ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 66-2 ความทะเยอทะยานและอำนาจ
“ม่อซิวเหยา นี่เจ้าถึงขั้นทรมานสตรีเชียวหรือ” จู่ๆ ก็มีเสียงเฟิ่งจือเหยาดังขึ้นในสนามฝึกอันเงียบเชียบ องครักษ์ลับทั้งหลายที่คอยเฝ้าดูอยู่ในที่ลับตาถึงกับมุมปากกระตุก จนเกือบจะตกลงมาจากที่อำพรางตัว
เฟิ่งจือเหยาเดินทอดน่องพร้อมโบกพัดในมือเข้ามา เขาหันมองเยี่ยหลีที่อยู่กลางสนามซ้อม แล้วหันมามองม่อซิวเหยาที่นั่งเงียบอยู่บนเก้าอี้ แล้วจึงส่งเสียงจิ๊จ๊ะพร้อมกับส่ายหัว “อาเหยา นั่นคือภรรยาของเจ้า ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นนะ ไม่คิดเลยว่าหลายปีที่ผันผ่านมานี้ เจ้ากลับไม่รู้จักรักและทนุถนอมคนรักเสียแล้ว” ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น กวาดตามองเขาเรียบๆ ไม่ได้พูดอันใด การเห็นอาหลีล้มลงกับพื้นไม่ได้หยุด ทำให้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักอยู่แล้ว หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ เฟิ่งจือเหยาเอามือลูบจมูกก่อนย้ายไปยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านหนึ่ง เขามองอยู่พักใหญ่จึงได้เอ่ยปากถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “พี่สะใภ้กำลังเล่นอันใดอยู่หรือ”
“วิชาตัวเบา” ม่อซิวเหยาตอบ
เฟิ่งจือเหยาสีหน้าบิดเบี้ยว จนเกือบโบกพัดไปโดนคางของตนเอง “ฝึกวิชาตัวเบาหรือ นี่…นางไม่กลัวตกลงมาตายหรือ” พวกเขาต่างเรียนวิชาการต่อสู้กันมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนเฟิ่งจือเหยานั้นเป็นพวกมวยวัด ไม่เคยมีอาจารย์สอนอย่างจริงจัง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่ฝึกด้วยวิธีนี้มาก่อนเลย ผู้หญิงยุคนี้ไม่นึกรักชีวิตเสียยิ่งกว่าผู้ชายอีกหรือนี่ ทันทีที่พูดจบ ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันเย็นเยียบที่ส่งมายังเขา เฟิ่งจือเหยาหันไปสบตาไม่พอใจของม่อซิวเหยาเข้า จึงได้แต่ยิ้มแหะๆ อย่างขอลุแก่โทษ ก่อนหลบไปยืนดูเยี่ยหลีฝึกวิชาต่อ
นางล้มแล้วล้มอีกเสียจนไม่รู้แล้วว่าตนเองล้มไปกี่รอบ จนเมื่อในที่สุดสามารถลงพื้นได้อย่างนุ่มนวลแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าร่างกายตนเองทั้งส่วนบนและส่วนล่างนั้นเจ็บไปหมด ประหนึ่งถูกใครซ้อมมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ในใจกลับนึกโล่งอกเป็นที่สุด และเพียงรู้สึกว่าตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้ไม่เคยดีใจเช่นนี้มาก่อนเลย
แปะ แปะ แปะ… นอกสนาม เฟิ่งจือเหยาปรบมือให้นาง เลิกคิ้วมองเยี่ยหลีด้วยความเลื่อมใส ชิงหลวนและชิงซวงรีบเดินเข้าไปล้อมนางไว้ทันที ดวงตาเป็นประกายของชิงซวงบวมแดงขึ้นเสียนานแล้ว ไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่ในสนามฝึกอีก นางกอดเยี่ยหลีไว้ เรียกคุณหนูคุณหนูพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง เยี่ยหลีมองดูแล้วรู้สึกอายตัวเอง นางตบหลังสาวใช้ที่กอดนางอยู่อย่างรู้สึกน่าขัน แล้วจึงให้นางยืนขึ้นดีๆ ก่อนเดินไปหาม่อซิวเหยา “คุณชายเฟิ่ง พบกันอีกแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาตะโกนว่า “วันนี้พระชายาช่วยเปิดหูเปิดตาข้าเสียแล้ว”
