ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 88-2 สงครามปะทุ
เมื่อได้ยินชื่อเฮยอวิ๋นฉี ไม่เพียงหานหมิงเย่ว์เท่านั้น แม้แต่บัณฑิตขี้โรคและคนของเทียนอี้เก๋อต่างก็มีสีหน้าตื่นตกใจด้วยกันทุกคน เป็นที่รู้กันดีว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเป็นกองกำลังที่ดีเยี่ยมที่สุดของตำหนักติ้งอ๋อง กองกำลังทหารของตระกูลม่อคอยกวาดล้างอุปสรรคทุกอย่างภายในสนามรบ ส่วนหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้เองที่เป็นกองกำลังแนวหน้า ที่คอยบุกโจมตีเข้าห้ำหั่นกับศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกครั้ง หากถูกกองกำลังทหารเช่นนี้ล้อมไว้จริง อย่าว่าแต่คนของเทียนอี้เก๋อที่เขาเรียกให้มารวมตัวกันอย่างรีบร้อนเลย ต่อให้เป็นกองกำลังของเทียนอี้เก๋อทั้งหมดรวมกับสำนักเยี่ยนอ๋องก็คงไม่มีโอกาสชนะได้
คนที่ตกใจกับเรื่องนี้เช่นกันคือเยี่ยหลี ก่อนหน้านี้นางเพียงเรียกรวมองครักษ์ลับที่อยู่ในหนานเจียงเท่านั้น ซึ่งในกลุ่มนั้นไม่มีคนของเฮยอวิ๋นฉีอยู่ด้วย อันที่จริงนางไม่รู้มาก่อนว่าที่หนานเจียงมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่
หานหมิงเย่ว์กัดฟันกรอด ก่อนพุ่งตัวเข้าใส่เยี่ยหลี เมื่อได้เข้ามาอยู่ในวงล้อมของเฮยอวิ๋นฉี พวกเขาไม่มีทางหนีออกไปได้อีก แผนการตอนนี้คงทำได้เพียงจับตัวเยี่ยหลีไว้ให้ได้ แล้วค่อยหาทางต่อรองหนีออกไปเท่านั้น เพียงแต่ เยี่ยหลีเป็นคนที่ให้จับตัวได้ง่ายเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด
เมื่อทั้งสองเริ่มต่อสู้กัน เสื้อบริเวณคอเสื้อของหานหมิงเย่ว์ก็ฉีกขาดเป็นแนวทันที ยังดีที่เขาหลบได้ไวจึงไม่บาดเจ็บถึงเนื้อ หากเป็นการประลองวิทยายุทธ์ทั่วไป เมื่อต่อสู้กันนานเข้าด้วย จะต้องเป็นเยี่ยหลีที่พ่ายแพ้เนื่องจากกำลังภายในที่ไม่เพียงพอ แต่หากสู้กันถึงตายแล้ว เยี่ยหลีมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ได้มาจากการฝึกฝนอย่างทรหดมาในสนามรบและการฝึกฝนสารพัดประเภท วิทยายุทธ์การต่อสู้ของนางดูจะมีประโยชน์กว่าไม่น้อย อีกอย่างเยี่ยหลีก็มิได้คิดที่จะต่อสู้กับเขาเพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะอยู่แล้ว จึงมิได้สนใจเรื่องกระบวนท่าสิบกว่ากระบวนท่านั่น
ชายในชุดดำที่ควบม้าเข้ามาด้วยความรวดเร็วนั้นใกล้เข้ามามากแล้ว และกำลังเริ่มเข้าปะทะกับคนของเทียนอี้เก๋อ
เทียนอี้เก๋อเป็นสำนักที่ติดตามเรื่องข่าวสารมิใช่สำนักของนักฆ่า และก็มิใช่สำนักองครักษ์ ถึงแม้ลูกน้องของสำนักจะพอมีวิทยายุทธ์อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้สูงส่งนัก และถึงแม้จะมีคนที่มีวิทยายุทธ์สูงส่งอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจำนวนน้อยเต็มที
