ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 68-1 “สนามเด็กเล่น” ของพระชายาติ้งอ๋อง
“ใครก็ได้เร็วเข้า! หลีอ๋องตกน้ำ!”
ทะเลสาบสาวงามที่ครึ้กครื้นไปด้วยเสียงเพลง จู่ๆ ก็มีเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น ผู้คนบนเรือลำใหญ่ที่อยู่ไปไม่ไกลนักต่างมองภาพชายร่างสูงใหญ่ลอยคว้างออกมาจากเรือลำใหญ่โตและหรูหรากันอย่างตกตะลึง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดังตูม พร้อมกับร่างนั้นที่ตกลงไปในน้ำ จนเมื่อเรียกสติกลับมาได้แล้วจึงค่อยจับความของเสียงตะโกนนั้นได้ ก่อนที่ทุกคนจะตกใจกันยกใหญ่ หลีอ๋องตกน้ำ! เรือลำใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างทะยอยกันพายใกล้เข้ามา คนที่เคยมีเรื่องกับหลีอ๋องก็พากันหามุมรอชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนคนที่เคยคบหากับหลีอ๋องก็รีบสั่งให้คนกระโดดลงไปช่วย
เมื่อเกิดเหตุการณ์ครึ้กโครมขึ้นเช่นนี้ คนที่อยู่นอกเรือต่างได้ยินกันชัดเจน มู่หรงถิงและเหลิ่งฮ่าวอวี่รีบเดินข้ามาทันที “อาหลี อาหลี เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่” มู่หรงถิงคว้าตัวเยี่ยหลีมาสำรวจด้วยความตื่นเต้น เมื่อแน่ใจว่าเยี่ยหลีไม่เป็นอะไรแล้วถึงได้ถอนหายใจออกมา พร้อมพูดด้วยความไม่พอใจว่า “หลีอ๋องคนนี้นี่อย่างไรกัน อาหลี เขาได้รังแกเจ้าหรือไม่” สีหน้าเยี่ยหลีมีแววตระหนกเล็กน้อย แต่ยังคงส่งยิ้มน้อยๆ ให้นาง “ข้าไม่เป็นไร…หลีอ๋อง เขา…ไม่รู้ตกลงทะเลสาบไปได้อย่างไร”
“ท่านอ๋อง!” เยี่ยอิ๋งและองค์หญิงซีสยาต่างตกใจกันยกใหญ่ รีบพุ่งตัวออกไปดูที่หน้าต่าง มีหลายคนกระโดดลงไปช่วยเขาแล้ว เพียงแต่ยังไม่เห็นร่างของม่อจิ่งหลี เยี่ยอิ๋งพูดด้วยความร้อนใจว่า “ท่านอ๋องตกลงไปในทะเลสาบได้อย่างไร เขา…เขาว่ายน้ำไม่เป็นนะ พี่สาม…” ครั้งนี้เยี่ยอิ๋งกลับไม่นึกสงสัยเยี่ยหลี เพราะม่อจิ่งหลีในสายตาของเยี่ยอิ๋งแล้ว เป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อมด้วยความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น ถึงอย่างไรก็คงไม่ถูกเยี่ยหลีโยนลงน้ำไปง่ายๆ เยี่ยหลีไม่ได้สนใจที่จะปลอบน้องสาวที่กำลังตื่นตระหนกอยู่เลย “ไม่มีอะไรหรอก มีคนลงไปช่วยหลีอ๋องตั้งเยอะแล้ว ท่านไม่เป็นไรแน่นอน” เยี่ยอิ๋งน้ำตารื้นมองคนในทะเลสาบตาไม่กะพริบ และไม่มีเวลามาสนใจเยี่ยหลีอีก แต่องค์หญิงซีสยากลับมองทุกคนที่อยู่บนเรือ ก่อนหมุนตัวจะเดินออกไปข้างนอก เยี่ยหลีเอ่ยเรียกเรียบๆ ว่า “แม่นาง นั่นท่านจะไปไหนหรือ”
