ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 61-2 อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา
เยี่ยหลีปฏิเสธเรื่องที่ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาบอกว่าจะหาอาจารย์มาฝึกเพลงกระบี่ให้กับนาง ในทุกวันนอกเหนือจากคอยจัดการเรื่องต่างๆ ภายในตำหนักและดูแลม่อซิวเหยาแล้ว เวลาที่เหลือนางทุ่มเทให้กับสนามฝึกลับภายในตำหนัก มุ่งมั่นฝึกฝนพละกำลังและความเร็วของตนเอง ขณะเดียวกันก็ค่อยฝึกกำลังภายในตามที่ม่อซิวเหยาแนะนำ แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่า การฝึกกำลังภายในนั้นไม่ใช่ว่าคิดจะทำก็ทำได้เลย เพราะเรื่องกำลังภายในที่ว่านี้ ว่ากันว่าสามารถฝึกจนถึงขั้นสามารถแยกภูเขาหรือหินได้เลยทีเดียว เยี่ยหลีเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องใช้มือตนเองในการแยกภูเขาหรือหินด้วยเล่า หากสามารถฟื้นร่างกายจนอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของนางได้แล้ว ต่อให้ไม่มีกำลังภายใน หมัดของนางก็สามารถต่อยกระดูกคนให้หักได้แล้ว แต่ที่ทำให้เยี่ยหลีพอใจก็คือ ร่างกายนี้มีความสามารถที่ซ่อนอยู่พอตัวทีเดียว อย่างที่ม่อซิวเหยาบอกว่า ถือได้ว่าเป็นร่างกายที่เหมาะแก่การฝึกการต่อสู้
ดังนั้น เยี่ยหลีจึงใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันอยู่ในสนามฝึกซ้อมที่ถูกนางปรับเปลี่ยนไปไม่น้อย ด้วยมีเพียงนางกับม่อซิวเหยาที่มาใช้สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ได้เข้ามายุ่งว่านางจะเปลี่ยนอะไรอย่างไร หรือจะฝึกซ้อมอย่างไร เพียงแค่บางครั้งที่ไม่มีธุระอะไรก็จะมาดูนางฝึกอยู่ที่ข้างสนาม มีเพียงอาจิ่นที่ตั้งแต่ได้เห็นฝีมือของเยี่ยหลีในการจัดการกับศัตรูแล้วก็ได้แต่เฝ้าคิดถึง ทุกครั้งที่ติดตามม่อซิวเหยามาก็จะตั้งหน้าตั้งตาดูเยี่ยหลีกับชิงซวงและชิงหลวนที่มาร่วมฝึกด้วย ขาดก็แค่ยังไม่ได้ขอให้พระชายารับตนเป็นศิษย์เท่านั้น
ม่อซิวเหยาเกิดมาในตระกูลที่เป็นชายชาติทหาร ในตอนนี้เขายังดูไม่ออกจริงๆ ว่าการฝึกของเยี่ยหลีมีข้อดีอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็ค่อยๆ เข้าใจถึงวิธีการ เมื่อเขาเห็นอาจิ่นจ้องมองร่างของหญิงงามทั้งสามคนฝึกฝนกันอยู่ในสนามอย่างน่าสงสาร ม่อซิวเหยาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้องแทนเขา เมื่อเยี่ยหลีได้ฟังก็เพียงหัวเราะ
“ตอนนี้ข้าเพียงฝึกให้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาเท่านั้น ความสำคัญตอนนี้คือการฝึกพละกำลัง ความเร็ว และความอดทน ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร อาจิ่นเพียงแค่ต้องติดตามท่านทุกวันคงไม่มีเวลาเท่านั้นเอง”
ฟื้นฟูคำนี้ทำให้ม่อซิวเหยาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อาหลีคิดว่าการฝึกเช่นนี้จะทำให้สามารถต่อกรกับผู้มีวิชาที่ฝีมือดีได้หรือ”
เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รับผ้าเช็ดหน้าจากมือม่อซิวเหยามาซับเหงื่อ “แล้วแต่คนกระมัง วิธีการนี้ของข้าสำคัญที่ใช้เวลาน้อย อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถ พรสวรรค์ และความเข้าใจเฉพาะตัวของแต่ละคนมากนัก ยกตัวอย่างเช่นวิธีการฝึกกำลังภายในที่ท่านให้ข้ามาก็แล้วกัน หากไม่คำนึงถึงความฉลาดและความสามารถในการเข้าใจแล้ว ต่อให้ข้าฝึกวันละสิบชั่วยาม จะต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะฝึกได้สำเร็จ”
