ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 64-2 ฝ่าบาท พระสนมของท่านถูก…เสียแล้ว
คนทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ นอกจากเยี่ยอิ๋งที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด กับม่อซิวเหยาที่สีหน้าดูสบายๆ แม้จะถูกปกปิดอยู่ครึ่งหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าประดักประเดิด เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่พวกเขาจะพูดกันตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดกว่าทั่วไปอยู่มาก แต่ที่ยิ่งประหลาดกว่าทั่วไปอีกคือคนที่เป็นเจ้าเรื่อง คนหนึ่งเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้ในองค์ปัจจุบัน กับอีกคนที่กำลังจะเป็นพระสนมขององค์ฮ่องเต้ในอนาคต ถึงแม้จะมีคำพูดที่ว่าราชวงศ์ใดไม่มีเรื่องอื้อฉาวบ้าง แต่อย่างน้อยทุกคนต่างก็รู้จักที่จะหาผ้ามาปิดบังความอายไว้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นท่ามกลางคนหมู่มาก จนทำให้ลือกันไปทั่วชนชั้นสูงในเมืองหลวงในชั่วเวลาเพียงไม่นานเช่นเรื่องในวันนี้ ยังไม่เคยเกิดมาก่อนเลยจริงๆ
“หุบปาก! ร้องอันใดอยู่ได้” ท่านอ๋องผู้เฒ่าถูกสียงร้องครวญครางประหนึ่งวิญญาณทำให้รำคาญจนทนไม่ไหว ถึงขั้นต้องตบโต๊ะพร้อมเอ่ยด้วยความโกรธ
เยี่ยอิ๋งตกใจจนสะดุ้งขึ้น พร้อมเสียงสะอื้นที่หยุดลง นิ่งอึ้งมองท่านอ๋องด้วยหยาดน้ำตาเต็มหน้า ท่านอ๋องผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหันไปถามเสียนเจาไท่เฟยว่า “ไท่เฟย นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทางฝั่งฮ่องเต้…” จะไปทูลฝ่าบาทกันว่าอย่างไร ในใจท่านอ๋องผู้เฒ่านั้นรู้ดีว่าที่เสียนเจาไท่เฟยเชิญพวกเขามานั้นด้วยจุดประสงค์อันใด เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นฝ่าบาทย่อมทรงกริ้วมากเป็นแน่ ลักลอบมีสัมพันธ์กับหญิงที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมของฝ่าบาท แค่ฆ่าม่อจิ่งหลียังถือว่าน้อยเกินไป เพียงแต่…เสียนเจาไท่เฟยย่อมไม่อยากให้หลีอ๋องถูกประหาร แน่นอนว่าไทเฮาเองก็เช่นกัน องค์ฮ่องเต้เอง…ก็คงไม่อยากเช่นกัน อีกอย่าง ตอนนี้ฝ่าบาทน่าจะไม่อยากมีเรื่องผิดใจกับแคว้นหนานจ้าว เช่นนั้นพวกเขาจึงต้องช่วยหลีอ๋องขอความเมตตา ให้ฝ่าบาททรงมีทางออก
เสียนเจาไท่เฟยถอนหายใจหนักๆ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ได้ยินแต่เพียงว่าทางนี้เกิดเรื่องขึ้น จึงรีบมาดู ก็เห็น…”
เยี่ยอิ๋งส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนพูดเสียงแหลมขึ้นว่า “จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นได้อีกเล่า ถ้าไม่ใช่นังสารเลวคนนี้ให้ท่าท่านอ๋อง…”