“ข้า…ข้าจะไปช่วยท่านอ๋อง เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” องค์หญิงซีสยาย่อมรู้ดีว่าเยี่ยหลีจำนางได้ เมื่อคิดได้ว่าเยี่ยหลีได้เห็นตนเองในสภาพอย่างวันนั้นแล้ว ทำให้องค์หญิงซีสยามองเยี่ยหลีด้วยความไม่สบายใจ และยิ่งไม่อยากอยู่บนเรือลำเดียวกับนาง เยี่ยหลีดึงเยี่ยอิ๋งให้หันมา “น้องสี่ พาแม่นางท่านนี้กลับไปที่เรือของพวกเจ้าเถิด ในเมื่อแม่นางท่านนี้เป็นคนของหลีอ๋อง เจ้าเป็นพระชายาหลีอ๋องก็ต้องดูแลแขกเหรื่อของท่านให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นได้”
“แต่ว่า…” เยี่ยอิ๋งมีท่าทีลังเล นางเกลียดองค์หญิงซีสยา อีกอย่างตอนนี้หลีอ๋องจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ นางจะมีกระจิตกระใจจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
“เอาเถิด อย่าได้ลืมฐานะของเจ้า” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “หลีอ๋องไม่เป็นอันใดหรอก เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตูมไป”
เมื่อพูดจนเยี่ยอิ๋งยอมไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้เดินยิ้มเข้าไปหาทั้งสามคน ก่อนนั่งลงดูคนข้างล่างทำงานกันไปอย่างสบายอารมณ์ ผ่านไปอีกพัหนึ่งในที่สุดม่อจิ่งหลีก็ถูกช่วยขึ้นมาได้ ภายใต้แสงอาทิตย์ ร่างที่ลอยขึ้นมาเหนือน้ำของม่อจิ่งหลี บริเวณหน้าผากของใบหน้าที่หล่อเหลาคมคายนั้นมีลูกสีเขียวบูมปูดขึ้นมาลูกใหญ่ คงเพราะอยู่ในน้ำนานแล้ว แต่ยังคงดูไม่ออกว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ทุกคนต่างช่วยกันส่งตัวหลีอ๋องขึ้นเรือของตำหนักหลีอ๋องที่จอดอยู่ไม่ไกล จีนมุงทั้งหลายต่างพากันรุมล้อมไปทางนั้น ทางฝั่งเยี่ยหลีจึงสงบขึ้นมาก
เหลิ่งฮ่าวอวี่มองเยี่ยหลีที่นั่งสบายๆ อยู่ริมหน้าต่างอย่างใช้ความคิด “พระชายาไม่เป็นห่วงเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เป็นห่วงอะไรหรือ คุณชายเหลิ่งวางใจเถิด หลีอ๋องเป็นคนมีบุญญาบารมีมาก ท่านไม่เป็นอันใดหรอก เมื่อครู่คุณชายเหลิ่งก็เห็นแล้ว ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ”
มู่หรงถิงยกมือเท้าคาง ถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “อยู่ดีๆ เหตุใดหลีอ๋องจึงได้ตกลงน้ำไปได้กัน” ในช่วงที่คนนิยมมาล่องทะเลสาบกันของทุกปีนั้น มักจะมีคนหรือคนที่ตกน้ำไปก็จริง แต่ปกติแล้วจะเป็นเด็กๆ ที่ไม่รู้ความหรือคุณหนูที่ร่างกายบอบบางเท่านั้น หลีอ๋องที่ฝึกวิชาสายบู๊มาตั้งแต่เล้กๆ เหตุใดจึงตกลงไปในทะเลบสาบได้ เยี่ยหลีตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ท่านอ๋อง…อยู่ดีๆ ท่านอ๋องก็ลุกยืนขึ้น คงเพราะเรือโคลงเคลง จึงพลาดจนศีรษะทะลุออกไปกระมัง”
