ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 74-2 รอดพ้นจากอันตราย คุณชายจวินเหวย
ในเรือนหลังเล็กนิรนาม ณ ที่ใดที่หนึ่งนอกเมืองหลวง ตอนนี้คนที่เคยอยู่ที่นี่ต่างไปกันหมดแล้ว ไม่เหลือใครอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นเจ้าของนั่นไปด้วยความรีบร้อน แม้แต่ภาพวาดและภาพเขียนอักษรโบราณที่มีมูลค่ายังไม่ทันได้เก็บไปด้วย ม่อซิวเหยานั่งอยู่ในสวนดอกไม้มองต้นเถาในแปลงดอกไม้ที่เห็นได้ชัดว่าเพิ่งปลูกใหม่ๆ กับดอกไม้และดอกหญ้ามีพิษที่มีอยู่เต็มแปลงดอกไม้ เสิ่นหยางที่อยู่ด้านหลังม่อซิวเหยาส่งเสียงในลำคอด้วยความแปลกใจ การจะนำดอกไม้ดอกหญ้าที่มีพิษมาปลูกรวมกันไว้เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เป็นหมอธรรมดาๆ จะทำได้ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนที่ชำนาญการใช้พิษอย่างช่ำชองแน่นอน เสิ่นหยางยังค้นพบความน่ายินดีในแปลงดอกไม้นั้น มีหลายต้นที่เป็นต้นไม้มีพิษเล็กน้อยที่เขาเพียรหาเท่าไรก็หาไม่พบจึงรีบดึงต้นไม้ที่มีพิษทั้งหลายที่มีประโยชน์ขึ้นมาทั้งรากที่ติดดินนั้นอย่างระมัดระวัง เพื่อเตรียมนำกลับไปปลูกยังทุ่งยาของเขา โดยไม่สนใจผู้อื่น
“ท่านอ๋อง พวกเรามาช้าไปก้าวหนึ่ง พวกมันไปกันหมดแล้ว” เฟิ่งจือเหยาเดินออกมาจากในห้อง ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งยื่นให้ม่อซิวเหยา “พระชายาเคยอยู่ที่นี่จริงๆ นี่คงเป็นของที่พระชายาทิ้งไว้”
ม่อซิวเหยารับหน้าสือไปเปิดออกดู เป็นหนังสือรวมกลอนธรรมดาทั่วไป ในนั้นมีกระดาษยาวๆ แผ่นหนึ่งเสียบอยู่ ไม่รู้ว่านางใช้อะไรเขียนตัวหนังสือสีแดงอ่อนๆ ที่อยู่บนกระดาษ ‘ปลอดภัยไม่ต้องห่วง’
เฟิ่งจือเหยาเหลือบมองสีหน้าของม่อซิวเหยา ก่อนพูดต่อว่า “จุดลับตาในเรือนหลายแห่ง มีร่องรอยของการต่อสู้ รวมถึงกลิ่นคาวเลือด ถ่านในครัวก็ยังอุ่นอยู่ คิดว่าน่าจะยังไปได้ไม่ไกล เท่าที่ข้าน้อยเห็น น่าจะเป็นองครักษ์ลับข้างกายพระชายาที่หาพระชายาเจอได้ก่อน” เฟิ่งจือเหยานึกต่อว่าในใจ องครักษ์ลับพวกนั้นหาพระชายาเจอแล้วเหตุใดจึงไม่บอกพวกเขาให้มาช่วยพระชายาออกไปพร้อมกัน เท่านี้ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ตอนนี้คนหายกันไปหมดแล้วรู้แต่เพียงเคยเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ แต่ช่วยพระชายาออกมาได้หรือไม่ พวกเขาไม่มีทางรู้ เมื่อได้มองสีหน้าของม่อซิวเหยาที่นิ่งขรึมไปกว่าเดิมแล้ว เฟิ่งจือเหยาก็เริ่มนึกอิจฉาเหลิ่งฮ่าวอวี่ที่ไปอยู่ไกลถึงทางใต้เสียแล้ว
“ม่อจิ่งหลีเล่า”