“เยี่ยอิ๋ง!” เสียนเจาไท่เฟยขมวดคิ้วดุจ้องหน้าเยี่ยอิ๋ง “ระวังฐานะของตัวเจ้าด้วย อย่าได้ทำตัวเหมือนพวกหญิงปากตลาดที่ไม่มีการศึกษา! หากเจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ก็กลับห้องเจ้าไปเสีย” เยี่ยอิ๋งกัดมุมปากตนเองพร้อมเมินหน้าหนีไป ท่านอ๋องผู้เฒ่าขมวดคิ้วหันมองไปทางม่อจิ่งหลีที่ยืนอยู่กลางห้องโถง “จิ่งหลี เวลานี้เจ้าควรอยู่ต้อนรับแขกที่เรือนหน้า เหตุใดจึงไปปรากฏตัวอยู่ที่พักของสตรีได้ หรือพอแต่งงานแล้วแม้แต่ธรรมเนียมพื้นๆ เช่นนี้เจ้าก็ลืมไปหมดแล้วหรือ” ม่อจิ่งหลีเดิมทีมีนิสัยเฉยเมยและทระนงตน คาดว่าตั้งแต่เกิดมาคงไม่เคยพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังอยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยาที่เป็นอริกันมาตั้งแต่เล็กๆ กับเยี่ยหลีที่ถูกตนทิ้งไปอีกด้วย ยิ่งรู้เช่นนี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกเสียหน้าหนักเข้าไปใหญ่ สีหน้าบอกชัดว่ากำลังโกรธจัด “มีคนไปเชิญข้าให้มาที่นี่”
“จากนั้นเล่า หลังจากมาแล้วเจ้าจึงได้ร่วมหลับนอนกับพระสนมของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ” ท่านอ๋องหนุ่มที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งเอ่ยขึ้นเยาะๆ พร้อมแววประชดประชันในดวงตา ท่านอ๋องสามสี่ท่านนี้เยี่ยหลีเคยพบหน้าก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งครั้ง ชายคนที่พูดคืออี๋อ๋อง น้องชายต่างมารดาของม่อซิวเหยานาม ม่อจิ่งอี๋ ม่อจิ่งหลีใบหน้าบึ้งตึง ตวัดสายตาคมกริบไปทางเขา ม่อจิ่งอี๋หาได้สนใจไม่ ส่งเสียงหัวเราะเยาะเขาทีหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นไปสำรวจหลังคาห้องแทน
“ใครไปเรียกเจ้ามา แล้วให้ท่านมาพบใครด้วยเรื่องอันใด สถานที่พักผ่อนของสตรีต่อให้เป็นเจ้าก็ไม่อาจเข้าออกได้ตามใจได้ กฎข้อนี้เจ้าไม่รู้หรือ” ท่านอาอ๋องที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วถามด้วยความไม่พอใจเช่นกัน ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ยินดีเท่าไรนัก มาร่วมงานแต่งงานดีๆ แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ หากเป็นเพียงคุณหนูธรรมดาๆ ก็ว่าไปอย่าง อย่างมากก็ให้ม่อจิ่งหลีรับเข้าตำหนัก แต่นี่กลับเป็นถึงองค์หญิง ทั้งยังเป็นองค์หญิงที่วางตัวไว้ว่าจะให้เป็นพระสนมของฝ่าบาทเสียอีก โดนเสียนเจาไท่เฟยลากมาลงน้ำเน่าด้วยเช่นนี้ ต่อให้ไม่อยากร่วมอยู่ด้วยก็คงไม่ได้เสียแล้ว ในตอนนั้น สายตาทุกคนที่มองไปยังองค์หญิงซีสยาประหนึ่งมองหญิงคณิกาก็ไม่ปาน องค์หญิงซีสยาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสีหน้าของทุกคนหมายความเช่นไร นางรีบส่ายหน้า “ไม่…ไม่ใช่ข้า ข้าไม่เคยส่งจดหมายให้ท่านอ๋องมาก่อน”