เมื่อเทียบกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่เกิดและเติบโตมาในสนามรบและกลับมาพร้อมกับรังสีนักฆ่าที่มากล้นแล้ว เพียงแค่นี้น้ำหนักก็เอนเอียงไปทางเฮยอวิ๋นฉีมากกว่าแล้ว อีกทั้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขามุ่งเป้ามาที่ศัตรูผู้ที่เป็นเป้า หมายจะเอาชีวิตตั้งแต่ยังไม่ลงจากหลังม้า
คนของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองคนกระโดดออกจากหลังม้าลงมายืนข้างๆ เยี่ยหลี พร้อมพุ่งตัวเข้าหาหานหมิงเย่ว์ทันที เยี่ยหลีเห็นประกายกริชในมือแข็งแรงกวัดแกว่งไปมาเพื่อกันหานหมิงเย่ว์ให้ถอยห่างออกไป หานหมิงเย่ว์คิดอยากโจมตีขึ้นหน้าเข้ามาอีกแต่ก็ถูกคนของเฮยอวิ๋นฉีสองคนล้อมไว้จนมิอาจหนีไปที่ใดได้
บัณฑิตขี้โรคที่ยืนมองอยู่อีกด้านก็มิได้ดีไปกว่ากันนัก คนของเฮยอวิ๋นฉีต่างรู้ถึงฐานะของบัณฑิตขี้โรคเป็นอย่างดี จึงไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย แส้เส้นยาวถูกส่งออกไปทักทายบนตัวเขา องครักษ์ลับสองและสามกระโดดลงมาข้างกายเยี่ยหลี เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า
“หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
องครักษ์ลับสองตอบเสียงขรึมว่า “พระชายา เกิดเรื่องแล้วขอรับ องครักษ์ลับที่มีอยู่ถูกคุณชายชิงเฉินเรียกตัวไป หน่วยเฮยอวิ๋นฉีกลุ่มนี้เดิมทีฝึกอยู่ใกล้ๆ เมืองหย่งโจว มาเพื่อรับตัวพระชายาโดยเฉพาะขอรับ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” ถึงได้ทำให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเดินทางหลายร้อยลี้จากหย่งโจวเพื่อมารับตัวนาง เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “ม่อจิ่งหลีหรือ!”
องครักษ์ลับสองพยักหน้า “สามวันก่อนอยู่ดีๆ กองทัพเมืองหลิงโจวก็เข้าโจมตีเมืองหย่งโจว และด่านซุ่ยเสวี่ยก็ถูกกองทัพจากหนานจ้าวบุกเข้าโจมตีในเวลาเดียวกัน หน่วยเฮยอวิ๋นฉีรู้ว่าตอนนี้พระชายาอยู่ที่หนานเจียง จึงได้รีบเดินทางมาเพื่อรับตัวพระชายาและคุณชายชิงเฉินไปขอรับ”
เยี่ยหลีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที “เหลวไหล ในเมื่อกองทัพจากแคว้นหนานจ้าวบุกเข้าโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ย แล้วเหตุใดหน่วยเฮยอวิ๋นถึงไม่ไปช่วยท่านแม่ทัพมู่หรงคุ้มกันด่านชายแดนไว้เล่า”
องครักษ์ลับสองยิ้มขื่น “หน่วยเฮยอวิ๋นลงมาฝึกที่หนานเจียงอย่างลับๆ มิได้รายงานต่อฝ่าบาทไว้ก่อน หากหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปปรากฏตัวที่ด่านซุยเสวี่ย เกรงว่าพระราชโองการกล่าวโทษคงได้ส่งไปที่ตำหนักติ้งอ๋องทันทีขอรับ” อันที่จริงฝ่าบาทไม่ต้องการให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือกองทัพตระกูลม่อทำการฝึกใดๆ ทั้งสิ้น ทรงต้องการที่จะจับพวกเขาเลี้ยงรวมกันไว้ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เลี้ยงให้พิการไร้สมรรถภาพไปเลยได้ยิ่งดี
