ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 63-2 จุดเปลี่ยนอันน่าตื่นเต้นในงานแต่งงาน
เยี่ยหลีเดินนำเยี่ยอิ๋งออกมายังสวนดอกไม้ ถึงแม้เยี่ยหลีจะพยายามเลือกเดินไปยังทางที่ห่างไกลจากผู้คน แต่ด้วยฐานะของทั้งสองก็ยังทำให้เป็นจุดสนใจของคนไม่น้อยอยู่ดี ยังดีที่ทุกคนยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร รู้ดีว่าพระชายาติ้งอ๋องและพระชายาหลีอ๋องต้องการพูดเรื่องในอดีตฉันพี่น้องกันสองคนจึงไม่มีใครเข้ามารบกวน เยี่ยหลีเหลือบมองเยี่ยอิ๋งที่กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นอย่างน้อยอกน้อยใจแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว ได้แต่ถามขึ้นว่า “นี่เจ้าเป็นอะไรไปกัน ชายาร่วมของม่อจิ่งหลียังไม่ทันได้แต่งเข้ามาเลยนะ ท่าทางน้อยอกน้อยใจของเจ้าทำให้ใครดูกัน”
เยี่ยอิ๋งจ้องหน้านางอย่างโกรธๆ เอ่ยถามเสียงอ่อนว่า “ท่านว่า…ท่านอ๋องเขารักข้าด้วยใจจริงหรือไม่”
เยี่ยหลีได้แต่กลอกตาในใจ หากเขารักเจ้าด้วยใจจริงคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นหรอก
“ตอนแรก…เขาเคยพูดว่าเขาชอบข้าเพียงคนเดียว จะดีกับข้าเพียงคนเดียว”
เยี่ยหลีพยายามไม่ให้สีหน้าเรียบเฉยของตนเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว ในหัวพยายามนึกภาพคนหน้าตายอย่างม่อจิ่งหลีเอ่ยพร่ำคำรักกับเยี่ยอิ๋ง ในใจนึกขนลุก ชายหนุ่มหน้าตายที่จะแสดงอะไรออกมาสักนิดยังยากแสนยาก เจ้าต้องมีสายตาที่ดีเยี่ยมเพียงใดกันจึงทำให้ตัวเองเชื่อว่าเขาจริงใจต่อเจ้าได้
“ทำไม…ทำไมตั้งแต่แต่งงานมาแล้วทุกอย่างจึงได้เปลี่ยนไป” เยี่ยอิ๋งถามขึ้นอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“เรื่องนี้…” เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนเองอยู่ดีๆ ก็มีวิญญาณแม่พระเข้าสิง ถึงขั้นนึกอยากเอ่ยปลอบเยี่ยอิ๋ง “นั่นมีประโยคหนึ่งพูดว่าอะไรนะ…การแต่งงานเป็นหลุมศพของความรักหรือ ในเมื่อเจ้าลงมานอนอยู่ในหลุมศพแล้วก็อย่าได้ไปคิดถึงเรื่องในอดีตอีกเลย” รีบตายรีบเกิดใหม่ดีกว่า ความรักหรือ อย่าโง่ไปหน่อยเลย นั่นเป็นเรื่องนอกเหนือจากหลุมศพไปอีก คำพูดแปลกๆ ของนางที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นนั้น ทำให้เยี่ยหลีถึงกับอึ้งไป หลุบตาลงพึมพำเสียงเบาว่า “หลุมศพ…ข้า ที่แท้ข้าไม่ควรแต่งงานหรอกหรือ” เยี่ยหลีได้แต่คิดอยากจะตบปากตัวเองเสียทีหนึ่ง แต่นางยังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าเช่นเดิมว่า “แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ ชายหญิงจะเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องเมื่อแต่งงาน ต่อให้เจ้าไม่ลงหลุมนี้อย่างไรเสียก็ต้องไปลงหลุมอื่น อย่างน้อยหลุมนี้ก็ดูดีหน่อยมิใช่หรือ เจ้าลองดูคุณหนูคุณชายทั้งหลายสิ ก่อนแต่งงานต่างก็รักกันหวานชื่น แต่เจ้าเคยเห็นหนังสือเล่มไหนที่เขียนเรื่องหลังแต่งงานของคุณชายมากความสามารถกับหญิงสาวผู้เลอโฉมหรือไม่”