ท่านอ๋องผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะเบาๆ ยกมือลูบเคราสีดอกเลาแล้วมององค์หญิงซีสยาด้วยหางตา “ไม่เคยหรือ เช่นนั้นเหตุใดหลีอ๋องจึงได้ไปที่ห้องขององค์หญิงได้ ตอนนั้นสตรีทั้งหลายต่างกำลังพูดคุยจิบชากันอยู่ สตรีสาวๆ ทั้งหลายต่างก็เดินเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ เหตุใดองค์หญิงจึงบังเอิญไปอยู่ในห้องพอดีได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ…ดูเหมือนเจาหยางจะไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในคราวนี้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดองค์หญิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ท่านอ๋องผู้เฒ่ายิงคำถามเป็นชุดอย่างคาดคั้น แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จึงไม่มีใครนึกเห็นใจองค์หญิงซีสยาที่มาจากต่างแคว้นคนนี้ องค์หญิงซีสยาส่ายหน้าด้วยท่าทีร้อนรน ไม่เหลือภาพเย่อหยิ่งทระนงตนอย่างในอดีต หันมองทุกคนในห้องโถงที่ต่างมีสีหน้าเรียบเฉยด้วยท่าทีเลิกลั่ก แล้วจู่ๆ แววตาขององค์หญิงซีสยาก็เป็นประกายขึ้น ก่อนชี้ไปยังที่ที่หนึ่ง “นาง! ต้องเป็นนางแน่ๆ ที่ใส่ร้ายข้ากับท่านอ๋อง!”
เยี่ยหลีถูกกล่าวหาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หลายวันก่อนที่นางคาดเดาไว้นั้นไม่ผิดเลย สมองขององค์หญิงต่างแคว้นล้วนมีปัญหากันทั้งนั้น
“ลดมือเจ้าลง มิเช่นนั้น ข้าจะไม่สนว่าเจ้าจะไม่สามารถใช้มือนั่นได้อีกตลอดชีวิต” ม่อซิวเหยามองสีหน้าตื่นตระหนกขององค์หญิงซีสยาด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ องค์หญิงซีสยาตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนกระเถิบตัวเข้าหาม่อจิ่งหลี ไม่ทันเห็นว่าเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้านแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ในต้าฉู่ ข้ามีความแค้นก็กับนางเพียงคนเดียว” องค์หญิงซีสยากัดปากพูดขึ้น “หลีอ๋องก็เช่นกัน หลีอ๋องก็มีความแค้นกับนางเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่ใครต่อใครต่างรู้ดี” องค์หญิงซีสยาไม่ใช่คนเบาปัญญาอย่างแท้จริง นางรู้ดีว่าหากทุกคนคิดว่านางเป็นคนเริ่มยั่วยวนหลีอ๋องก่อน ด้วยฐานะของนางที่กำลังจะเป็นพระสนมขององค์ฮ่องเต้ในอนาคต ต่อให้ต้าฉู่ประหารตนเสีย หนานจ้าวก็คงออกหน้าช่วยนางไม่ได้ ดังนั้นนางจึงต้องปัดความรับผิดชอบนี้ออกไปจากตัวให้สิ้น แต่ด้วยเวลาที่กระชั้นชิด นางจึงคิดไม่ตกจริงๆ ว่าใครที่ต้องการให้ร้ายนาง แต่คนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ก็มีเพียงเยี่ยหลีคนเดียวที่เคยมีความแค้นกับนาง ดังนั้นการโยนความผิดไปให้นางจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“ชายาติ้งอ๋องหรือ” ทุกคนต่างอึ้งไป