“ข้ารู้แล้ว รีบเผด็จศึกเสีย!” ประกายตางดงามกวาดตามองหานหมิงเย่ว์ที่กำลังต่อสู้อยู่ แววตาของเยี่ยหลีเป็นประกายเย็นเยียบ
องครักษ์ลับสี่มิได้ส่งจดหมายมาเลย แสดงว่าหานหมิงเย่ว์มิได้กลับไปบ้านก่อน แต่เดินทางจากซีหลิงตรงมายังหนานเจียงเลย เดิมทีเมื่อครั้งอยู่ในเมืองหลวง หานหมิงเย่ว์คิดอยากที่จะฟื้นความสัมพันธ์อันดีกับม่อซิวเหยา เยี่ยหลีเชื่อว่าในตอนนั้นเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ แต่มาตอนนี้ ครั้นมาถึงหนานจ้าว เขากลับคิดที่จะจับตัวตนเพื่อใช้ข่มขู่ม่อซิวเหยาทันทีอย่างไม่ลังเล…เขาคิดที่จะทำสิ่งใดที่หนานจ้าวกันแน่
กองทัพที่ผ่านการฝึกอย่างทรหดกับหน่วยที่ฝึกอยู่ในทุ่งหญ้าของยุทธภพนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหน่วยอวิ๋นฉีจึงใช้เวลาในการต่อสู้เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ บัณฑิตขี้โรควิ่งหนีไปอย่างทะลักทุเล คนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีคนหนึ่งยกธนูขึ้นเล็งไปทางแผ่นหลังของเขา ง้างธนูขึ้นเล็ง ยิง…
ธนูลูกยาวพุ่งทะยานไปยังแผ่นหลังของบัณฑิตขี้โรคด้วยความรุนแรง แต่จู่ๆ ก็มีเงาดำปรากฏขึ้นพร้อมกับยกกระบี่ขึ้นปัดลูกธนูนั้น เกิดเสียงดังเคร้งๆ ขึ้นสองครั้ง พร้อมลูกไฟที่ปะทุขึ้นรอบทิศ
ชายร่างสูงใหญ่กำยำในชุดสีฟ้าเข้มยืนถือดาบนิ่ง พร้อมระเบิดเสียงหัวเราะแล้วกล่าวเสียงดังว่า “ฝีมือยิงธนูของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนั้นมิมีผู้ใดเทียบได้อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ เสียด้วย”
ด้านหลังเขามีบัณฑิตขี้โรคที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าซีดขาว เขาเอ่ยเรียกเสียงต่ำว่า “พี่ใหญ่…”
หน่วยเฮยอวิ๋นฉีต่างยกคันธนูขึ้นง้าง คันธนูหลายสิบคันต่างยกเล็งไปยังชายในชุดสีฟ้าเข้มผู้นั้น
เยี่ยหลียกมือขึ้น “หยุดก่อน ปล่อยเจ้าสำนักหลิงไป”
ชายในชุดสีฟ้าก็คือหลิงเถี่ยหาน เจ้าสำนักเยี่ยอ๋องนั่นเอง หลิงเถี่ยหานเลิกคิ้วขึ้นมองประเมินเยี่ยหลี ก่อนประสานมือคารวะพร้อมกล่าวว่า “พระชายาติ้งอ๋อง น้องสามไม่ประสา ล่วงเกินท่านแล้ว ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่ของข้ากับท่านเจ้าสำนักหลิงเป็นสหายกัน ท่านเจ้าสำนักมิต้องเกรงใจ เพียงแต่นิสัยของท่านหัวหน้าหน่วยสามนั้น…”
หลิงเถี่ยหานถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง พร้อมหันมองบัณฑิตขี้โรคที่ล้มอยู่ที่พื้น “น้องสามของข้าทำผิดไว้มากมายนัก ทั้งยังมีนิสัยดื้อรั้น ข้าน้อยจะอบรมให้เข้มงวดกว่านี้ นี่เป็นตราคำสั่งสำนักเยี่ยนอ๋อง ต่อไปหากพระชายามีเรื่องอันใด ให้คนนำตรานี้มาหาข้าที่สำนักเยี่ยนอ๋องได้ทันที ขอเพียงท่านมีตราคำสั่งสำนักเยี่ยนอ๋องอยู่ในมือ น้องสามไม่มีทางทำอันใดพระชายาอีกแน่”
