ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 64-1 ฝ่าบาท พระสนมของท่านถูก…เสียแล้ว
“กรี๊ด!”
ได้ยินเสียงก็เรื่องหนึ่ง ได้เห็นภาพก็อีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดก็มีคุณหนูคนหนึ่งเรียกสติกลับคืนมาได้ ก่อนกรีดร้องออกมาอย่างอดไม่อยู่ จู่ๆ จึงมีเสียงแหลมบาดหูดังขึ้นพักหนึ่ง เยี่ยหลีได้แต่นึกอย่างนวดหู คุณหนูผู้น่าสงสารกลับไปรีบดื่มชาสงบจิตหลายๆ ถ้วยเถิด ยังโชคดี ถึงแม้คนข้างในจะกำลังเคลิบเคลิ้มกันมาก แต่การที่ประตูถูกกระแทกเปิดออกทั้งยังมีคนพุ่งตัวเข้าไปข้างในเช่นนี้ก็ยังทำให้พอรู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง ดังนั้นเมื่อประตูถูกเปิดออก คนข้างในจึงรีบตลบผ้าห่มขึ้นห่มร่างทั้งสองคนไว้มิดชิดโดยเร็ว แต่อันที่จริงก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะยังมีผ้าม่านผืนบางช่วยบังไว้อีกชั้นหนึ่งแน่ะ เยี่ยหลีลอบคิดในใจ
แต่สาวใช้ที่บุกเข้าไปคนนั้นดูจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำลายชื่อเสียงของนายตนง่ายๆ ทันใดนั้นนางก็ยิ่งส่งเสียงดังยิ่งกว่าเดิม “ท่านอ๋อง ท่านทำอันใดองค์หญิงเพคะ!”
ยังต้องถามอีกหรือ
เสียงกรีดร้องของสาวใช้คนนั้นกลบเสียงกรีดร้องของบรรดาคุณหนูด้านนอกไปจนหมด ทั้งหมดต่างหันมองหน้ากัน นี่เป็นท่านอ๋องกับองค์หญิงท่านไหนกันนะ ตำหนักหลีอ๋องนี่จะจัดงานแต่งงานจะต้องไม่เคยดูฤกษ์มาก่อนเป็นแน่
“ที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ในที่สุดเสียนเจาไท่เฟยก็รีบร้อนเดินนำคนเข้ามา เมื่อเห็นตรงปากประตูมีคนจำนวนมารายล้อมอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงขรึม เสียนเจาไท่เฟยก็พอรู้ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอันใด คนที่ตามมาด้วยจึงมีไม่มากนักและดูจะเป็นคนที่ยากจะปฏิเสธได้ แต่สำหรับเยี่ยหลีแล้วก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าใด
“ไท่เฟย ที่นี่…” เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “อย่างไรก็ให้คุณหนูทุกท่านออกไปพักก่อนเถิดเพคะ”
สายตาที่เสียนเจาไท่เฟยมองเยี่ยหลีมีประกายเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “พระชายาพูดถูกแล้ว ทำให้คุณหนูทุกท่านตื่นตกใจแล้ว เชิญออกไปพักผ่อนดื่มชากันก่อนเถิด” แน่นอนว่าทุกคนย่อมเอ่ยรับคำ คุณหนูสูงศักดิ์ทุกคนต่างพากันซอยเท้าถี่เดินออกไปจากที่ที่บรรยากาศแปลกประหลาดเช่นนี้ เยี่ยหลีเดินตามคนกลุ่มใหญ่ เตรียมที่จะออกไปด้วยเช่นกัน แต่กลับถูกเยี่ยอิ๋งที่ยืนอยู่ข้างเสียนเจาไท่เฟยคว้าตัวไว้ “พี่สาม ท่านอยู่ก่อนได้หรือไม่ พวกเรา…ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นข้างใน…” เสียนเจาไท่เฟยเองก็พยักหน้า “ถูกแล้ว ชายาติ้งอ๋องอยู่ที่นี่ด้วยก็ดีเหมือนกัน หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจะได้ช่วยเป็นพยานได้ พวกเราเข้าไปดูกันก่อนเถิด”
เยี่ยหลีไม่รู้ว่าตนควรจะทำหน้าเช่นใดดีจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ถ้าเช่นนั้น…ให้ทั้งสองท่านที่อยู่ด้านในจัดการตนเองให้เรียบร้อยก่อนค่อยออกมาเถิดเพคะ”
เสียนเจาไท่เฟยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเอ่ยเสียงขรึมกับคนด้านในว่า “บังอาจ ยังไม่ออกมาอีก!”
มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากภายใน เกิดเสียงวุ่นวายอยู่พักหนึ่งแล้วไม่นานก็มีร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากฉากบังตาตามมาด้วยร่างอันบอบบางของหญิงสาว
“หลีเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!” เสียนเจาไท่เฟยเอ่ยเสียงเข้มขึ้น ชายหนุ่มร่างใหญ่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยสีหน้าเรียบเฉย หากไม่ใช่ม่อจิ่งหลีที่ควรจะอยู่รับแขกที่โถงหน้าแล้วแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
“ท่านอ๋อง!” เยี่ยอิ๋งร้องเสียงแหลมขึ้น ก่อนชี้ไปยังทั้งสองที่เดินออกมา ร่างของหญิงสาวโอนเอนจนเกือบยืนไม่อยู่ ทุกคนต่างเลื่อนสายตาจากม่อจิ่งหลีไปยังร่างของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเขา เพียงเห็นหญิงสาวผู้นั้นกับม่อซิวเหยาเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย ผ้าผ่อนหลุดรุ่ย ดวงตาเย้ายวนของนางมีหยดน้ำตาคลออยู่ รอยแดงอ่อนๆ มีตั้งแต่ที่คอเรื่อยไปจนถึงบริเวณคอเสื้อ “องค์หญิงซีสยา…” น้ำเสียงของหนานโหวฮูหยินที่ยืนอยู่หลังองค์เสียนเจาไท่เฟยนั้นสั่นน้อยๆ ถึงแม้องค์ฮ่องเต้จะยังไม่รับองค์หญิงซีสยาเข้าเป็นพระสนมอย่างเป็นทางการ แต่ตระกูลผู้มีอิทธิพลที่มีแหล่วงข่าวของตนเองอย่างพวกเขา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่า ในวังกำลังจัดเตรียมพิธีแต่งตั้งนางให้เป็นพระสนม แม้แต่ราชทินนาม กรมพิธีก็ได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว
หนานโหวฮูหยินมองชายาติ้งอ๋องที่กำลังประคองเยี่ยอิ๋ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ไท่เฟย ชายาติ้งอ๋อง ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนัก พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากันเถิดเพคะ” เยี่ยหลีพยักหน้า “ฮูหยินพูดถูก ไท่เฟย มีเรื่องอันใดไว้ออกไปก่อนค่อยพูดกันเถิดเพคะ” เสียนเจาไท่เฟยมองม่อจิ่งหลีและองค์หญิงซีสยาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนพยักหน้า “ชายาติ้งอ๋องพูดถูก พวกเราออกไปกันก่อนเถิด พวกเจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วรีบออกไปเดี๋ยวนี้!”
เมื่อกลับไปยังห้องโถงใหญ่แล้ว ผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างถูกไท่เฟยให้คนนำไปพักผ่อนยังเรือนอีกด้านแล้ว แต่อย่างเยี่ยหลีและคนอื่นๆ ต่างก็ปลีกตัวกันออกไปไม่ได้แล้ว เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของหนานโหวฮูหยินรวมถึงบรรดาฮูหยินที่ติดตามเสียนเจาไท่เฟยมาแล้ว ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนจิตใจสงบอยู่มากทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับนางอยู่แล้ว ถือเสียว่ามาดูละครก็แล้วกัน
เยี่ยอิ๋งนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างๆ เสียนเจาไท่เฟย ทำให้บรรยากาศภายในที่ดูอึมครึมยิ่งดูมืดครึ้มหนักขึ้นไปอีก เสียนเจาไท่เฟยเห็นนางร้องไห้จนหมดความอดทนจึงหันไปมองนางพร้อมพูดเสียงเย็นว่า “หุบปาก! ทำเป็นแต่ร้องไห้!” เยี่ยอิ๋งไม่สนใจว่าไท่เฟยกำลังโกรธ เรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวนี้กระทบกระเทือนจิตใจนางมากที่สุด ยังมีเรื่องอันใดที่เลวร้ายไปกว่าการที่คนที่ตนรัก คนที่เป็นสามีของตน ในวันที่กำลังจะแต่งชายาร่วมเข้ามายังเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกับหญิงอีกคนคนหนึ่ง “ท่านอ๋องทำเรื่องเช่นนี้ เหตุใดไท่เฟยจึงได้ว่าข้า ไม่ใช่ความผิดข้า…”
เสียนเจาไท่เฟยพูดด้วยความรำคาญว่า “หุบปากแล้วไปนั่งตรงอื่นเสีย!”
เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น ต่อให้เสียนเจาไท่เฟยคิดอยากจะปิดแต่ก็คงปิดไม่ได้ อีกอย่างวันนี้มีคนอยู่ที่นี่มีมากเกินไป ระหว่างทางที่พวกนางเดินมาเห็นสีหน้าของผู้หญิงเหล่านั้นก็รู้ว่าพวกนางกว่าครึ่งต่างรู้แล้วว่าเกิดอันใดขึ้นที่นี่ เสียนเจาไท่เฟยเองก็มิอาจปิดหูปิดตาคนได้ จึงได้ส่งคนไปเชิญราชนิกุลที่ใกล้ชิดกับตำหนักหลีอ๋องจากโถงหน้าเข้ามา ส่วนอีกด้านก็ให้ส่งม้าเร็วไปรายงานองค์ไทเฮาที่ยังไม่ได้ออกจากวังมาเป็นประธานในงานแต่งงานให้กับบุตรชาย
รอจนพระญาติสนิทจากโถงหน้ามากันพร้อมแล้ว ม่อจิ่งหลีกับองค์หญิงซีสยาต่างจัดการตนเองเรียบร้อยแล้วต่างก็เดินตามกันเข้ามาพอดี เยี่ยอิ๋งมององค์หญิงซีสยา ถึงแม้จะดูออกว่าพยายามหวีผมเผ้าล้างหน้าล้างตาอย่างดีแล้ว แต่สีหน้าสีตายังคงดูอ่อนหวาน และยังมีความเขินอายจากเหตุที่เกิดเหตุบนเตียงเมื่อครู่อยู่ นางแค้นใจเสียจนพุ่งออกไปฉีกนางเป็นชิ้นๆ “เจ้าคนสารเลว!” องค์หญิงซีสยามองเยี่ยอิ๋งที่พุ่งตัวเข้ามาหานาง ด้วยอารามตกใจทำให้นางถอยไปข้างหลังจนสะดุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของม่อจิ่งหลีพอดี เยี่ยอิ๋งจึงโกรธจนตาแดงขึ้นทันที “เจ้าพวกชายโฉดหญิงชั่ว…เจ้าคนสารเลวข้าจะฆ่าเจ้า…” ทุกคนต่างเข้ามาดึงตัวเยี่ยอิ๋งไว้ ทั้งเอ่ยโน้มน้าวและปลอบโยนให้วุ่นวายไปหมด ทำให้แต่ละท่านที่เดินเข้ามาต่างขมวดคิ้ว
เยี่ยหลีหันไปเห็นม่อซิวเหยาเข้ามาพอดี นางยิ้มน้อยๆ ไม่ได้สนใจเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น ก่อนค่อยๆ เดินเข้าไปรับ “ท่านมาได้อย่างไร”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองเสียนเจาไท่เฟยที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประมุขด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสียนเจาไท่เฟยเชิญท่านลุงและท่านอากับพี่ชายของม่อจิ่งหลีมา หนึ่งในนั้นคนที่มียศศักดิ์สูงที่สุดก็คือท่านติ้งอ๋องจึงย่อมขาดเขาไม่ได้ อีกอย่าง ชายาติ้งอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว จะมีติ้งอ๋องมาเพิ่งอีกคนก็ไม่ต่างอันใด
“จิ่งหลี! นี่เจ้ากำลังเล่นอันใดกัน!” ท่านอ๋องผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่มีหนวดสีขาวและดูมีอำนาจไม่ธรรมดาคนหนึ่ง พูดด้วยความโกรธจนหนวดปลิวขึ้นมา เขาส่งเสียงเหอะๆ ก่อนชี้ไปยังเยี่ยอิ๋งที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ “นี่คือชายาที่เป็นตายอย่างไรก็จะต้องแต่งงานกับนางให้ได้มิใช่หรือ อีกอย่าง…วันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้า เชิญคนมามากมายแต่ตอนนี้เจ้ากลับสร้างเรื่องเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เสด็จพ่อกับเสด็จพี่ของเจ้าขายหน้าจนไม่เหลือแล้ว!”
ม่อจิ่งหลีสีหน้าเรียบเฉย มุมปากกระตุกขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา ท่านอ๋องผู้เฒ่าท่านนี้เป็นพระเชษฐาของฮ่องเต้พระองค์ก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นท่านลุงเพียงคนเดียวของม่อจิ่งฉี แน่นอนว่าย่อมมีอำนาจและอิทธิพลมาก ต่อให้ม่อจิ่งหลีไม่ให้ความสำคัญแต่ก็ไม่อาจขัดแย้งกับท่านลุงท่านนี้ได้ ท่านอ๋องอีกท่านที่อายุอ่อนกว่าเล็กน้อยดึงท่านอ๋องผู้เฒ่าที่กำลังโกรธจัดไว้ “พี่รองระงับความโกรธไว้ก่อน พวกเรานั่งลงฟังจิ่งหลีพูดก่อนเถิด อย่าไปทำให้เด็กๆ ตกใจเลย” ท่านนี้ถึงจะดูอารมณ์เย็นกว่ามาก แต่สีหน้าที่มองม่อจิ่งหลีก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจเช่นเดียวกัน อีกสองท่านที่เหลือต่างมีศักดิ์อาวุโสกว่าม่อจิ่งหลี หลายปีก่อนด้วยเพราะเรื่องของราชบรรลังก์ ทำให้มีความสัมพันธ์กับม่อจิ่งฉีและม่อจิ่งหลีไม่ดีนัก เมื่อได้ยินท่านลุงและท่านอาทั้งสองพูดเช่นนี้จึงต่างหาที่นั่งนั่งลง ถือเสียว่าดูละครก็แล้วกัน
“อาหลีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา
เยี่ยหลีได้แต่มองตอบเขา “บังเอิญพบเข้าน่ะ”
ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ถามอันใดต่อ เขาดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงข้างตน