ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 88-1 สงครามปะทุ
“คุณชายหาน…พวกท่านรื้อฟื้นอดีตกันพอหรือยัง หากยังไม่ลงมือ อีกเดี๋ยวคนของตำหนักติ้งอ๋องมาถึงก็คงสายไปแล้ว” เสียงไม่พอใจของบัณฑิตขี้โรคดังขึ้นที่ด้านหลัง
หานหมิงเย่ว์ส่งเสียงเหอะเบาๆ พร้อมทั้งยื่นมือไปดึงกริชที่ปักอยู่บนหัวไหล่ออก บาดแผลบนหัวไหล่ทำให้เขาอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ เขามองหน้าหานหมิงซีนิ่งแล้วพูดว่า “หมิงซี เจ้าหลบไปยืนทางนู้น อย่ามาขวางทางเวลาข้าลงมือ”
หานหมิงซีกัดฟัน ฝืนยืดตัวยืนขึ้นมาขวางหน้าเยี่ยหลี “เจ้าอยากลงมือกับนางก็ย่อมได้ แต่จัดการข้าให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
หานหมิงเย่ว์มิได้พูดอันใดให้มากความอีก เขายื่นมือจับเข้าที่หัวไหล่ของหานหมิงซีทันที
หานหมิงซีที่เมื่อครู่เพิ่งถูกทำร้ายมา ถึงแม้ในตอนท้ายหานหมิงเย่ว์จะดึงกำลังภายในกลับได้ทัน แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บพอควร ตอนนี้เขายกมือซ้ายขึ้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และเดิมทีเขาก็มิใช่คู่ต่อสู้ของหานหมิงเย่ว์อยู่แล้ว
เยี่ยหลีที่ยืนอยู่ด้านหลังหานหมิงซียื่นมือไปดึงคนที่ขวางหน้านางก่อนผลักเขาออกไป อีกมือก็ไม่ลืมที่จะรับการโจมตีของหานหมิงเย่ว์ไปด้วย ถึงแม้กำลังภายในของเยี่ยหลีจะไม่ดีนัก แต่นางเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะประชิดเป็นอย่างมาก กระบวนท่ามิได้ดูแพรวพราว แต่ทุกครั้งที่กริชในมือนางสะท้อนประกายขึ้น จะต้องมีรอยเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้างปรากฏขึ้นทุกครั้ง
การต่อสู้ที่หมายเอาชีวิตในทุกก้าวเช่นนี้ทำให้หานหมิงเย่ว์อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ระหว่างที่เขาปัดการโจมตีไปเรื่อยๆ นั้น ตัวเขาก็ร่นถอยหลังไปหลายจั้ง “ไม่ได้เจอกันเกือบปี ไม่คิดว่าฝีมือของพี่สะใภ้จะก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วเช่นนี้” หากจะว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เยี่ยหลีสามารถจัดการเขาได้เป็นเพียงความบังเอิญแล้วล่ะก็ ครั้งนี้คงถือได้ว่าทั้งสองต่างใช้วิทยายุทธ์เข้าต่อสู้กันจริงๆ
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าคงไม่อาจกล้าให้ท่านเรียกว่าพี่สะใภ้ คุณชายหาน ข้าทำการค้ากับเทียนอี้เก๋ออย่างเปิดเผย แต่วันนี้ท่านเพียงหันหน้าก็ขายข้าให้กับคนอื่นเสียแล้ว นี่เป็นวิถีการทำการค้าของท่านหรือ หรือว่าเทียนอี้เก๋ออยู่ได้เพราะการทรยศลูกค้า”
สีหน้าหานหมิงเย่ว์ยังคงจริงใจและใสซื่อเหมือนที่ผ่านมา “พระชายายังคงฉลาดเฉลียวเช่นที่ผ่านมา ในโลกนี้…มักมีหลายๆ เรื่องที่เราเลือกไม่ได้ ถึงแม้ไม่อยากทำแต่ก็ต้องทำ มิใช่หรือ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “หากตอนนี้ม่อซิวเหยาอยู่ที่นี่ ท่านคิดว่าจะบอกว่ามันเป็นเพียงการเข้าใจผิดอีกครั้งหรือไม่”
หานหมิงเย่ว์เพียงยิ้มมิได้กล่าวอันใด
บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็นขึ้น “หากตอนนี้ม่อซิวเหยาอยู่ที่นี่ ก็จะได้ตายไปเป็นเพื่อนเจ้าพอดีน่ะสิ!”