ม่อซิวเหยานิ่งคิด เยี่ยหลียิ้มตาหยีมองเขา “การฝึกของข้า ถึงแม้จะฝึกจนกระโดดขึ้นหลังคาหรือวิ่งบนกำแพงได้อย่างยอดฝีมือนักบู๊ไม่ได้ แต่อย่างมากหนึ่งปี ก็สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงที่สุดได้ และหากได้ฝึกทักษะของแต่ละด้านอย่างจริงจัง…ยอดฝีมือนักบู๊อย่างไรก็มีเพียงชีวิตเดียว” ม่อซิวเหยาจึงได้เข้าใจ คนที่ร่างกายดีมีมาก แต่ยอดฝีมือนักบู๊กลับมีไม่มากนัก ดังนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ร่างกายแข็งแรงจะสามารถเป็นยอดฝีมือนักบู๊ได้ แต่เยี่ยหลีดูจะค้นหาเส้นทางในการฝึกฝนใหม่ เปิดกำลังภายในทางอ้อม อาศัยกำลังในการฝึกการต่อสู้ดูจะทำให้คนกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้
“ความคิดของอาหลีพิเศษมาก ข้าจะรอชมผลงานของอาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ
“ขอบคุณมาก” เยี่ยหลีหัวเราะ นางไม่ติดหากจะเปิดเผยบางอย่างให้ม่อซิวเหยารู้ เพราะมีเพียงม่อซิวเหยาเท่านั้นที่สามารถให้ในสิ่งที่นางต้องการได้
ทั้งตำหนักนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่พอใจกับความลุ่มหลงในศิลปะการต่อสู้ของเยี่ยหลี นั่นก็คือหลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัว ทั้งสองคนดูจะไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่า เหตุใดคุณหนูที่เคยจะเรียบร้อยและบอบบางเมื่อแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องแล้วถึงได้เปลี่ยนไปชอบถือมีดใช้อาวุธเสียได้ พวกนางถึงขั้นคิดหาทางพูดอ้อมๆ ว่าหญิงสาวที่ดีควรจะสุภาพอ่อนหวาน หากแข็งแกร่งเกินไปจะทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบ พวกนางพร่ำบ่นเสียจนแค่เยี่ยหลีได้ยินเสียงหมัวมัวทั้งสองก็แทบอยากจะหมุนตัววิ่งหนีไปทันที แต่ม่อซิวเหยากลับเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกไปเสียอย่างนั้น จึงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ปล่อยให้เยี่ยหลีถูกหมัวมัวทั้งสองบ่นจนเหนื่อยอ่อนไปเอง
“ท่านอ๋อง พระชายา ตำหนักหลีอ๋องส่งจดหมายเชิญมาพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อนำจดหมายเชิญร่วมงานมงคลสมรสสีแดงสดรูปมังกรหงส์คู่เข้ามาให้ด้วยตนเอง
เยี่ยหลียื่นมือไปรับพร้อมเลิกคิ้ว “หลีอ๋องรับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเข้ามาเป็นชายาหรือ”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็ทราบดีว่าตอนนี้คนที่เป็นชายาหลีอ๋องคือน้องสาวแท้ๆ ของพระชายา จึงเอ่ยปากอธิบายว่า “ในจดหมายเชิญที่ส่งมาจากตำหนักหลีอ๋องเขียนว่ารับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเข้ามาเป็นเป็นพระชายาร่วมพ่ะย่ะค่ะ”
หลายวันนี้ ทั้งเพราะอาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา ทั้งเยี่ยหลีเองก็มัวแต่ยุ่งเรื่องของตนเองอยู่ จึงไม่ได้ไปสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน จนเยี่ยหลีเกือบลืมเรื่องงานแต่งงานขององค์หญิงหลิงอวิ๋นและองค์หญิงซีสยาไปเสียแล้ว
“เช่นนั้น…องค์หญิงซีสยาเข้าวังไปหรือยัง” เยี่ยหลีถามด้วยความอยากรู้