เยี่ยหลีได้แต่ถอนใจ “องค์หญิง ข้ากับท่านอ๋องมาถึงที่ตำหนักนี้เมื่อตอนประมาณยามเว่ย[1]สามเค่อ จากนั้นข้าก็ได้ไปพบไท่เฟยกับฮูหยินทุกท่าน ตอนประมาณยามเซิน[2] ข้าออกมาพร้อมกับน้องสี่ พูดคุยกันอยู่ในสวนดอกไม้ไม่ถึงหนึ่งเค่อดี จากนั้นข้าก็อยู่กับคุณหนูทั้งสามจากจวนหวา จวนฉิน และจวนแม่ทัพมู่หรง แล้วพวกเราก็พูดคุยกันอยู่แต่ในสวนดอกไม้ ในสวนมีคุณหนูอยู่กันเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าทุกคนสามารถเป็นพยานได้ อีกอย่าง ตอนที่พวกเราพบท่านทั้งสองกำลังเอ่อ…นั้น เป็นยามเซินยังไม่ถึงสองเค่อดี พูดอีกอย่างก็คือตั้งแต่ที่ข้ามาถึงตำหนักหลีอ๋องจนกระทั่งเกิดเรื่อง ยังไม่ทันหนึ่งชั่วยามดี อันที่จริงช่วงเวลาที่คนสามารถสงสัยได้ก็มีเพียงช่วงที่ข้าอยู่กับน้องสี่เท่านั้น หรือก็คือช่วงประมาณยามเซิน ถึง ยามเซินหนึ่งเค่อ องค์หญิงซีสยาดูเหมือนจะไม่ได้รับจดหมายเชิญ และมาถึงตำหนักนี้ก่อนข้าและท่านอ๋องเสียอีก ข้าขอถามว่า องค์หญิงคิดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเค่อ ข้าจะทราบได้อย่างไรว่าองค์หญิงอยู่ในตำหนักหลีอ๋องทั้งยังรู้ที่ที่ท่านอยู่อย่างแน่ชัด แล้วให้คนนำจดหมายไปเชิญให้ท่านอ๋องมาพบท่านได้หรือ หือ”
ที่เยี่ยหลีพูดมานี้ นอกจากจะระบุรายละเอียดที่อยู่ของตนอย่างชัดเจนแล้ว ยังได้ขจัดข้อสงสัยที่นางร่วมมือกับเยี่ยอิ๋งออกไปได้อย่างหมดจด
“แค่กๆ พระชายายังพูดตกไปจุดหนึ่ง…ยังต้องตัดช่วงเวลาที่พี่อ๋องกับองค์หญิงอะแฮ่ม…ไปด้วย ดังนั้น ชายาติ้งอ๋องไม่มีแม้แต่เวลาหนึ่งเค่อนั้นด้วยซ้ำ” ม่อจิ่งอี๋โบกพัดในมือพร้อมเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว สีหน้าของทุกคนที่มององค์หญิงซีสยาจึงยิ่งดูไม่ดีเข้าไปใหญ่ ตนเองทำเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้แล้วยังกล้าไปกล่าวโทษว่าร้ายชายาติ้งอ๋องอีก
องค์หญิงซีสยาสะอึกไป นางไม่ได้คาดหวังว่าจะอาศัยเรื่องแค่นี้มาโยนความผิดให้เยี่ยหลีได้ นางเพียงหวังจะยืดเวลาให้ตนเองได้มีเวลาหายใจหายคอบ้างก็เท่านั้น ไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะทำลายคำโกหกของนางได้ทันทีอย่างไม่ร้อนรนเช่นนี้ องค์หญิงซีสยาทำอันใดไม่ถูกจึงได้แต่ร้องไห้ออกมา “ฮือๆ…ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ…”
“พอแล้ว!” ม่อจิ่งหลีที่นิ่งเฉยมาตลอด มองหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ แล้วอยู่ดีๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องคาดคั้นนางแล้ว ข้าจะรับผิดชอบเอง”