เยี่ยหลีหันหน้าไปมองบัณฑิตขี้โรคที่ดูพร้อมจะเข้าโจมตี นางจึงเอ่ยด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ข้าขอบอกท่านว่าท่านอย่าได้ผลีผลามทำอันใดจะดีกว่า หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าคงมิรู้จะพูดกับท่านเจ้าสำนักหลิงว่าอย่างไร”
บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็นด้วยความโกรธ หมายจะก้าวขึ้นหน้ามาเพื่อพูดบางอย่าง แต่เกิดเสียงสวบดังขึ้น พร้อมกับลูกธนูที่ยินเฉียดตัวเขาทั้งซ้ายและขวาต่อกันสองดอก ก่อนไปปักลงบนพื้นที่ห่างจากตัวเขาไปมีถึงหนึ่งฉื่อ
สีหน้าของบัณฑิตขี้โรคเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว ได้ยินเพียงเสียงเยี่ยหลีพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเคยบอกท่านหัวหน้าสำนักสามไว้แล้วว่า แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่ชอบความเสี่ยง”
เมื่อเห็นสีหน้าย่ำแย่ของบัณฑิตขี้โรค หานหมิงเย่ว์จึงหัวเราะเสียงต่ำ “พี่สะใภ้ ท่านไม่จำเป็นต้องขู่พวกเราหรอก องครักษ์ลับทั้งหลายถูกข้าหลอกไปทางอื่นกันหมดแล้ว ตอนที่ท่านรีบร้อนเข้ามานี้ คงมีผู้ติดตามมาเพียงสองสามคนเท่านั้น”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยังมีกันสามคน แต่คุณชายหมิงเย่ว์ ท่านเล่า”
หานหมิงซีที่นั่งอยู่บนพื้น พูดเสียงดังขึ้นว่า “มิใช่สามคน แต่เป็นสี่คน” เห็นได้ชัดว่าเขาแน่วแน่ที่จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่ชายของตนเอง
หานหมิงเย่ว์มิได้สนใจน้องชายของตน เขายิ้มน้อยๆ จ้องหน้าเยี่ยหลี “ที่เมืองหลวงคราก่อน พระชายาทำให้ข้าน้อยต้องมองท่านใหม่ แต่ครานี้กลับยิ่งน่าตกใจเข้าไปใหญ่ ท่านที่เป็นถึงพระชายาแห่งติ้งอ๋อง แต่กลับแต่งกายเป็นชายเดินทางมาหนานเจียงแต่เพียงคนเดียว เชื่อว่าเรื่องน่าสนุกที่เกิดขึ้นในวังนั่นก็คงเป็นฝีมือท่านด้วยกระมัง”
เยี่ยหลีตอบเรียบๆ ว่า “ที่คุณชายหมิงเย่ว์สามารถสร้างละครฉากหนึ่งขึ้นได้ในวันนี้ เชื่อว่าคงมาอยู่ที่หนานจ้าวได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เหตุใดต้องเอ่ยถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วด้วยหรือ”
หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น “บังเอิญเท่านั้นเอง หากข้ารู้ก่อนว่าพระชายาอยู่ที่นี่ด้วย ข้าน้อยจะต้องเตรียมการให้รอบคอบกว่านี้เป็นแน่ คงไม่ประมาทถึงเพียงนี้”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เช่นนั้น คุณชายหมิงเย่ว์คิดว่าวันนี้ท่านจะฆ่าข้าได้หรือไม่หรือ”
หานหมิงเย่ว์สายหน้าพร้อมหัวเราะเสียงดัง “พระชายาท่านเข้าใจผิดแล้ว มีพระชายาติ้งอ๋องอยู่ในมือสามารถทำอันใดได้ตั้งมากมาย หากฆ่าท่านเสียแต่ตอนนี้คงหมดเรื่องน่าสนุกไปเยอะทีเดียวมิใช่หรือ”
“หานหมิงเย่ว์!” บัณฑิตขี้โรคร้องเรียกขึ้นด้วยความไม่พอใจ ที่เขายอมทำตามแผนการของหานหมิงเย่ว์ก็เพื่อฆ่าภรรยาของม่อซิวเหยาทิ้งเสีย ตอนนี้หานหมิงเย่ว์หมายความเช่นไรกัน สายตาที่มืดครึ้มและเย็นเยียบจ้องมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้า หากเขากล้าหลอกใช้ตนแล้วไม่ยอมทำตามที่ลั่นวาจาไว้ล่ะก็ เขาจะทำให้รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตขี้โรคถึงเป็นบุคคลที่คนทั้งยุทธภพมิมีผู้ใดกล้าล่วงเกิน
