ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 88-3 สงครามปะทุ
หานหมิงเย่ว์คิดอยากจะทัดทาน แต่ก็ไม่ทัน ทำได้เพียงมองดูหานหมิงซีกระดกลงคอไปแล้วพูดด้วยความรังเกียจว่า “รสชาติแย่ชะมัด”
เยี่ยหลียิ้ม “นี่เป็นยาพิษที่ท่านเสิ่นหยาง หมอเทวดาแห่งยุคเป็นคนปรุงขึ้นด้วยตนเอง ส่วนประกอบทุกอย่างล้วนเก็บเป็นความลับ ส่วนเรื่องพิษของมันนั้น…หากมิได้กินยาถอนพิษทุกๆ หนึ่งเดือน ชีพจรจะแตกซ่าน เป็นอัมพาตทั่วตัวและตายไปในที่สุด และด้วยเพราะกลิ่นของมันแรงมาก ทำให้ยากแก่การผสมลงในอาหารให้คนกิน จึงใช้งานได้ไม่ดีนัก เพียงแต่…อย่างไรก็มักมีคนที่ยอมดื่มลงไปด้วยความเต็มใจมิใช่หรือ”
หานหมิงซียิ้มแหะๆ พร้อมพูดว่า “ข้ารู้ว่าจวินเหวยไม่มีทางเอาชีวิตข้าหรอก”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ดูแลพี่ใหญ่ของท่านให้ดีๆ ข้าจะให้คนนำยาไปให้ทุกเดือน เมื่อใดที่ข้ารู้ว่าเขาคลาดสายตาไปจากท่านหรือทำเรื่องอันใดที่ไม่ควรทำ ข้าจะให้เขาได้เห็นท่านเลือดออกทั้งเจ็ดทวาร และเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยตาของเขาเอง”
หานหมิงซียิ้มพร้อมพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พี่ใหญ่…เพื่อชีวิตน้อยๆ ของน้องชายคนเดียวของท่าน ท่านจะเชื่อฟัง ใช่หรือไม่” ดวงตาที่มากล้นด้วยเสน่ห์กระพริบปริบๆ มองหน้าหานหมิงเย่ว์อย่างน่าสงสาร
หานหมิงเย่ว์จ้องหน้าเยี่ยหลีด้วยสีหน้าบึ้งตึงพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะหลอกข้าหรือไม่ จะส่งยามาให้ตามกำหนดเวลาหรือไม่”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “หานหมิงซีเป็นสหายข้า”
หานหมิงเย่ว์ยิ้มเยาะ “สหายหรือ เจ้าทำกับสหายเจ้าเช่นนี้หรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านสามารถทำเช่นนั้นกับน้องชายของท่านได้ เหตุใดข้าจะทำเช่นนี้กับสหายของข้าไม่ได้ หากท่านไม่ทำเช่นนั้น ข้าย่อมจะไม่ทำเช่นนี้ ในยามนี้หานหมิงซีไม่มีทางเป็นอะไร นั่นไม่เท่ากับว่า…ข้าก็มิได้ทำอันใดเลยหรอกหรือ”
หานหมิงเย่ว์หรี่ตาลง “หากข้าหาคนที่สามารถปรุงยาถอนพิษได้เล่า”
“ตายจริง ได้ยินว่ายาพิษขวดนี้ปรุงขึ้นโดยใช้สมุนไพรพิเศษที่ท่านเสิ่นไปเก็บมาได้จากเกาะเล็กๆ ในทะเลยตงไห่ ในจงหยวนไม่มีตัวยาที่คล้ายคลึงกับยาตัวนี้เสียด้วย หากคุณชายหานมีความรู้ความสามารถกว้างไกล สามารถหาตัวยามาปรุงเป็นยาถอนพิษได้ภายในหนึ่งเดือน ก็ถือเสียว่าข้าโชคไม่ดีก็แล้วกัน ถึงอย่างไรหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็มีกองกำลังอยู่หลายหมื่นคน แบ่งออกมาสักสองสามร้อยคนให้ตามฆ่าผู้ใดสักคนอย่างไม่ลดละตลอดทั้งปีก็คงมิใช่เรื่องยากอันใด แล้วในมือข้าก็มีตราคำสั่งเยี่ยนอ๋องอยู่ด้วยพอดี ไม่รู้ว่าท่านเจ้าสำนักหลิงจะยอมตามฆ่าคนที่ว่ากันว่าเป็นสหายของเขาแต่กลับหลอกใช้น้องชายของเขาเพื่อตราคำสั่งนี้หรือไม่ หากข้าโชคไม่ดีอีกหน่อย…อย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็มีเงิน คุณชายหานท่านว่าใช่หรือไม่”