หัวหน้าพ่อบ้านม่อตอบ “องค์หญิงซีสยาตอนนี้ยังอยู่ที่ตำหนักองค์หญิงเจาหยางพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนฮ่องเต้และฮองเฮาจะให้เลือกวันมงคลในเดือนแปดเป็นวันรับองค์หญิงซีสยาเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ แต่ได้พระราชทานพระนามพร้อมยศศักดิ์ลงมาแล้ว องค์ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งองค์หญิงซีสยาให้เป็นสยาเฟยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนทางองค์หญิงหลิงอวิ๋น ด้วยเพราะเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อจะต้องรีบออกเดินทางกลับแคว้นซีหลิง จึงต้องรีบจัดงานแต่งงานให้เร็วหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” ที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อไม่ได้เอ่ยถึงคือ ถึงแม้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะได้เป็นพระชายาร่วม แต่ถึงอย่างไรพระชายาร่วมก็ไม่เหมือนกับพระชายาเอก ย่อมไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมงานให้มากมายเช่นตอนแต่งพระชายาเอก
“งานเลี้ยงจะจัดขึ้นเมื่อใด” ม่อซิวเหยาถาม
“อีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว หัวหน้าพ่อบ้านไปเตรียมของขวัญแสดงความยินดีแทนข้ากับพระชายาที”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อถามด้วยความลังเล “ความหมายของท่านอ๋องคือจะไปร่วมงานแต่งงานหรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องเพิ่งจะถูกลอบสังหารมา การจะออกไปร่วมงานเลี้ยงย่อมน่าเป็นห่วง
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ คงไม่อาจเก็บตัวอยู่แต่บ้านได้กระมัง รีบไปเตรียมการเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านรับคำแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีให้กับหลีอ๋องเท่านั้น เขายังต้องจัดหาองครักษ์และองครักษ์ลับที่ไว้คอยติดตามข้างกายท่านอ๋องและพระชายาอีกด้วย จะต้องให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก
เมื่อเห็นหัวหน้าพ่อบ้านม่อรีบเดินออกไป เยี่ยหลีจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ไม่รู้ทำไม ข้าจึงมักรู้สึกว่าวันสบายๆ กำลังจะหมดลงแล้ว”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เจ้าชอบใช้ชีวิตสบายๆ หรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ให้ดีที่สุดคือสงบสุข ราบรื่นไปจนแก่ จากนั้นก็นอนอยู่บนเตียงรอวันสุดท้ายอย่างไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจภายหลัง”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องฝึกวิชาต่อสู้ด้วยเล่า” ม่อซิวเหยารู้สึกว่าเยี่ยหลีเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตนเองอยู่มาก ถึงแม้นางจะแสดงออกว่าตนเองเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลที่แสนจะสุภาพเรียบร้อย แต่ตั้งแต่พบกันครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่านางไม่เหมือนกับคุณหนูลูกผู้ดีเอาเสียเลย บางครั้งนางยังดูเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่มากกว่ามู่หรงถิงเสียอีก แววตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายออกมาให้เห็นในบางครั้งนั้นยิ่งไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ในหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งแน่นอน