เยี่ยอิ๋งอึ้งไป ได้แต่ส่ายหน้า เยี่ยหลีพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่ถึงจะถูก ก่อนหน้าแต่งงานก็เป็นเรื่องของความรักใคร่ คลั่งไคล้ในกันและกัน หลังแต่งงานก็เป็นเรื่องการใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาและลูกน้อย เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย ในเมืองหลวงนี้มีคนกว่าเก้าในสิบส่วนต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ ไม่มีใครเขาหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”
เยี่ยหลีจ้องมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าประหลาด ประหนึ่งชีวิตนี้ไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้พูดขึ้นอย่างขัดใจว่า “เหตุใดท่านจึงไม่เป็นเช่นนี้ ในตำหนักติ้งอ๋องมีนายเพียงท่านกับติ้งอ๋องเพียงสองคนเท่านั้น”
เอ๋ แม่นางนี่เจ้ากำลังอิจฉาข้าหรือ เยี่ยหลีโบกมือ “สถานการณ์ของพวกเราไม่เหมือนกัน เจ้าลองคิดดู หากให้เจ้าแต่งงานกับท่านอ๋องของข้าเจ้าก็คงไม่ยอมใช่หรือไม่ ข้าเดาว่าคนส่วนมากคงไม่มีใครยอม เช่นนี้แล้ว…ท่านอ๋องก็จะมีแต่ข้าแล้วมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นหรือ” เยี่ยอิ๋งก้มหน้าใช้ความคิด เยี่ยหลีไม่ได้สนใจว่านางคิดอะไรอยู่ นางยังจำได้อยู่ว่าตนเองไม่ได้มาเพื่อเป็นเพื่อนคุยหรือช่วยรักษาสภาพจิตใจให้กับเยี่ยอิ๋ง เมื่อเห็นเยี่ยอิ๋งกำลังนิ่งคิดอย่างเหม่อลอย เยี่ยหลีจึงเอ่ยถามขึ้นโดยบังเอิญว่า “จะว่าไป…ข้าไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะชอบหลีอ๋อง ข้ายังคิดว่าเจ้าจะชื่นชอบคุณชายที่สุภาพสง่างามอย่างคุณชายเจ้าสำราญเสียอีก”
เยี่ยอิ๋งจึงเรียกสติกลับมาได้ หน้าซับสีเลือดขึ้น จ้องนางพร้อมกัดริมฝีปาก “ตอนนี้ท่านมาโทษเรื่องที่ข้าแย่งหลีอ๋อง หรือว่ามาหัวเราะเยาะข้ากัน”
เปล่า ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้าต่างหาก เยี่ยหลีจับมือนางขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงลึกซึ้งว่า “ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ หรือว่าน้องสี่คิดจริงๆ ว่าข้าจะนึกเกลียดเจ้าเพียงเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว ก่อนหน้านี้ข้าเพียงแค่โกรธที่เจ้าไม่บอกความจริงกับข้าเท่านั้นเอง ถึงแม้พวกเราจะไม่ค่อยถูกกันมาตั้งแต่เล็กๆ แต่หากเป็นของที่เจ้าชอบ ข้าเคยแย่งเจ้าหรือ หากตอนนั้นเจ้าพูดกับข้าดีๆ พวกเราก็จะได้ยกเลิกงานหมั้นกันอย่างลับๆ ก่อน จะได้ไม่เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทำให้ทุกคนต้องขายหน้า”