เยี่ยหลีได้แต่ตอบว่า “คนอื่นฝึกกันได้ง่ายๆ มีเพียงข้าเท่านั้นที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน ในเมื่ออยากฝึกจนเป็นก็ย่อมต้องลงทุนลงแรงกันหน่อย” ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลี วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถิด เจ้าจะได้กลับไปอาบน้ำพักผ่อนแล้วไปเรียกท่านหมอมาดูเสียหน่อย ข้ากับเฟิ่งซานจะไปอยู่ที่ห้องหนังสือ” เยี่ยหลีพยักหน้า “ไม่เป็นอันใดมากหรอก ก็แค่ตกลงมาเจ็บนิดหน่อย ข้ากลับเข้าไปก่อนล่ะ คุณชายเฟิ่ง ลาก่อน” เฟิ่งจือเหยามองตามเยี่ยหลีที่เดินนำชิงหลวงและชิงซวงออกไป แล้วจึงได้หันกลับมาถามว่า “อาเหยา นี่เจ้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ องครักษ์ลับกับหน่วยเมฆาทมิฬคงไม่ถึงกับปกป้องประมุขหญิงของตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้หรอกกระมัง ให้นางเรียนวิชาป้องกันตัวเถิด”
“คุณชายเฟิ่ง พระชายาอยากเรียนเองพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องจึงได้สอนให้” อาจิ่นเอ่ยพูดขึ้น เขายังไม่เคยเห็นใครที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่กว่าพระชายาเลย หากท่านอ๋องไม่ยอมสอนวิชาตัวเบาให้พระชายาแล้ว เขายังคิดว่า เป็นไปได้ที่พระชายาจะแอบฝึกเองจนตกลงมาจนคอหักได้จริงๆ
“รู้จักปกป้องตัวเอง ข้าย่อมวางใจกว่ามีคนคอยปกป้อง” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ในโลกนี้ไม่มีการคุ้มกันแบบใดที่ไม่มีช่องโหว่ ต่อให้เป็นองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งอันตรายได้ มีความสามารถเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ต่อไปก็จะมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วนเช่นกัน เฟิ่งจือเหยาส่ายศีรษะ แล้วถอนหายใจ “การที่นางมีความตั้งใจและความกล้าหาญเช่นนี้ ต่อให้เป็นบุรุษก็คงมีไม่กี่คนที่มีมากกว่านาง ข้านึกแปลกใจเสียจริง เหตุใดตระกูลเยี่ยจึงเลี้ยงลูกสาวให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ต่อให้เป็นตระกูลสวี…” ต่อให้เป็นตระกูลสวีก็ไม่น่าที่จะเลี้ยงหญิงสาวให้ออกมาเป็นเช่นนี้ได้ บุตรสาวตระกูลสวีอาจมากล้นด้วยความสามารถ อาจฉลาดหลักแหลมเป็นที่หนึ่ง แต่บุตรสาวอย่างเยี่ยหลีนั้นยังไม่เคยมีมาก่อนเลยจริงๆ
ม่อซิวเหยาหมุนเก้าอี้รถเข็นไปทางห้องหนังสือ “ข้าไมได้ให้เจ้ามาวิพากษ์วิจารณ์อาหลีหรอกนะ”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เลิกคิ้วมองชายหนุ่มที่ไกลออกไปแล้ว “อาเหยาคงไม่ได้กำลังหึงกระมังนี่”