เยี่ยหลีถอนใจ “ท่านคิดเสียว่าข้าเตรียมพร้อมไว้สำหรับเวลาสงบสุขก็แล้วกัน” ต่อให้บอกเขาว่านางต้องการที่จะมีชีวิตอันสงบสุขเฉกเช่นเดียวกับลูกผู้ดีมีตระกูลทั่วไป แต่ในใจเยี่ยหลีรู้ดีกว่า ไม่มีทางที่นางจะยกชีวิตของตนทั้งหมดไปไว้ในมือคนอื่นอย่างเช่นเวินซื่อเด็ดขาด เรื่องที่ท่านพ่อปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เท่าเทียม กฎระเบียบอันซับซ้อน หรือแม้แต่เรื่องงานแต่งงานของตนเอง นางสามารถยอมได้ แต่นางจะไม่มีทางยอมในเรื่องที่เป็นตัวตนของเยี่ยหลีอย่างแน่นอน นางไม่มีทางยอมให้ตนเองกลายเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ทำอะไรไม่เป็น ปกป้องตัวเองยังไม่ได้ ต้องคอยแต่จะพึ่งพาคนอื่น เป็นอันขาด หลายสิ่งหลายอย่างที่นางเตรียมพร้อมไว้ ชาตินี้ทั้งชาตินางอาจจะไม่มีวันได้ใช้มัน แต่นางยินดีที่จะมีมันไว้อย่างนั้นตลอดชีวิต นางไม่อยากให้ถึงวันหนึ่งเมื่อนางต้องการที่จะใช้แล้วกลับพบว่าตนเองไม่มี
“งานสังคมนอกบ้านเหล่านั้น หากอาหลีไม่ชอบจะไม่เข้าไปยุ่งก็ย่อมได้” ม่อซิวเหยากล่าว “จะมีคนคอยจัดการเรื่องเหล่านั้นเอง ถึงอย่างไร…ตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้จำเป็นต้องมีคนไปมาหาสู่ให้มากมายอยู่แล้ว”
เยี่ยหลีเข้าใจ การที่ตำหนักติ้งอ๋องอยู่อย่างเงียบเชียบมาหลายปีนั้น เป็นที่พอใจแก่คนในวังคนนั้นอยู่แล้ว หลายปีมานี้ค่อยๆ กดอำนาจบารมีของตำหนักติ้งอ๋องในต้าฉู่ลง หากมาตอนนี้ นางที่เพิ่งได้เป็นชายาติ้งอ๋องทำให้ตำหนักติ้งอ๋องกลับมามีชีวิตชีวามากจนเกินไป มีแต่จะทำให้ฝ่าบาทเกิดความเคลือบแคลงใจขึ้นมาอีก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในหัวของเยี่ยหลีก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา “เหตุใดจู่ๆ แคว้นหนานจ้าวกับแคว้นซีหลิงจึงได้คิดอยากจะสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับต้าฉู่หรือ”
เหตุผลที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นบอกก่อนหน้านี้เป็นแค่เพียงเหตุผลเด็กๆ เท่านั้น แคว้นซีหลิงกับต้าฉู่ดูจะเป็นคู่อริที่สวรรค์กำหนดไว้ เมื่อแคว้นซีหลิงพบเจอกับภัยพิบัติ แค่ต้าฉู่ไม่อาศัยจังหวะนี้เข้าโจมตีก็ถือว่าดีมากแล้ว กับแค่การส่งองค์หญิงคนหนึ่งมาแต่งงานแค่นี้จะช่วยแก้ไขอันใดได้หรือ”
ม่อซิวเหยาตาเป็นประกาย “หนานจ้าวก็เพียงแค่ตามน้ำ คนที่อยากสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับต้าฉู่จริงๆ คือซีหลิง”
เยี่ยหลีหลุบตาลง นางรู้สึกว่าความคิดในหัวของตนวิ่งกลับไปกลับมารวดเร็วเกินไป แต่คิดไม่ตกสักเรื่อง ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงได้เงยหน้าขึ้นถามว่า “หากต้าฉู่ต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ตำหนักติ้งอ๋องจะทำอย่างไร”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป ในดวงตาปรากฏแววแห่งความเศร้าโศกที่ยากจะสังเกตเห็นได้ ครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีคนที่สามารถไปออกรบได้อีกแล้ว อีกไม่เกินห้าปี ความยิ่งใหญ่กว่าร้อยปีของตำหนักติ้งอ๋องจะสูญสลายไป”