หานหมิงเย่ว์ส่งเสียงเหอะทีหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอันใดอีก หานหมิงซีมิได้สนใจแม้แต่น้อย เขาผลักปลายกระบี่ที่จ่ออยู่ที่ลำคอของหานหมิงเย่ว์ออก แล้วหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “จวินเหวยเจ้าวางใจได้ ข้าขอรับรองว่าพี่ใหญ่จะไม่มีทำให้เจ้าเสียเรื่องอีก เรื่องที่เจ้าอยากรู้ข้าจะให้คนส่งตามมาให้ เช่นนั้น…”
เยี่ยหลียิ้ม “หากท่านสามารถดูแลพี่ชายของท่านได้ดีจริงๆ ข้าก็จะลืมเรื่องในวันนี้ไปเสีย เพียงแต่…หากมีครั้งต่อไปอีก…พี่หาน คำขอร้องของท่านคงใช้ไม่ได้ผลทุกครั้งหรอกนะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หานหมิงซีพยักหน้าด้วยความจริงจัง ยื่นมือไปสกัดจุดชีพจรบนตัวเขาเพื่อปิดกั้นกำลังภายใน แล้วจึงหันมาโบกมือให้เยี่ยหลีแล้วพาตัวเขาจากไป
“ข้าน้อยคารวะพระชายา” หน่วยเฮยอวิ๋นฉีทุกคนต่อเอ่ยทำความเคารพขึ้นพร้อมกัน
เยี่ยหลีพยักหน้า “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ามากันได้อย่างไร” เมื่อได้เห็นความองอาจของนักรบในชุดดำตรงหน้า ทำให้เยี่ยหลีนึกชื่นชมในใจ ไม่เสียแรงที่ได้ชื่อว่าเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าฉู่จริงๆ เพียงแค่ลักษณะท่าทางเหล่านี้ นายทหารธรรมดาทั่วไปก็ไม่อาจทัดเทียมได้แล้ว ยิ่งการตู่สู้เมื่อครู่ที่ต้องต่อสู้หลังจากที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเดินทางมาไกล แต่กลับไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงเห็นถึงความแข็งแกร่งในการสู้รบของพวกเขา
ชายร่างกายกำยำผู้หนึ่งเดินออกมาตอบว่า “เรียนพระชายา เมื่อสามวันก่อน จู่ๆ กองกำลังทหารที่รักษาการอยู่เมืองหลิ่งโจวได้เคลื่อนพลเข้าโจมตีเมืองหย่งโจว พร้อมกันนั้นกองทัพของหนานจ้าวก็เริ่มบุกเข้าโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ย ท่านแม่ทัพมู่หรงรักษาการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย กองทัพหนานจ้าวบุกโจมตีอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แต่ก็ยังไม่สามารถรุกคืบเข้าไปได้ เพียงแต่…กองทัพของเมืองหย่งโจวนั้นอ่อนแอประหนึ่งไผ่เปราะ เชื่อว่าอีกไม่เกินสิบวันจะต้องถึงด่านซุ่ยเสวี่ยอย่างแน่นอนขอรับ ถึงตอนนั้นท่านแม่ทัพมู่หรงคงต้องรับศึกทั้งสองด้าน…”
“ทางเมืองหลวงรู้เรื่องนี้หรือไม่”
ชายหนุ่มพยักหน้า “รีบให้ม้าเร็วไปส่งข่าวยังเมืองหลวงแล้วขอรับ อย่างช้าไม่เกินพรุ่งนี้ ข่าวจะต้องไปถึงเมืองหลวงอย่างแน่นอนขอรับ เพียงแต่หากจะต้องเคลื่อนกองหนุนลงมา อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน เกรงว่า…ด่านซุ่ยเสวี่ยคงต้านไว้ไม่ได้นานเพียงนั้นขอรับ เมื่อครู่คุณชายชิงเฉินได้สั่งให้ข้าน้อยมาส่งข่าวให้พระชายาว่า รัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าวถูกท่านหนานจ้าวอ๋องสั่งกักบริเวณแล้ว และท่านหนานจ้าวอ๋องได้มีราชโองการแต่งตั้งธิดาเทพแห่งหนานเจียงขึ้นเป็นธิดาเทพผู้คุ้มครองแคว้น และให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองหนานเจียง คุณชายสวีขอเชิญให้พระชายารีบไปจากหนานจ้าว คุณชายสวีบอกว่า…พวกเราถูกท่านหนานจ้าวอ๋องหลอกแล้วขอรับ”