เยี่ยหลียกมือขึ้นรับตราเหล็กสลักชื่อสีดำที่หลิงเถี่ยหานโยนมาให้ แล้วนำเก็บไว้ “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักมาก”
หลิงเถี่ยหานยอบตัวลงพยุงบัณฑิตขี้โรคขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัว”
“ไม่ส่ง”
เมื่อเห็นหลิงเถี่ยหานห่างออกไปแล้ว จึงหันกลับไปมองหานหมิงเย่ว์ที่อยู่กลางวงล้อมและรับมือกับการโจมตีของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอยู่ด้วยความยากลำบาก ความคิดที่ว่าการรุมรังแกคนที่มีกำลังน้อยกว่าไม่ถือเป็นการต่อสู้นั้น ไม่อยู่ในหัวของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงสามารถล้มศัตรูลงได้ ต่อให้เป็นการต่อสู้แบบร้อยต่อหนึ่ง พวกเขาก็ไม่รู้สึกผิดเลยแม้สักน้อย เพราะพวกเขาเป็นทหาร มิใช่จอมยุทธแห่งยุทธภพ
“จวิน…จวินเหวย” หานหมิงซีที่มองดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด แบกเอาร่างที่บาดเจ็บสาหัสเดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยหลี เยี่ยหลีเหลือบมองหานหมิงเย่ว์ที่ยังคงต่อสู้อยู่อย่างไม่ลดละแล้วได้แต่นึกถอนใจ
“ขอร้องล่ะ ปล่อยพี่ใหญ่ข้าไปเถิด” สีหน้าหานหมิงซีที่มองนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนางแล้ว แต่เขาก็ยังอยากเป็นสหายกับนางอยู่ดี แต่เขาเองก็รู้ดีว่า เมื่อได้เอ่ยปากขอร้องไปแล้ว ต่อไปเกรงว่าเขาคงเป็นไม่ได้แม้แต่สหายของนาง
“ข้าต้องการสอบถามข่าวจากคุณชายหมิงเย่ว์เสียหน่อย” เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น อันที่จริงนางไม่คิดอยากไว้ชีวิตหานหมิงเย่ว์ ความรู้สึกที่นางมีต่อหานหมิงเย่ว์นั้นไม่ดีเอาเสียเลย หากมิใช่เพราะนางเตรียมพร้อมรับมือกับหานหมิงเย่ว์มาตั้งแต่ต้น เมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงให้องครักษ์ลับจัดวางกำลังไว้โดยทันที มิเช่นนั้นครานี้เกรงว่านางจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของหานหมิงเย่ว์เข้าจริงๆ เพียงแต่…เมื่อเห็นสีหน้าของหานหมิงซีที่ดูอ่อนระโหยโรยแรงจากอาการบาดเจ็บแล้ว นางจึงเอ่ยปากปฏิเสธไม่ออก
“เขาไม่มีทางพูดอันใดเป็นแน่ เจ้าอยากรู้อันใด หากข้ารู้ข้าจะบอกเจ้า” ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องแท้ๆ ที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ หานหมิงซีจึงรู้จักพี่ใหญ่ของตนเป็นอย่างดี หากเป็นเรื่องที่เขาไม่คิดจะบอกแล้ว อย่างไรก็ไม่มีทางปริปากหลุดอันใดออกมาอย่างแน่นอน