ห้องหนังสือของม่อซิวเหยาอยู่ย้ายมายังเรือนใหม่นานแล้ว ซึ่งเป็นเรือนที่จัดเตรียมไว้เพื่อท่านอ๋องและพระสนมโดยเฉพาะ จึงเป็นเรือนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตำหนักติ้งอ๋อง ภายในมีกระทั่งหอหนังสือที่ตั้งอยู่เดี่ยวๆ อีกด้วย หลังจากที่ม่อซิวเหยาย้ายมาที่นี่แล้ว ทั้งสองก็ได้จัดการจัดสรรค์พื้นที่กันใหม่หมดอย่างรวดเร็ว หอหนังสือขนาดสองชั้น ชั้นสองเป็นที่เก็บหนังสือ ส่วนชั้นหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน ฟากหนึ่งเป็นห้องหนังสือของเยี่ยหลี ส่วนอีกฟากเป็นของม่อซิวเหยา ดังนั้นเมื่อทั้งสองเข้าไปในห้องหนังสือแล้วเห็นเยี่ยหลีที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งถือหนังสืออยู่หลังโต๊ะหนังสือ ม่อซิวเหยาจึงไม่ได้ตกใจอันใด เพียงแต่เอ่ยปากถามว่า “อาหลี เหตุใดจึงไม่พักสักหน่อยก่อน”
เยี่ยหลียกหนังสือในมือขึ้นน้อยๆ “เพิ่งฝึกวิชามาหมาดๆ ไม่ควรลงนอนพักโดยทันที ข้าจึงมาหาหนังสืออ่านสักหน่อย ต้องให้ข้าหลบไปก่อนหรือไม่”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อยังไม่เหนื่อย งั้นก็มานั่งฟังด้วยกันเลยเถิด”
เฟิ่งจือเหยาที่กำลังมองสำรวจการตกแต่งห้องหนังสืออยู่ เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนั้นก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้น แต่ไม่มีพูดอันใดออกมา เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะหยิบหนังสือติดมือเดินมานั่งลง เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองด้วยความสงสัย “เอ๋ พระชายากำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่หรือ” ในมือเยี่ยหลีคือหนังสือ “บันทีกพิชัยสงคราม” เล่มหนึ่ง เยี่ยหลีก้มหน้าลงมองหนังสือในมือ “ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำ เลยอ่านดูแก้เบื่อ”
อ่านตำราพิชัยสงครามแก้เบื่อ ช่างเป็นความชอบที่ประหลาดดีแท้ เฟิ่งจือเหยานึกวิจารณ์ในใจ แต่สีหน้ายังคงยิ้มแย้มเช่นเคย “เห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“ก็ไม่เลว” เยี่ยหลีตอบ
เฟิ่งจือเหยาไม่แน่ใจว่าคำว่าไม่เลวของเยี่ยหลีนั้นหมายความว่าอย่างไร จึงหันมองไปทางม่อซิวเหยาอย่างรวดเร็ว ม่อซิวเหยาไม่ได้ว่าอันใด เพียงอมยิ้มถามนางว่า “อาหลีเห็นว่าตรงไหนที่ไม่เลวหรือ” เยี่ยหลีลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เรื่องกลยุทธ์เขียนได้ไม่เลวทีเดียว แต่เรื่องยุทธวิธีนั้น…” บางทีอาจเป็นเพราะการทำสงครามในยุคปัจจุบันกับยุคโบราณนั้นแตกต่างกัน เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่ายุทธวิธีที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไร อาจถึงขั้นเรียกว่าจินตนาการล้ำเลิศเลยก็เป็นได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเรื่องยุทธวิธีไม่สามารถใช้จินตนาการได้ เพราะอันที่จริงแล้วยอดผู้นำที่ดีมักมีการจินตนาการที่ประเสริฐเลิศล้ำเสมอ แต่ที่เขียนอยู่ในหนังสือเล่มนี้นั้น…อันนี้จริงเยี่ยหลีเรียกมันว่านิยายน่าจะเหมาะเสียกว่า ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จะต้องไม่เคยออกรมจริงๆ มาก่อนเป็นแน่ เยี่ยหลีคิดในใจเงียบๆ
“กลยุทธ์กับยุทธวิธีหรือ” เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว
เยี่ยหลีรู้สึกหัวเสียเล็กๆ แต่สีหน้าที่หันมองม่อซิวเหยายังคงเรียบเฉย “กลยุทธ์ก็คือการวางแผนและการวางยุทธศาสตร์การรบในภาพใหญ่” ม่อซิวเหยาเหลือบตามองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่ง ก่อนพูดต่อว่า “ส่วนยุทธวิธีคือขั้นตอนในการทำให้กลยุทธ์นั้นสำเร็จ การวางกำลังรวมถึงการเอาชนะคู่ต่อสู้น่ะ เข้าใจแล้วหรือยัง” เฟิ่งจือเหยาได้แต่มองคู่สามีภรรยาที่เฉยชาตรงหน้าด้วยความหดหู่ นี่กำลังดูถูกเขาว่าด้อยวิชาหรือนี่
“อาหลีเห็นว่ายุทธวิธีเขาเป็นอย่างไรบ้าง” ม่อซิวเหยาหันไปถามเยี่ยหลีต่อ ไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของเฟิ่งจือเหยา
เยี่ยหลียักไหล่ “เมื่อเทียบกับตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้แล้ว ข้าเห็นว่าเล่มนี้เหมือนเป็นตำนานเสียมากกว่า”
“หา หา หา…แม้แต่ตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้ท่านก็เคยอ่านหรือ” เฟิ่งจือเหยาร้องขึ้นเสียงแหลม
อาหลีมองเขาด้วยความแปลกใจ “ตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้มีอยู่ทั้งที่บ้านท่านลุงและบ้านท่านปู่ข้า ข้าเคยอ่านมีอันใดแปลกหรือ ท่านลุงใหญ่เคยสอนข้าน่ะ” นางไม่ได้โกหก ท่านลุงใหญ่เคยสอนนางเรื่องยุทธวิธีทางการทหารจริง เพียงแต่นั้นเมื่อไม่ถึงเดือนมานี้เอง ไม่มีทางเล่าตำราพิชัยสงครามแห่งปฐมฮ่องเต้ได้จบ ที่นางพูดเช่นนี้ก็เพื่ออธิบายเรื่องที่เหตุใดนางจึงมีความรู้เรื่องด้านการทหารมากเช่นนั้นก็เท่านั้น หนังสือชุดนี้ยังมีคำนิยมที่เขียนโดยติ้งอ๋อง ม่อหลั่นอวิ๋นอีกด้วย ว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่นักรบแห่งต้าฉู่ต้องศึกษา
“ในห้องหนังสือเรือนหน้า มีตำราพิชัยสงครามอยู่มาก หากอาหลีชอบจะไปหยิบมาอ่านดูก็ได้” ม่อซิวเหยาพูด เรือนนี้ไม่ได้เป็นเรือนสำหรับจัดการธุระสำคัญอันใดอยู่แล้ว หนังสือที่เก็บอยู่ในห้องหนังสือนี้จึงเป็นพวกโครง กลอน หรือหนังสือปกิณกะอื่นๆ เสียมาก ตำราพิชัยสงครามมีเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้นและล้วนแล้วแต่ไม่ใช่หนังสือชั้นดีอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยหลีจึงตาเป็นประกายทันที ห้องหนังสือนี้หนังสือจะว่ามากก็มากอยู่ แต่หากตัดหนังสือที่นางไม่สนใจอย่างพวก โคลง กลอน กับอรรถชีวประวัติของบุคคลสำคัญแล้ว ก็เหลือแค่หนังสือประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และบันทึการเดินทางเพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น นางไม่มีความสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ หรือบันทึกลับของราชวงศ์ทั้งหลายเหล่านั้น ดังนั้นเรื่องประว้ติศาสตร์ทั้งหลายนางจึงอ่านผ่านตามาหมดแล้วตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ดังนั้นหนังสือที่อ่านได้จึงมีเพียงหนังสือภูมิศาสตร์และพวกหนังสือบันทึกการเดินทางเท่านั้น แต่หนังสือประเภทนี้ก็มีเพียงทัศนียภาพอันงดงาม วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นที่จับต้องไม่ได้ทั้งนั้น มีแต่จะทำให้ยิ่งน่าเบื่อ
สามีภรรยาคู่นี้…ข้าล่ะยอมแพ้พวกท่านจริงๆ! เฟิ่งจือเหยาถึงกับกลอกตาให้ในใจ