สีหน้าเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความหนักใจ พยักหน้าพร้อมเอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ไปที่ใดแล้วหรือ”
ชายหนุ่มตอบว่า “คุณชายสวีพาองครักษ์ลับไปด้วยบอกเพียงว่ามีธุระต้องไปจัดการ เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วก็จะไปจากหนานเจียงขอรับ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “แบ่งคนกลุ่มหนึ่งไปออกตามหาพี่ใหญ่ แล้วรีบอารักขาเขาออกจากหนานจ้าว หากเขาไม่ยอม…ก็จัดการให้สลบก่อนแล้วค่อยว่ากัน! ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือรีบเดินทางไปด่านซุ่ยเสวี่ย”
“ขอรับ พระชายา!”
หน่วยเฮยอวิ๋นฉีแบ่งออกเป็นสองหน่วยอย่างรวดเร็ว กลุ่มหนึ่งประมาณยี่สิบคน โดยมีคนหนึ่งเป็นหัวหน้านำออกไป ส่วนที่เหลืออีกหลายสิบคนยืนรอรับคำสั่งอยู่ที่เดิม
เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “รอบๆ ด่านซุ่ยเสวี่ยมีกองกำลังใดอยู่บ้าง”
ชายหนุ่มผู้ที่เป็นหัวหน้าเหลือบมองเยี่ยหลีด้วยความตกใจ แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยความเคารพว่า “หลายเดือนก่อน ท่านอ๋องค่อยๆ วางกำลังคนไว้ใกล้ๆ เมืองหย่งโจวและหลิ่งโจว เพียงแต่ฝ่าบาทควบคุมตำหนักติ้งอ๋องไว้อย่างเข้มงวด หากคิดที่จะเคลื่อนพลจำนวนมาก ย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งกองกำลังตระกูลม่อส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่คอยสร้างความน่าเกรงขามอยู่ที่แคว้นเป่ยหรง ดังนั้นกองกำลังที่อยู่ใกล้เมืองหย่งโจวและสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงๆ มีเพียงหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันคน กับกองกำลังสองหมื่นคนภายใต้ท่านผู้บัญชาการอู๋เฉิงเหลียงของเมืองยงโจวทางเจียงเป่ยเท่านั้นขอรับ พอเกิดสงครามปะทุขึ้น พวกข้าน้อยก็รีบส่งข่าวไปแจ้งแก่ท่านผู้บัญชาการอู๋ทันที หากไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น บ่ายวันพรุ่งนี้น่าจะเคลื่อนพลถึงด่านซุ่ยเสวี่ยขอรับ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า “ไม่ถูก! ให้เขานำกำลังทหารไปเสริมกำลังทหารที่อารักขาอยู่ที่เมืองหย่งโจวเพื่อสกัดทัพใหญ่ของหลีอ๋องไว้ ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยมีกำลังทหารรักษาการอยู่แปดหมื่นคน ขอเพียงท่านแม่ทัพมู่หรงไม่ออกจากเมืองไปสู้รบกับพวกเขา การรักษาเมืองไว้ให้ได้ครึ่งเดือนนั้นย่อมมิใช่ปัญหา! หากปล่อยให้กองทัพใหญ่ของหลีอ๋องเดินทางไปถึงหย่งโจว แล้วเข้าโอบล้อมโจมตีร่วมกับกองทัพจากหนานจ้าว ต่อให้มีทหารเพิ่มอีกสองหมื่นคนก็ไม่มีประโยชน์!”