เฟิ่งจือเหยาลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครพบม่อจิ่งหลี แต่ว่า…เขาเป็นหลีอ๋อง ไม่มีทางหายหน้าไปนานได้ เพียงแต่ เราจับเขาไม่ได้คาหนังคาเขา และยังหาพระชายาไม่พบ จึงไม่มีหลักฐานพอที่ชี้ตัวว่าเขาเป็นคนทำได้” เฟิ่งจือเหยาต้องยอมรับว่าเขาประเมินม่อจิ่งหลีต่ำเกินไปมาโดยตลอด ในเรือนหลังนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับม่อจิ่งหลีอยู่เลย อีกทั้งเจ้าของเรือนแห่งนี้ก็เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาทั่วไปที่ไม่มีความเกี่ยวข้องและไม่รู้ว่าเป็นใครอีกด้วย ตอนนี้ที่พวกเขารู้ก็เพียงว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้เป็นเวลานาน แต่เรื่องฐานะ อายุ หรือรูปร่างหน้าตาของนางเป็นอย่างไรนั้น เขาตอบไม่ได้
เสิ่นหยางที่นั่งยองๆ จัดการตัวยาอยู่ตรงแปลงดอกไม้พูดขึ้นว่า “หญิงสาวที่เคยอยู่ที่นี่น่าจะเป็นหญิงสาวจากทางใต้”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ท่านเสิ่นรู้ได้อย่างไร”
เสิ่นหยางชี้ไปทางแปลงดอกไม้ “ในสวนดอกไม้นี้นอกจากต้นเถาฮวานั่นแล้ว ต้นอื่นล้วนเป็นยาพิษ ซึ่งหลายอย่างในนั้นเป็นต้นหญ้ามีพิษที่มีเฉพาะทางชายแดนทางใต้ อย่าว่าแต่คนต้าฉู่อย่างพวกเราเลย แม้แต่คนทางชายแดนใต้เองหากไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านยาพิษแล้วก็ไม่แน่ว่าจะรู้จัก อีกอย่าง…เจ้านี่…”เสิ่นหยางหยิบของเล็กๆ เป็นประกายชิ้นหนึ่งออกมาจากดินโคลนใต้ต้นเถามาโยนส่งให้เฟิ่งจือเหยา เฟิ่งจือเหยาลองชั่งน้ำหนักบนมือ “นี่คือของเล่นอะไรหรือ ดูเหมือนของที่อยู่ในเครื่องประดับของเด็กหญิง”
ม่อซิวเหยากวาดตามองรอบหนึ่ง ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “นั่นเป็นของที่ใช้เป็นเครื่องประดับศีรษะของเด็กสาวทางชายแดนใต้ อีกอย่าง…น่าจะเป็นของที่เด็กสาวชนชั้นสูงที่ยังไม่แต่งงานใช้ ด้านหลังหินหลันเป่าน่าจะมีสลักไว้ นั่นน่าจะเป็นตราประจำชนเผ่าของชนชั้นสูง เดี๋ยวให้ใครไปลองสืบดู” เฟิ่งจือเหยาลองพลิกดูทางด้านหลังของหินหลันเป่าที่ใช้ทำเครื่องประดับดู มองอยู่เป็นนานจึงได้เห็นว่าในมุมลับตามุมหนึ่งมีรอยสลักเล็กๆ ดูไม่ค่อยชัดอยู่จริง หากม่อซิวเหยาไม่พูดขึ้นมา เกรงว่าจะเห็นว่ามันเป็นรอยตำหนิของเครื่องประดับเสียมากกว่า หรืออาจไม่สังเกตเห็นเลยจนปล่อยผ่านไปก็เป็นได้ “ตราประจำชนเผ่าหรือ คนทางชายแดนใต้นิยมแกะสลักตราชนเผ่าไว้บนเครื่องประดับหรือ”
เสิ่นหยางส่ายหน้า “ในชายแดนใต้ตราประจำชนเผ่าถือเป็นเครื่องหมายแทนฐานะและความรุ่งเรือง ไม่เพียงบนเครื่องประดับเท่านั้น แต่บนเสื้อผ้าพวกเขาก็นิยมที่จะประทับตราประจำชนเผ่าลงไป ในชายแดนทางใต้ คนทั่วไปโดยมากมักรู้จักตราประจำชนเผ่าของชนเผ่าใหญ่ๆ ดี หากชาวบ้านทั่วไปเห็นพวกเขาก็มักจะหลีกทางให้
“อาหลีไม่มีทางเอาของที่ไม่มีประโยชน์มาฝังไว้ที่นี่” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ข้าว่าอาหลีคงหนีไปแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า เก็บหินของเครื่องประดับนั่นไว้เสีย “เอาเถิด ข้าจะส่งคนไปสืบดู”