มีตอนไหนที่เรือโคลงเคลงด้วยหรือ มู่หรงถิงที่อยู่ด้านนอกตลอดนึกสงสัยขึ้นในใจ “เขาน่าจะพอมีวิชาตัวเบาอยู่นะ”
“ท่านอ๋องกลัวน้ำ คงลืมไปด้วยอารามตกใจกระมัง” เยี่ยหลีตอบด้วยสีหน้าแววตาเช่นเดิม วิชาตัวเบาไม่ใช่วิชาสารพัดนึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ขาข้างใดข้างหนึ่งชาไร้ความรู้สึก นอกเสียจากว่าเขาจะมีความสามารถอย่างใครบางคนที่ไม่ต้องใช้ขาก็สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ เพียงแต่…ครั้งหน้าหากคิดจะลงมือกับม่อจิ่งหลีคงไม่ง่ายเช่นนี้แล้ว เยี่ยหลีนึกไตร่ตรองอยู่เงียบๆ ในใจว่า ต่อไปหากต้องเจอม่อจิ่งหลีอีกจะต้องระวังตัวให้มาก ฮว่าเทียนเซียงไม่สนใจว่าม่อซิวเหยาจะตกลงไปได้อย่างไร แต่กลับถามขึ้นด้วยความกังวลว่า “หลีเอ๋อร์ หลีอ๋องท่านเกิดเรื่องบนเรือของเจ้า ทางด้านไทเฮากับเสียนเจาไท่เฟย…” เยี่ยหลีกะพริบตาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “เรือโคลงเคลงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ หลีอ๋องดื่มสุราเข้าไปเองจนยืนไม่อยู่ จะต้องให้ข้ารับผิดชอบด้วยหรือ เอาเถิด…ข้าดูเหมือนจะผิดที่ไม่ปิดหน้าต่างให้ดีเอง” เหลิ่งฮ่าวอวี่กวาดตามองเรือที่มีหน้าต่างเปิดอยู่เพียงสองบานเท่านั้น แล้วจึงอมยิ้ม “ถึงแม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน แต่อากาศในทะเลสาบนี้ก็ร้อนอยู่ไม่น้อย พระชายาลืมปิดหน้าต่างให้ดี น่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจกันได้”
“ขอบคุณคุณชายรองเหลิ่งมากที่เข้าใจ” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ
ฮว่าเทียนเซียงส่ายหน้า “หลีเอ๋อร์ พวกเรากันเองก็ไม่เป็นอันใดหรอก แต่หลีอ๋องนั้นไม่ถูกกับติ้งอ๋องมาโดยตลอด ทั้งยังเคยมีเรื่องกับเจ้าอีก ต่อให้ไม่มีเรื่องก็หาขึ้นมาได้ เจ้าระวังไว้หน่อยเถิด” เยี่ยหลียิ้ม “ขอบใจเจ้ามากเทียนเซียง ข้าจะระวัง” หากม่อจิ่งหลีกล้าบอกกับทุกคนว่าถูกผู้หญิงคนหนึ่งจัดการแล้ว นางก็ไม่รังเกียจที่จะหาเหตุผลมาแข่งกับเขา หากไม่ได้ไตร่ตรองไว้อย่างดีแล้ว นางคงไม่ด่วนลงมือเช่นนั้นหรอก เมื่อคิดสีหน้าเจ็บปวดของม่อจิ่งหลีเมื่อสักครู่แล้ว ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกคันมือขึ้นมาอีกรอบ ในใจนึกเสียดายที่เมื่อครู่ไม่ต่อเขาให้หลายหมัดกว่านี้
ตำหนักหลีอ๋อง
ม่อจิ่งหลีถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงร้องไห้กระซิกๆ เดิมทีเขาก็เจ็บปวดไปทั่วร่างจนพูดไม่ออกแล้ว เสียงร้องไห้ในเวลานี้จึงยิ่งทำให้ปวดหัวจนแทบจะระเบิด “หุบ…หุบปาก!”
