่งเสียงเหอะเบาๆ นั่งเงียบอยู่ข้างๆ องค์หญิงเจาเหรินต่อไป เมื่อเทียบกับเยี่ยหลีแล้ว นางเกลียดองค์หญิงซีสยาซึ่งเป็นที่โปรดรานขององค์หญิงเจาหยางผู้มีนิสัยชอบกดหัวผู้อื่นเช่นเดียวกับนางมากเสียกว่าอีก จึงพลอยนึกเกลียดองค์หญิงหลิงอวิ๋นผู้แสนทะนงตนที่มาใหม่ผู้นี้ไปด้วย
“กุ้ยเฟยเสด็จ!”
หลังจากมีเสียงแหลมเล็กเอ่ยรายงานดังขึ้น หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดสีเหลืองไข่นกกระทาก็ก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“หม่อมฉันคารวะฮองเฮา” หลิ่วกุ้ยเฟยยังคงเยือกเย็นและหยิ่งทะนงเหมือนคราวก่อนที่ได้พบ นางโค้งตัวลงเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นการคารวะฮองเฮาแล้ว ดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยแห่งวังหลังพระองค์นี้ดูจะไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือฮองเฮา
ฮองเฮาก็ดูจะคุ้นชินกับท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วกุ้ยเฟยเสียแล้ว จึงเพียงพยักหน้าน้อยๆ “ช่างเถิด เหตุใดวันนี้กุ้ยเฟยจึงมาที่ตำหนักเฟิ่งเต๋อได้” สตรีชั้นสูงทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรมาหลิ่วกุ้ยเฟยไม่เคยที่จะร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงเลย แม้แต่พวกนางหลายคนที่จะต้องเข้าวังเกือบทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละครั้ง ก็มีน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นหลิ่วกุ้ยเฟย
หลิ่วกุ้ยเฟยตอบเสียงเย็นว่า “หม่อมฉันว่างอยู่ ไม่มีอะไรทำ ได้ยินฮ่องเต้บอกว่าที่ตำหนักของฮองเฮาครึกครื้นนัก จึงขอมาดูหน่อยเพคะ ฮองเฮาไม่ทรงยินดีหรือเพคะ”
คิ้วเรียวของฮองเฮาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ยังคงพูดอย่างใจกว้าง “ในเมื่อเจ้าสนใจ ก็เชิญนั่งลงเถิด” ฮองเฮาโบกมือให้นางกำนัลเตรียมเก้าอี้ให้หลิ่วกุ้ยเฟยนั่ง ทว่าหลิ่วกุ้ยเฟยกลับเดินไปตรงหน้าเยี่ยหลี “ข้านั่งที่นี่ได้หรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หากเหนียงเหนียงไม่รังเกียจ ก็เชิญนั่งเถิดเพคะ”
เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยนั่งลงข้างเยี่ยหลี ฮองเฮาจึงไม่เสียเวลาจัดที่นั่งให้นางอีก ฮองเฮามักรักษาระยะห่างระหว่างหลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นสนมที่องค์ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดคนนี้อยู่เสมอ ยังดีที่ถึงแม้ปกติหลิ่วกุ้ยเฟยจะเป็นคนประหลาดและมีความทะนงตนอยู่มาก บางครั้งก็ถึงกับเอาแต่ใจอย่างไม่มีเหตุผล แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮาแล้วก็ยังไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรมากนัก วันนี้ที่นางเยือกเย็นและเอาแต่ใจโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว อย่างน้อยๆ เมื่อเทียบกับไทเฮา ฮองเฮาก็รู้สึกว่ายุติธรรมกับตนอย่างประหลาดแล้ว
หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้างเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเรียบเฉย บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่คิดอยากสนทนากับเยี่ยหลีที่เพิ่งเป็นพระชายาติ้งอ๋องหมาดๆ จึงได้พากันถอดใจไปชั่วคราว ถึงแม้ไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยไม่เคยไว้หน้าใครมาก่อน หากเผลอไปทำให้กุ้ยเฟยรำคาญเข้า คนที่ดูไม่ดีก็จะเป็นตนเอง
เมื่อไม่มีใครคุยด้วย เยี่ยหลีจึงได้แต่นั่งฟังคนอื่นๆ คุยกัน โชคดีที่นางเป็นคนนั่งทน
“เรื่องที่เกิดในตำหนักเมื่อสักครู่ ข้าได้ยินคนเขาพูดกันแล้ว” เดิมทีคิดว่าหลิ่วกุ้ยเฟยคงไม่คุยกับตน แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียบๆ ดังขึ้นข้างตัว ก็ทำให้เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย
“เจ้านี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ! คราวที่แล้วองค์หญิงจากหนานจ้าวจะประลองการร่ายรำ เจ้าก็ร่ายรำไม่เป็น มาครั้งนี้องค์หญิงจากแคว้นซีหลิงอยากประลองกระบี่ เจ้าก็ไม่เป็นอีก! เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง” น้ำเสียงของหลิ่วกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความไม่พอใจและรังเกียจ โชคดีที่พระนางกดเสียงไว้ให้เบามากๆ มิเช่นนั้นเรื่องที่พระชายาติ้งอ๋องร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงครั้งแรกก็ถูกหลิ่วกุ้ยเฟยต่อว่า คงทำให้ทั้งเมืองหลวงครึกครื้นขึ้นมาได้เลยทีเดียว
เมื่อได้ยินที่หลิ่วกุ้ยเฟยต่อว่า เยี่ยหลีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หากนางจำไม่ผิด หลิ่วกุ้ยเฟยคนนี้ชื่นชอบม่อซิวเหยา แต่นางไม่ใช่แม่ของเขามิใช่หรือ น้ำเสียงดูถูกเช่นนี้นี่มันเรื่องอะไรกัน “เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่มีความสนใจด้านการร่ายรำ อีกอย่าง…ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่ได้ต้องการชายาที่ร่ายรำเก่งจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง ส่วนเรื่องวิชาเพลงกระบี่นั้น…ดูเหมือนจะไม่ใช่วิชาที่คุณหนูในเมืองหลวงต้องศึกษานะเพคะ”
หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะเบาๆ “เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าฝีมือการวาดภาพของเจ้าก็แสนธรรมดา แม้แต่การเขียนกลอนก็ยังต้องมีคนช่วยเจ้าเขียน เจ้าระวังตัวให้ดีเถิด หากกล้าทำให้ขายหน้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
เหนียงเหนียง ท่านไม่ใช่มารดาของม่อซิวเหยาจริงๆ หรือ