“ท่านอ๋อง” องครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือจดหมายมาฉบับหนึ่ง “เราเพิ่งพบสิ่งนี้ที่หน้าประตูพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยารับจดหมายมาเปิดอ่าน คิ้วคมค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน “ท่านอ๋อง”
ม่อซิวเหยาพับจดหมายกลับเหมือนเดิม พร้อมเก็บเข้าแขนเสื้อ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับเฟิ่งจือเหยาว่า “กลับเมืองหลวง”
“เช่นนั้นพระชายา…”
“นั่นเป็นจดหมายที่องครักษ์ข้างกายอาหลีส่งมา อาหลีพ้นจากอันตรายแล้ว ส่วนม่อจิ่งหลี…เจ้าให้คนไปดูที่ชายป่าห่างไปทางตะวันตกประมาณห้าลี้ หากเจอม่อจิ่งหลีก็ให้นำตัวเขากลับเมืองหลวง จำไว้ให้ดี ข้าต้องการให้เขากลับถึงตำหนักหลีอ๋องอย่างปลอดภัย อย่าได้ทำให้ใครแตกตื่น” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “พระชายากลับไปแล้วหรือ”
ม่อซิวเหยาเหลือบตามองเขา “ชายาตำหนักติ้งอ๋องหายตัวไป คนตำหนักติ้งอ๋องหยุดงานทั้งหมดลง เพื่อออกตามหาร่องรอยของพระชายา”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าม่อซิวเหยาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีนัก จึงกลืนคำถามในใจลงไปอย่างรู้งาน “พ่ะย่ะค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ พวกองครักษ์สามติดตามพระชายามาได้ครึ่งปี ฝีมือดูจะก้าวหน้าไปไม่น้อย จนเกือบจะไปไหนมาไหนได้โดยไม่มีใครรู้” เฟิ่งจือเหยาบ่นไปพลางก็รีบออกไปสั่งให้คนไปทำงานไปด้วย ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดี อย่าเพิ่งไปทำให้ท่านโกรธจะดีกว่า แต่ดูท่า…หลายวันมานี้ความอดทนที่เก็บกดไว้คงจะใกล้ระเบิดเต็มทีแล้วกระมัง
บนถนนใหญ่ในเมืองหลวง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถือพัดเดินอ้อยอิ่งอยู่บนถนน เด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาประหนึ่งหยก แววตาใสเป็นประกาย ถึงแม้ดูแล้วจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยละอ่อน แต่เชื่อได้ว่าหากโตอีกหน่อย ความหล่อเหลาและมีเสน่ห์ของเขาจะไม่แพ้คุณชายเจ้าเสน่ห์คนใดในเมืองหลวงอย่างแน่นอน ด้านหลังเด็กหนุ่มมีองครักษ์ร่างกำยำสองคนเดินตามมา ทำให้คนที่เดินไปเดินมาอดไม่ได้ที่จะหันมอง พร้อมเกิดความคิดขึ้นในใจว่า คุณชายของตระกูลใด พาองครักษ์ออกมาเที่ยวเช่นนี้
องครักษ์ลับสามยืนอยู่กลางถนนอย่างทำตัวไม่ถูก หันมองคุณชายข้างหน้าที่เดินเล่นดูข้าวของสารพัดอย่างริมถนนแล้วลอบใช้หัวไหล่สะกิดองครักษ์ลับสี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าว่าพระ…คุณชายคิดจะทำอันใดหรือ” องครักษ์สี่ปรายตามองเขา ก่อนเอ่ยขึ้นเรียบๆ “คุณชายก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่ารอข่าวใหญ่”