“ท่านอ๋อง ท่านตื่นเสียที…” เยี่ยอิ๋งพุ่งตัวเข้าไปด้วยความตื่นเต้น องค์หญิงซีสยาที่อยู่อีกด้านก็รีบร้อนเข้าไปหาเช่นกัน “พี่จิ่งหลี ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกไม่สบายที่ตรงไหนหรือไม่”
ม่อจิ่งหลีหลับตาลง ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น รู้สึกจุกอยู่ที่อกจนพูดไม่ออก แล้วจึงได้ไอออกมายกใหญ่ เยี่ยอิ๋งรีบเข้าไปประคองพร้อมลูบหลังให้ม่อจิ่งหลี “ท่านอ๋อง ดีขึ้นหรือไม่” เมื่อเห็นใบหน้าอันงดงามของเยี่ยอิ๋งมีน้ำตานองหน้าแล้ว ทำให้คิดถึงใบหน้าเย็นชาของหญิงสาวที่ร้ายกาจอีกคนหนึ่งขึ้นมา จนม่อจิ่งหลีรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันที “ไม่ต้องรองแล้ว ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย เยี่ยหลีล่ะ” องค์หญิงซีสยาส่งเสียงเหอะเบาๆ “พี่จิ่งหลีพูดอะไรกัน เยี่ยหลีก็ต้องกลับไปที่ตำหนักติ้งอ๋องของนางแล้วสิ เกิดเรื่องกับท่านบนเรือของนาง นางไม่แม้แต่จะมาดูมาแล ช่างไร้มารยาทสิ้นดี!” เยี่ยอิ๋งจ้องหน้าองค์หญิงซีสยา “ต่อให้พี่สามเป็นเช่นไรก็ยังมีมายาทกว่าคนบางคนอยู่มาก ชายหญิงนั้นต่างกัน ท่านอ๋องนอนป่วยอยู่บนเตียงพี่สามจะมาดูได้อย่างไร” เยี่ยอิ๋งไมได้โง่ เรื่องที่องค์หญิงซีสยาได้แต่งงานเข้าตำหนักนี้แม้แต่ท่านพ่อของนางยังขวางไม่ได้ ถึงแม้เยี่ยหลีจะไม่ถูกกับคนมาตั้งแต่เล็กๆ แต่นางก็มีความแค้นกับองค์หญิงซีสยาเช่นกัน เมื่อเทียบกับองค์หญิงซีสยาแล้ว นางจะต้องอยู่ข้างเดียวกับคนที่เป็นพี่น้องแน่นอน นึกย้อนไปถึงวันนี้ที่เยี่ยหลีเอ่ยเตือนนางให้ดูแลองค์หญิงซีสยาให้ดี อย่าให้นางเที่ยวออกไปไหนต่อไหน เมื่อกลับมาถึงตำหนัก แม้แต่ไท่เฟยที่คอยแต่จะจ้องจับผิดนางยังเอ่ยชื่นชมนางไม่น้อย เยี่ยอิ๋งจึงรู้สึกว่าบางครั้งหากเชื่อฟังคำพูดของพี่สามนั้นก็ไม่ผิด เพราะต่อให้พี่รองเก่งกาจและฉลาดเพียงใด แต่นางก็อยู่ที่ในวัง ช่วยเหลืออะไรตนไม่ได้มาก ท่านย่าพูดถูก พวกนางพี่น้องเมื่อแต่งงานออกมาแล้วก็ต้องคอยช่วยเหลือกันและกัน
“เจ้า!” องค์หญิงซีสยาโกรธจัด เรื่องในคราวนั้นทำให้นางไม่กล้าสู้หน้าบรรดาฮูหยินคุณหนูในเมืองหลวงได้ ทั้งยังต้องเสียฐานะองค์หญิงแห่งหนานจ้าวของคนไปอีก ถึงแม้นางสามารถละทิ้งทุกอย่างและกลับไปอยู่ที่หนานจ้าวได้ เพราะต่อให้นางไม่ได้เป็นองค์หญิงซีสยาและก็ยังคงเป็นองค์หญิงแห่งหนานจ้าวผู้สูงศักดิ์ได้ แต่นางรักพี่จิ่งหลีมากจริงๆ ต่อให้ไม่มีฐานะองค์หญิงนางก็ยินดีที่จะอยู่กับพี่จิ่งหลีไปชั่วชีวิต “พี่จิ่งหลี ท่านดูนาง…”
“พอแล้ว ซีสยา อิ๋งเอ๋อร์ พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าเหนื่อยแล้ว!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน ถึงแม้ปกติหญิงสาวทั้งสองจะไม่ใช่คนที่ว่านอนสอนง่าย แต่กับคำพูดของหลีอ๋องแล้วพวกนางกลับยอมทำตามแต่โดยดี เมื่อเห็นเขาหน้าบึ้งลง พวกนางจึงได้แต่ลุกยืนขึ้นเดินออกไปด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