หานหมิงเย่ว์หันมองบัณฑิตขี้โรคแล้วหัวเราะขึ้นเรียบๆ “ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ตอนนี้ยังฆ่าพระชายาติ้งอ๋องมิได้จริงๆ ถึงแม้ท่านหัวหน้าหน่วยสามจะเป็นคนซีหลิง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงของต้าฉู่ตลอดครึ่งปีมานี้ท่านคงพอได้ยินมาบ้างใช่หรือไม่ หากพวกเราฆ่าพระชายาติ้งอ๋องตอนนี้ เกรงว่าไม่ว่าข้าหรือท่านคงหนีไม่พ้นการตามฆ่าจากตำหนักติ้งอ๋องเป็นแน่”
บัณฑิตขี้โรคหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ากลัวหรือ ข้าไม่กลัวหรอกนะ” หากว่ากันด้วยเรื่องฆ่าคนแล้ว มีผู้ใดเชี่ยวชาญไปกว่าสำนักเยี่ยนอ๋องอีกหรือ
หานหมิงเย่ว์ได้แต่ก้มหน้าลงหัวเราะขื่นๆ “ข้านึกกลัวอยู่บ้างจริงๆ ท่านหัวหน้าหน่วยสาม วันนี้ข้าจะพาตัวพระชายาติ้งอ๋องไปก่อน หากต่อไปท่านหัวหน้าหน่วยสามมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ช่วยเหลือ หานหมิงเย่ว์จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน อีกอย่าง…คนที่มีความแค้นกับท่านคือม่อซิวเหยา มิใช่ภรรยาของเขา หากท่านฆ่านาง อย่างมากก็เพียงทำให้ม่อซิวเหยาเสียหน้าเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความเจ็บปวดใดๆเลย”
เยี่ยหลีมองจ้องหานหมิงเย่ว์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์ นางหัวเราะเสียงเย็นแล้วเอ่ยว่า “คุณชายหมิงเย่ว์ เวลาที่ท่านพูดว่าจะจับตัวผู้ใด ท่านควรแน่ใจก่อนว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นได้จริงๆ หรือไม่มิใช่หรือ ท่านหัวหน้าหน่วยสาม ทางที่ดีท่านอย่าได้รับปากอันใดกับคนทำการค้าเลย ดูข้าตอนนี้สิ นอกจากจะต้องชดเชยด้วยเงินแล้ว ยังถูกเขาจับมาขายอีกด้วย”
หานหมิงเย่ว์หัวเราะน้อยๆ “ขอโทษด้วยพระชายา คนที่รับเงินท่านคือหานหมิงซี เขามิได้ส่งเงินให้เทียนอี้เก๋อเลยแม้แต่แดงเดียว ดังนั้นครั้งนี้อย่างมากก็เพียงพูดได้ว่าเขาใช้ประโยชน์จากเทียนอี้เก๋อในการทำเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ข้ามีสิทธิ์ทำเช่นนั้นหรือไม่นั้น…” หานหมิงเย่ว์ยกมือขึ้น ก็มีเสียงบางอย่างแตกดังขึ้นบนฟ้า บนฟ้าที่ยังสว่างไสวเห็นมีลูกไฟลอยขึ้นไป
เยี่ยหลีเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงคนและม้าจำนวนมากกำลังวิ่งเข้ามาจากรอบทิศทาง “ตอนนี้พระชายายังมีอันใดจะพูดอีกหรือไม่”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม ยกมือขึ้นส่งสัญญาณมือสองครั้ง “ดูท่าข้าคงทำได้เพียงรอให้ถูกจับแล้ว”
“พระชายาช่างหลักแหลมนัก” หานหมิงเย่ว์มองสัญญาณมือที่ดูประหลาดตาของเยี่ยหลี ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสายตาที่จ้องเขาอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว คิดว่าน่าจะหมายถึงให้ล่าถอยไป “ทุกครั้งที่ได้พบหน้าท่าน ความคิดอ่านและความใจกล้าของพระชายามักทำให้ข้าน้อยประหลาดใจเสมอ”
เยี่ยหลียิ้ม “อันที่จริงท่านควรจะประหลาดใจในความโชคดีของข้าเสียมากกว่า”