“รอข่าวใหญ่ก็ไม่จำเป็นต้องมาเดินเอ้อระเหยอยู่บนถนนเช่นนี้กระมัง หากถูกคนที่ตำหนักจับได้เข้า…” เมื่อคิดถึงว่านายของตนที่เมื่อพ้นจากอันตรายมาได้แล้วกลับไม่ยอมกลับตำหนัก องครักษ์สามก็พอจะนึกสีหน้าของท่านอ๋องออกว่าจะเป็นเช่นไร พระชายานั่นไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเขาเป็นองครักษ์ลับจะต้องซวยมากแน่ๆ
มุมปากขององครักษ์ลับสี่กระตุกเล็กน้อย กวาดตามองคุณชายในชุดขาวข้างหน้าทีหนึ่ง “สภาพเช่นนั้น หากเจ้าไม่รู้มาก่อน แล้วพระชายามายืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเจ้าจะดูออกหรือ” ฝีมือการปลอมตัวของเจ้านายพวกเขาเทียบไม่ได้เลยกับคุณหนูชนชั้นสูงที่ลอบหนีออกจากบ้านมาเดินเล่นข้างนอก พวกนั้นแค่มองก็ดูออกแล้วว่าเป็นใคร ตั้งแต่เรื่องความสูงและรูปร่าง รูปคิ้วไปจนถึงดวงตา แม้แต่น้ำเสียงหรือท่าทางการเดินล้วนเปลี่ยนไปทั้งหมด ที่สำคัญที่สุดคือ ต่อให้นักแปลงโฉมฝีมีดีมายืนตรงหน้านางก็ยังดูไม่ออก เพราะนางไม่ได้ใช้อุปกรณ์ใดๆ หรือหน้ากากหนังคนในการแปลงโฉมเลย หากตอนนี้มีใครกล้าออกมายืนชี้ว่าคุณชายคนผู้นี้เป็นผู้หญิง คงได้ถูกคนทั้งถนนมองด้วยสายตารังเกียจเป็นแน่ นี่คือเหตุผลที่ทำไมพระชายาจึงกล้าที่จะออกมาเดินเอ้อระเหยอยู่บนถนน
องครักษ์ลับสามพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ในเมืองหลวงนี้มีคนรู้จักพระชายาอยู่น้อยมาก หากนางอยู่ในสภาพนี้แล้วยังมีคนจำได้ เช่นนั้นก็คงดูจะไม่สมเหตุสมผล เพียงแต่…พวกเขามีหน้าที่เป็นองครักษ์ลับ จะให้มายืนเล่นเดินเล่นอยู่บนถนนกลางวันแสกๆ ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ พวกเขาไม่ชินเอาเสียเลย องครักษ์ลับสี่ตีองครักษ์ลับสามที่มัวแต่ยืนเหม่อเข้าให้ทีหนึ่ง “ยังไม่ไปอีก แค่เจ้าไม่ทำท่ามีพิรุธเช่นนั้น องครักษ์ลับของตำหนักก็มองพวกเราไม่ออกหรอก อย่าลืมที่คุณชายเคยพูดไว้” องครักษ์ลับสามพยักหน้า ก่อนเขากับองครักษ์ลับสี่จะรีบเดินตามคุณชายในชุดขาวที่เดินห่างไปไกลแล้วไป พระชายาพูดไว้แล้วว่า นางไม่ต้องการองครักษ์ลับทีคุ้มกันนางได้จากในที่ลับเพียงอย่างเดียว แต่ที่นางต้องการคือคนที่สามารถยืนอยู่ข้างนางและพร้อมให้ความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่และสามารถปฏิบัติภารกิจต่างๆ ให้สำเร็จไปด้วยกันได้
เมื่อเยี่ยหลีเดินเที่ยวเล่นเสร็จจึงเดินกลับไปยังห้องพักหมายเลขหนึ่งของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่เป็นที่พักในเมืองหลวงชั่วคราว องครักษ์ลับหนึ่งและสองรออยู่ที่ห้องก่อนแล้ว