“หลีเอ๋อร์” ในห้องสงบอยู่ได้เพียงพักแล้ว เสียนเจาไท่เฟยก็เดินเข้ามา ม่อจิ่งหลีรีบร้อนจะลุกขึ้น เสียนเจาไท่เฟยจึงรีบเดินเข้ามากดหัวไหล่เขาไว้ให้นั่งลงบนเตียง ก่อนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดจึงไม่ระวังเช่นนี้” ม่อจิ่งหลีตอบเสียงขรึม “ลูกทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” เสียนเจาไท่เฟยยังคงจ้องเขาไม่วางตา แล้วเอ่ยถามว่า “อยู่ดีๆ เหตุใดเจ้าจึงตกน้ำตกท่าไปได้ แล้วยังเป็นตอนที่อยู่บนเรือตำหนักติ้งอ๋องอีก แม่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าได้ไปยุ่งกับเยี่ยหลีอีก เจ้าบอกแม่มา ที่เจ้าตกน้ำตกท่าไปเพราะเยี่ยหลีใช่หรือไม่”
ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้งลงทันที เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เพราะลูกไม่ระวังจึงตกลงไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ระวังหรือ ตอนนี้มันตอนไหนแล้ว เหตุใดจึงจึงไม่ระวังตัวได้” เสียนเจาไท่เฟยเอ่ยต่อว่าต่อขานเขาด้วยความไม่พอใจ “เรื่องในครั้งนี้แม่จะไม่ถามเจ้าว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ แต่ว่า…ตั้งแต่นี้เป็นคนไปเจ้าอยู่ห่างจากคนตำหนักติ้งอ๋องไม่หน่อย และอย่าได้ไปหาเรื่องติ้งอ๋องเชียว เข้าใจหรือไม่” ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างดูแคลน “ท่านแม่ ท่านกับเสด็จแม่ประเมินติ้งอ๋องสูงไปหรือเปล่า” เมื่อเห็นสีหน้าดูแคลนของเขา เสียนเจาไท่เฟยจึงส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ “เจ้าทะเลาะกับติ้งอ๋องมาตั้งแต่เล็กๆ แม่รู้ว่าเจ้าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจว่า เจ้าจะไม่สนใจม่อซิวเหยาได้ แต่เจ้าจะไม่สนใจตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้เด็ดขาด ตำหนักติ้งอ๋องกับตระกูลสวีนั้น ตอนนี้เราไม่อาจเอาเขามาเป็นพวกหรือล่วงเกินเขาได้ ดังนั้นเรื่องในวันนี้แม่จะไม่สืบสาวเอาความ ต่อให้เจ้าเสียเปรียบ ก็ต้องกล้ำกลืนไว้!”
ม่อจิ่งหลีนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ลูกรู้แล้ว”
เสียนเจาไท่เฟยค่อยๆ พยักหน้า มองม่อจิ่งหลีพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี บางครั้งจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจเจ้าต้องการไม่ได้ รอให้เจ้าได้ทุกอย่างเสียก่อน แล้วเจ้าอยากจะทำอันใด ก็ตามแต่ใจเจ้าได้เลยมิใช่หรือ แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น เจ้าต้องอดทนไว้ก่อน”
“ขอบคุณท่านแม่ที่สั่งสอน ลูกรู้แล้ว” ม่อจิ่งหลีพยักหน้าอย่างนอบน้อม