แววตาของหานหมิงเย่ว์นิ่งไป จ้องมองนางด้วยความระมัดระวัง คนของเทียนอี้เก๋อค่อยๆ รายล้อมเข้ามา หานหมิงเย่ว์จ้องมองนางอยู่พักใหญ่จึงค่อยผ่อนคลายลง มีคนจำนวนมากเช่นนี้รายล้อมอยู่ ต่อให้เยี่ยหลีมีปีกก็อย่าได้คิดบินหนีเลย อีกอย่างด้วยสายตาของเขาและข้อมูลจากบัณฑิตขี้โรค หานหมิงเย่ว์จะไม่รู้ได้อย่างไรว่า วิชาตัวเบาและกำลังภายในของเยี่ยหลีนั้นไม่ถือว่าดีสักเท่าไร
เยี่ยหลีหันมองรอบตัวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ไม่มีความตื่นตระหนกให้เห็นแม้แต่น้อย
“พี่สะใภ้ ข้ากับซิวเหยาเป็นสหายกัน ท่านคงไม่อยากให้ข้าต้องเสียมารยาทใช่หรือไม่ ท่านจะเดินไปเอง หรือ…” หานหมิงเย่ว์มองเยี่ยหลีพร้อมหัวเราะด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วจึงส่ายหน้า “อันที่จริงท่านลืมเรื่องที่ท่านเป็นสหายกับม่อซิวเหยาไปเลยก็ยังได้ ยิ่งท่านพูดถึงเรื่องนี้เท่าไร ข้าก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจท่านเท่านั้น”
หานหมิงเย่ว์หัวเราะ “ต่อให้ท่านรังเกียจข้าเพียงใด แต่ก็มิอาจแก้ไขความจริงที่ว่าข้ากับซิวเหยาเคยเป็นสหายรักประหนึ่งพี่น้องกันมาก่อนได้นี่”
“ท่านก็พูดเองว่า เคย” เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะหันไปกลอกตาใส่เขา หานหมิงเย่ว์ผู้นี้สมองมีปัญหาหรืออย่างไร ด้านหนึ่งก็หวนนึกถึงอดีตที่เคยคบหากัน แต่อีกด้านหนึ่งก็คอยแต่จะทำลายความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดอย่างเต็มที่ ปากเอาแต่พูดถึงเรื่องที่เคยคบหาสมาคมกับม่อซิวเหยา แต่ถึงเวลาลงมือกลับไม่เคยออมมือเลย เอาเถิด…คราวที่แล้วเขาออมให้แล้วทีหนึ่ง เพียงแต่ม่อซิวเหยาเองก็ออมมือให้เช่นกันมิใช่หรือ “คุณชายหาน ครั้งนี้ท่านคงมิได้มาหาเรื่องข้าเพื่อผู้ใดอีกหรอกกระมัง”
หานหมิงเย่ว์สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เขาบอกเจ้าแล้วหรือ!”
“จำเป็นต้องบอกด้วยหรือ ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแต่…หลังจากเกิดเรื่องม่อซิวเหยาได้รับปากข้าเรื่องหนึ่ง ท่านอยากฟังหรือไม่”
สีหน้าที่สง่างามของหานหมิงเย่ว์ดูแข็งไปเล็กน้อยแล้วจึงค่อยยิ้มบางๆ “ข้ารอฟังอยู่”
“ข้าไม่นิยมการตอบแทนความแค้นด้วยบุญคุณ ข้าเดาว่าม่อซิวเหยาเองก็เช่นกัน ดังนั้น คราก่อนจึงถือเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย”
หานหมิงเย่ว์ฝืนหัวเราะ “ดูท่าซิวเหยาจะให้ความสำคัญกับพี่สะใภ้มากทีเดียว เช่นนั้น…หากมีพี่สะใภ้อยู่ในมือ เชื่อว่าเขาคงลงมือกับพวกเราด้วยความเกรงใจ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ขอให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อคุณชายหมิงเย่ว์ได้เปิดเผยไพ่ตายในมือแล้ว เช่นนั้นมาดูหมากในมือข้าบ้างดีหรือไม่”
หานหมิงเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร”
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย นางยกมือขึ้นผิวปากเสียงแหลมเล็ก ท้องฟ้าห่างจากจุดที่คนของเทียนอี้เก๋อล้อมอยู่ไม่ไกล มีดอกไม้ทาสีดำดอกหนึ่งพุ่งขึ้นมา จากนั้นไกลออกไปอีกหนอ่ยก็มีลูกไฟสีดำพุ่งขึ้นฟ้าเช่นเดียวกัน แล้วจึงมีเสียงฝีเท้าม้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หานหมิงเย่ว์เงี่ยหูฟัง สีหน้ามีแววสั่นไหว “หน่วยเฮยอวิ๋นฉี…เฮยอวิ๋นฉีมาอยู่ที่หนานเจียงได้อย่างไร!”