“หานหมิงซี! เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” หานหมิงเย่ว์ที่ยังคงต่อสู้หันมาเอ่ยตะโกนขึ้น บนหัวไหล่เขาจึงได้แผลใหม่เพิ่มขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นว่าบนตัวหานหมิงเย่ว์มีบาดแผลมากขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังถูกพี่ใหญ่ตะโกนต่อว่าอีก ในที่สุดหานหมิงซีจึงระเบิดอารมณ์ออกมา “เจ้าสิหุบปาก! เจ้าอยากตายก็อย่าได้ลากเอาคนของเทียนอี้เก๋อมาตายไปกับเจ้าด้วย! เจ้าแหกตาดูเสียว่าคนที่อยู่บนพื้นทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ สำนักเทียนอี้เก๋อมีฐานอยู่ที่ต้าฉู่ ตระกูลหานก็อยู่ในต้าฉู่ หัวเจ้าถูกประตูหนีบหรือไรถึงได้ไปยั่วยุม่อซิวเหยา ผู้หญิงคนนั้นสำคัญกว่าพ่อแม่ บรรพบุรุษของเจ้าหรือ ได้ เจ้าอยากตายใช่หรือไม่ ข้าเองก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน ข้าจะตายไปกับเจ้าด้วย!”
หานหมิงเย่ว์ถูกน้องชายที่กำลังโกรธจัดต่อว่าเสียจนอึ้งไป หน่วยเฮยอวิ๋นฉีคนหนึ่งถือโอกาสเตะเข้าที่ข้อพับของเขา พร้อมจ่อกระบี่สามเล่มเข้าที่คอเขาทันที หานหมิงเย่ว์ก้มหน้าลงมองประกายคมมีดอันเย็นเยียบที่จ่ออยู่ที่คอเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลี แล้วจึงยิ้มอย่างทำอันใดไม่ได้ “ดูท่าครานี้ข้าก็แพ้อีกแล้วสินะ จะฆ่าหรือจะอย่างไรก็สุดแท้แต่เจ้าแล้วกัน อีกเรื่อง..หานหมิงซีสมองเจ้าพังไปแล้วหรือ อย่าทำเหมือนกับว่าจะตายไปด้วยกันเพราะความรักอย่างนั้นสิ”
หานหมิงซีนึกถึงคำพูดที่ตนใช้ก่นด่าตอนที่กำลังโกรธจัดเมื่อครู่ แล้วยิ่งเมื่อเห็นสายตาของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่ยืนนิ่งอยู่เหมือนมองมา ใบหน้าหล่อเหล่าจึงอดที่จะบึ้งตึงขึ้นไม่ได้ วันนี้เขาขายหน้าเสียจนไม่เหลือหลอแล้ว
เยี่ยหลีเหลือบมองหน้าอันบึ้งตึงของหานหมิงซี แล้วสีหน้านางก็เปลี่ยนไป “พี่หาน ท่านเอาตัวคุณชายหมิงเย่ว์ไปก็ได้”
หานหมิงซียินดีเป็นอย่างยิ่ง มองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ แม้แต่หานหมิงเย่ว์เองก็ยังประหลาดใจไปด้วย เยี่ยหลีหันมองหานหมิงเย่ว์ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “แต่มีข้อแม้”
ไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะเจรจาได้ง่ายเช่นนี้ ไหนเลยหานหมิงซีจะสนใจข้อแม้อันใดนั่น ตัวเขามิได้รักใคร่เงินประหนึ่งชีวิตจิตใจอย่างหานหมิงเย่ว์ แค่เพียงสามารถเก็บชีวิตพี่ใหญ่ของตนกลับมาได้ก็ถือว่าน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เยี่ยหลีค่อยๆ หยิบขวดเครื่องเคลือบเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อมาส่งให้หานหมิงซีแล้วบอกว่า “ดื่มเสีย” หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้น รับมาเงยหน้าขึ้นดื่มอย่างไม่ลังเล