ปัง! ท่านอ๋องผู้เฒ่าโกรธจัดถึงขึ้นตบโต๊ะ มองจ้องม่อจิ่งหลีด้วยใบหน้าทั้งเขียวทั้งซีด นิ้วที่ชี้หน้าเขาก็สั่นไม่ได้หยุด “สารเลว! เจ้าจะรับผิดชอบหรือ เจ้าจะรับผิดชอบอันใด เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอันใดอยู่ วิญญูชนกล้าทำกล้ารับอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งอี๋เดินยิ้มเข้ามาประคองท่านอ๋องผู้เฒ่า ก่อนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ท่านลุงอย่าได้โกรธไปเลย หลีอ๋องคงเพียงลืมไปชั่วขณะว่าเสด็จพี่เตรียมจะแต่งตั้งองค์หญิงซีสยาเป็นพระสนมสยาเฟย เป็นพี่สะใภ้ของพวกเรา อย่าโกรธเลยอย่าโกรธเลย…” หากเขาไม่พูดอันใดท่านอ๋องผู้เฒ่าคงไม่ยิ่งโกรธเช่นนี้ เมื่อได้ฟังเขาพูดเช่นนี้ ท่านอ๋องผู้เฒ่าจึงยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก “เจ้าสารเลว! ขนบธรรมเนียมที่เจ้าเรียนรู้มาเข้าไปอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้วหรือไร เอาล่ะ…เรื่องนี้ข้าจะไม่ยุ่งอีกแล้ว และคงยุ่งไม่ได้ด้วย พวกเจ้าอยากทำอันใดกันก็เชิญเลย” เมื่อระบายความโกรธจนพอแล้ว ท่านอ๋องผู้เฒ่าจึงได้ถือโอกาสพูดปัดความรับผิดชอบไปด้วย
เสียนเจาไท่เฟยรีบเอ่ยปลอบว่า “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งโกรธไป หลีอ๋องไม่รู้ประสา จึงได้พูดเพ้อเจ้อเช่นนี้ออกมา ท่านอ๋องมีศักดิ์เป็นลุง ขออย่าได้ถือโทษเขาเลย ฝ่าบาท…ทางฝั่งฝ่าบาท…”
ท่านอ๋องผู้เฒ่าปรายตามองไท่เฟย ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ “ไม่ประสาหรือ ช่างไม่ประสาจริงๆ นั่นล่ะ แต่ไม่ใช่พวกเจ้าหรือที่ตามใจจนเป็นเช่นนี้ ดูแต่ละเรื่องที่เขาทำในปีนี้สิ มีเรื่องใดที่คนปกติเขาทำกันบ้าง ข้าว่าไม่ช้าก็เร็วเขาคงได้ทำลายสวรรค์ลงเข้าสักวัน” ตั้งแต่เรื่องที่ม่อจิ่งหลียืนกรานจะถอนหมั้น ท่านอ๋องผู้เฒ่าก็ไม่พอใจในตัวหลานชายคนนี้อยู่มากแล้ว งานสมรสนั้นเป็นงานที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานไว้ตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นถึงหลานสาวของตระกูลสวี ขอเพียงคุณหนูเยี่ยคนนั้นไม่มีเรื่องอันใดหนักนา ต่อให้ไม่พอใจเพียงใดเขาก็ต้องรับไว้ แต่เมื่อลองดูตอนนี้ คุณหนูสามตระกูลเยี่ยคนนี้นอกจากจะไม่มีอันใดไม่ดีแล้ว คุณหนูสี่ตระกูลเยี่ยที่เป็นตายอย่างไรเขาก็จะต้องแต่งงานด้วยให้ได้เสียอีกที่คงไม่กล้าเอาไปสู้หน้าใคร
เสียนเจาไท่เฟยปกปิดแววไม่พอใจในดวงตาไว้ ทำได้เพียงพยายามส่งยิ้มให้กับท่านอ๋องผู้เฒ่า ทางฝั่งฮ่องเต้ยังต้องให้พวกเขาไปช่วยพูดให้ หากให้ม่อจิ่งหลีไปเองเช่นนี้แล้วเกิดฝ่าบาททรงพิโรธหนักขึ้นมา เกรงว่าต่อให้ไม่ตายก็คงต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
[1] ยามเว่ย คือช่วงเวลา 13.00-15.00 น.
[2] ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00-17.00 น.