องครักษ์ลับหนึ่งหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา “จดหมายจากใต้เท้าสวีถึงคุณชายขอรับ เชิญคุณชายให้ไปพบกันพรุ่งนี้ที่วัดจิ้งหลิงนอกเมือง พรุ่งนี้ใต้เท้าสวีกับสวีฮูหยิมรวมถึงคุณชายตระกูลสวีทุกท่านจะไปไหว้พระขอพรให้พระชายาที่วัดจิ้งหลิงขอรับ” เยี่ยหลีพยักหน้า ในหัวคิดหนักว่าพรุ่งนี้จะอธิบายกับท่านลุงรองอย่างไรเรื่องที่ผ่านมานานแล้วแต่นางยังไม่ยอมกลับตำหนักจนทำให้พวกท่านเป็นกังวล รวมถึงแผนการณ์ต่อไปของนางด้วย นางนวดหน้าผากเบาๆ ก่อนหันมองไปทางองครักษัลับสอง “มีข่าวของชิงหลวนกับชิงอวี้หรือยัง” องครักษ์ลับสองพยักหน้า “เมื่อคืนวานท่านอ๋องได้ให้คนไปพาตัวชิงหลวนกับชิงอวี้กลับมาที่ตำหนักแล้วขอรับ เพียงแต่…” องครักษ์ลับสองขมวดคิ้วมองหน้าเยี่ยหลี “ดูเหมือนพวกนางจะสูญเสียความทรงจำไปขอรับ พวกนางจำไม่ได้เลยว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นบ้าง ดูเหมือนองครักษ์ลับจะพบตัวพวกนางที่ตำหนักเย็นขอรับ”
“สูญเสียความทรงจำหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ”ท่านอ๋องว่าอย่างไร”
“ท่านอ๋องให้พวกนางพักรักษาตัวอยู่ในตำหนัก ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตเข้าใกล้พวกนางโดยพลการ แล้วยังได้ให้ท่านเสิ่นช่วยรักษาพวกนางด้วยขอรับ ในตำหนักวางกำลังคุ้มกันไว้แน่นหนามาก ถึงพวกข้าน้อยจะคุ้นเคยกับสถานที่เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้มานัก ดังนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียดขอรับ” องครักษ์ลับสองพูดด้วยความรู้สึกผิด
“เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องเป็นอย่างไร เยี่ยหลีรู้ดีอยู่แก่ใจ องครักษ์ลับสองสามารถลอบเข้าไปโดยไม่ทำให้ใครแตกตื่นและสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่ม่อซิวเหยาให้ชิงอวี้และชิงหลวนแยกตัวออกมาจากคนอื่น ดูเผินๆ เหมือนจะให้พวกนางสามารถรักษาตัวได้อย่างสงบ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าจะไม่นึกสงสัยในตัวพวกนาง เกือบหนึ่งปีที่ได้เรียนรู้กันนั้น เมื่อเทียบกับชิงสยาที่เป็นคนใช้ข้างกายของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนและชิงซวงที่อายุค่อนข้างน้อยและค่อนข้างกระโดกกระเดกแล้ว ตามปกตินางจะเชื่อใจชิงหลวนและชิงอวี้มากกว่าเล็กน้อย ด้วยเพราะนางเชื่อใจในท่านลุงและท่านตา เยี่ยหลีจึงไม่เคยคิดว่าชิงหลวนและชิงอวี้จะทรยศนาง เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าตอนนี้นางจะยังไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ชั่วคราว นางกำลังจะไปจากเมืองหลวง และเดิมทีนางก็ไม่ได้คิดที่จะเอาสาวใช้เหล่านั้นไปด้วยอยู่แล้ว ม่อซิวเหยาเองก็คงไม่จัดการกับคนข้างกายนางตามอำเภอใจ เช่นนั้น…ก็ให้ม่อซิวเหยาลองดูแล้วกันว่าพวกนางจะไว้ใจได้หรือไม่