เยี่ยอิ๋งมองสีหน้าจริงใจของเยี่ยหลีอย่างเคลือบแคลงใจ นึกย้อนกลับไป ตั้งแต่เล็กจนโตนางเคยแย่งของเยี่ยหลีมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งเยี่ยหลีไม่เคยที่จะพูดอะไร (นั่นเพราะนางขี้เกียจจะสนใจหรอก) เพียงแต่ตอนนั้นนางอยากให้เรื่องที่เยี่ยหลีถูกถอนหมั้นรู้กันไปทั่วจนทำให้นางขายหน้า จะได้คิดได้อย่างไรว่าสุดท้ายแล้วคนที่เสียหน้าจะเป็นตัวนางเอง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ต่อให้เยี่ยอิ๋งเป็นคนที่ทระนงตนอย่างไรก็ยังอดรู้สึกทำอะไรไม่ถูกไม่ได้ แต่นางไม่มีทางยอมรับ เยี่ยหลีไม่ได้สนใจว่านางจะมีสีหน้าเช่นไร นางถอนใจและพูดอย่างอ้อมๆ ว่า “ว่าไปแล้ว ข้าคิดมาเสมอว่าน้องสี่จะได้แต่งงานกับคุณชายมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คุณชายมากความสามารถกับหญิงสาวผู้เลอโฉมช่างสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก นี่ช่าง…เล่นตลกกับชีวิตคนเสียจริง”
เยี่ยอิ๋งนึกอายจนหน้าแดง แน่นอนนางย่อมเคยวาดฝันว่าชายหนุ่มในฝันของตนจะเป็นอย่างไร และเคยวาดฝันว่าคุณชายเจ้าสำราญผู้หล่อเหลาในชุดสีขาวพริ้วไหวกำลังจูงมือนางอย่างอบอุ่น พร้อมจ้องมองนางด้วยสายตารักใคร่อย่างลึกซึ้ง เพียงแต่ต่อมาเมื่อได้รู้จักกับหลีอ๋อง ฐานะของหลีอ๋องกับการที่จะเหยียบเยี่ยหลีให้จมดินได้ทำให้นางค่อยๆ ลืมสิ่งที่ตนเองวาดฝันไว้ จนเมื่อนางหลงรักหลีอ๋องเข้าจิรงๆ จึงยิ่งรู้สึกว่านั่นเป็นเพียงความคิดในวัยเด็กของนางเท่านั้น แต่มาตอนนี้ สามีในฝันที่นางรักใคร่ด้วยใจจริงกลับทำกับนางเช่นนี้…หากว่า…หากว่าเป็นคนอื่น จะไม่มีทางทำกับนางเช่นนี้เป็นแน่…เยี่ยอิ๋งเกิดความสับสนขึ้นในใจ
“ท่าน…ท่านไม่โกรธข้าจริงๆ หรือ” เยี่ยอิ๋งมองนางอย่างลังเล
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “คราวก่อนเจ้าก็พูดไปแล้ว ว่านั่นเป็นความต้องการของท่านพ่อมิใช่หรือ อาจเป็นเพราะท่านพ่อเห็นว่าข้าไม่เหมาะกับหลีอ๋องกระมัง แต่ตอนนี้ข้าว่าท่านพ่อทำถูกแล้ว ข้ากับหลีอ๋องไม่เหมาะสมกับจริงๆ ข้าพอใจกับชีวิตข้าตอนนี้มาก ติ้งอ๋องก็ดีมาก” เมื่อเห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและโอนอ่อนของเยี่ยหลีทำให้ความเคลือบแคลงใจของเยี่ยอิ๋งค่อยๆ หายไป ก่อนกัดมุมปากอย่างน้อยใจ “ท่านพ่อคงไม่เพราะรู้ดีว่าหลีอ๋องเป็นเช่นนี้จึงได้ให้ข้าแต่งงานกับเขาหรอกกระมัง ท่านแม่มักพูดเสมอว่าท่านพ่อกับท่านย่าเห็นท่านสำคัญที่สุด ท่านพ่อต้องคิดว่าหลีอ๋องไม่ดีแน่ๆ ถึงได้ให้ข้ามาแทนที่ท่าน” เยี่ยหลีถึงกับมองขึ้นฟ้า นั่นเป็นเพราะแม่เจ้าอยากให้เจ้าเกลียดข้าต่างหากเล่า เหตุใดข้าจึงดูไม่ออกเลยว่าสองคนนั้นเห็นข้าสำคัญ นางหันไปมองเยี่ยอิ๋ง แล้วเยี่ยหลีก็อดรู้สึกสงสารเจ้ากรมเยี่ยขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นลูกสาวสุดที่รักที่เขาเฝ้าประคบประหงมมาด้วยสองมือเชียวนะ
“ใครไม่รู้บ้างว่าท่านพ่อรักเจ้าเป็นที่สุด คงเพราะคนมักมีสิ่งที่มองพลาดกันได้กระมัง เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นท่านพ่อพูดกับเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ…ท่านพ่อบอกว่า ข้ากับพี่เจาอี๋เป็นพี่น้องแท้ๆ พี่เจาอี๋ย่อมรักใคร่ข้ามากกว่าเป็นธรรมดา หากข้าแต่งงานกับหลีอ๋องก็จะสามารถช่วยพี่เจาอี๋ได้มากกว่า หากมีพี่เจาอี๋อยู่ก็จะไม่มีใครกล้ารังแกข้า อีกอย่าง…หากข้าไม่แต่งงานกับหลีอ๋อง ต่อไปก็คงทำได้เพียงเลือกแต่งงานกับบุตรชายของขุนนางในราชสำนักสักคนเท่านั้น” หากเป็นเช่นนั้น เยี่ยหลีที่ได้แต่งงานกับหลีอ๋องและได้เป็นชายาหลีอ๋องแล้ว ตัวนางก็จะต้องอยู่ต่ำกว่าเยี่ยหลีไปตลอดชีวิตมิใช่หรือ
เยี่ยหลีพยักหน้า หากในตอนนั้นสถานการณ์ของนางกับติ้งอ๋องจะไม่ได้แปลกกว่าธรรมดาเช่นนั้น ฮ่องเต้ไม่มีทางให้บุตรสาวสองคนของเจ้ากรมเยี่ยแต่งงานกับท่านอ๋องของราชวงศ์เป็นอันขาด เพียงแต่…เท่านี้เองหรือ เยี่ยหลีรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ท่านพ่อของนางให้บุตรสาวคนเล็กแย่งคู่หมั้นบุตรสาวคนโตเพียงเพราะความลำเอียงอย่างนั้นหรือ คิดอย่างไรก็ดูไม่สมเหตุสมผล จะต้องมีเรื่องที่นางยังไม่รู้อีกเป็นแน่ แต่ดูจากท่าทีของเยี่ยอิ๋งแล้วนางคงไม่รู้ความจริงเช่นกัน แต่เวลาที่ผ่านมานี้ ทำให้เยี่ยหลีเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า เยี่ยอิ๋งผู้เย่อหยิ่ง ทระนงตน ทั้งยังมีนิสัยเห็นแก่ตัวคนนี้ แต่เมื่อพูดถึงตัวตนที่แท้จริงแล้ว ความอาฆาตของนางเกรงว่าจะยังสู้เยี่ยซานและเยี่ยหลินไม่ได้เสียด้วยซ้ำ นางเพียงถูกหวังซื่อตามใจจนเกินไปเท่านั้น นางเป็นพวกเจ็บแต่ไม่จำที่แท้จริง ถึงแม้นางจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยจับตัวไปอบรมสั่งสอนมาหลายครั้ง แต่ผ่านไปไม่กี่วันนิสัยเดิมก็กลับมาอีก
เมื่อคิดดูแล้วว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากคำพูดของเยี่ยอิ๋ง เยี่ยหลีจึงเตรียมที่จะลุกขึ้นเดินไป แต่กลับถูกเยี่ยหลีจับไว้ “ข้าควรทำอย่างไรดี”
ข้าไม่ใช่แม่เจ้าเสียหน่อย เยี่ยหลีอดทนไว้ “เจ้าเป็นชายาเอกของหลีอ๋อง ต่อให้เป็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็จะไม่มีทางมีฐานะสูงไปกว่าเจ้า ขอเพียงเจ้าสามารถมัดใจม่อจิ่งหลีไว้ได้ และอย่าให้เสียนเจาไท่เฟยเกลียดเจ้า เจ้าย่อมใช้ชีวิตต่อไปได้ไม่ยากนัก” เยี่ยอิ๋งถลึงตามองนางด้วยความไม่พอใจ นางไม่ได้อยากใช้ชีวิตอย่างไม่ยากนัก แต่นางอยากใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจต่างหาก เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจหนักๆ “เช่นตอนนี้ เจ้าควรไปอยู่ต้อนรับแขกเป็นเพื่อนเสียนเจาไท่เฟย ให้ทุกคนได้รู้ว่าเจ้านี่แหละที่เป็นชายาเอกที่แท้จริงแห่งตำหนักหลีอ๋อง เข้าใจหรือไม่ หากมีคำถามอะไรอีกก็กลับไปให้ท่านย่าช่วยสั่งสอนเสีย เจ้าคงไม่คิดว่าข้าที่เพิ่งแต่งงาน ทั้งยังไม่มีแม่สามีต้องคอยเอาใจจะเข้าใจเรื่องพวกนี้มากกว่าท่านย่าหรอกกระมัง” การดึงผู้อื่นให้มารับเคราะห์แทนนั้นเยี่ยหลีไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าย่อมยินดีที่จะชี้แนะนางอยู่แล้ว “แต่หากเจ้ามีเรื่องไม่สบายใจ จะเขียนจดหมายมาหาข้าก็ย่อมได้ หากมีเรื่องที่คิดไม่ตก ข้ายังพอสามารถช่วยเจ้าออกความเห็นได้บ้าง ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ” ดังนั้น ไม่ว่าตระกูลเยี่ยหรือตำหนักติ้งอ๋องมีเรื่องอะไร เจ้าจะต้องแอบบอกข้า