ชายหนุ่มคนที่เป็นหัวหน้านิ่งอึ้งไป รีบพูดขึ้นว่า “ข้าน้อยจะรีบส่งม้าเร็วไปแจ้งแก่ท่านผู้บัญชาการอู๋เดี๋ยวนี้ หากรีบเร่งเดินทางไม่หยุดจะต้องไปทันก่อนพวกเขาข้ามแม่น้ำวันพรุ่งนี้แน่นอนขอรับ” พูดจบเขาก็รีบหันไปสั่งการให้คนส่งข่าวไปทันที
เยี่ยหลียกมือนวดหน้าผาก ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก “สั่งการลงไป ไม่ต้องกลับเข้าเมืองแล้ว รีบตรงไปยังด่านซุ่ยเสวี่ยให้เร็วที่สุด”
“ขอรับ”
เมื่อจู่ๆ ไฟสงครามปะทุ ทำให้เยี่ยหลีอดรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงไม่ได้ นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ที่มีเมฆดำครึ้มปกคลุมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ในใจจึงยิ่งรู้สึกหนักอึ้งขึ้นไปอีก
ด่านซุ่ยเสวี่ย
บนกำแพงเมืองอันเก่าแก่และแข็งแกร่งที่เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง ทหารรักษาการยืนถือกระบี่และปืนในมือแน่น บนใบหน้าที่ยังหนุ่มแน่นมีร่องรอยของความเหนื่อยล้า วันนี้ทั้งวันพวกเขารับมือการโจมตีจากทหารแคว้นหนานจ้าวจนล้าถอยไปแล้วถึงสามครั้ง ทั้งยังต้องเตรียมพร้อมรับมือการบุกโจมตีครั้งต่อไปอีกด้วย
มู่หรงเซิ่นอายุสี่สิบปีแล้ว ใบหน้าที่มีมุมคมชัด เต็มไปด้วยความแน่วแน่ เขาเดินขึ้นบนกำแพงเมืองพร้อมปืนยาวที่กำมั่นอยู่ในมือ คิ้วคมเข้มขมวดมุ่น ตั้งแต่เขาถูกส่งมาประจำการที่ด่านซุ่ยเสวี่ย เขารู้ดีว่าด่านซุ่ยเสวี่ยคงจะไม่สงบสุขนัก แต่เขาคิดไม่ถึงว่าอันตรายที่แท้จริงไม่เพียงมากจากหนานจ้าวที่เลี้ยงไม่เชื่องมาแต่ไหนแต่ไร แต่ยังมาจากคนในของต้าฉู่เองอย่างหลีอ๋อง น้องชายร่วมอุทรของฮ่องเต้ จึงอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงจดหมายนิรนามที่ได้รับเมื่อตอนเดินทางออกจากเมืองหลวง ในจดหมายเขียนไว้เพียงสี่คำว่า “ระวังหย่งโจว” ที่แท้ความหมายก็คือเช่นนี้เองหรือ อีกฝ่ายรู้นานแล้วว่าหลีอ๋องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพียงแต่น่าเสียดาย…ที่เขามิได้ใส่ใจมันเท่าที่ควร หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ สถานการณ์ไม่อำนวยให้เขาใส่ใจ ที่ฝ่าบาทต้องการให้เขามารักษาการที่ชายแดนนั้นก็ด้วยเพราะสมัยติ้งอ๋องรุ่นก่อน เขาเคยมีเรื่องกับลูกน้องของติ้งอ๋องเรื่องที่เขาไม่ยอมให้สิทธิ์ทางทหารแก่เขา ข้าราชการประจำท้องที่เองก็คอยขัดแข้งขัดขาตลอดเวลา แต่มาวันนี้ ต่อให้รู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่หลีอ๋องเข้ายึดหย่งโจวได้ ก็เท่ากับเป็นการโอบล้อมด่านซุ่ยเสวี่ยทำให้เขาต้องรับศึกทั้งสองด้าน แต่เขาก็ไม่มีทางให้ถอย ด้วยเพราะสิ่งที่ด้านซุ่ยเสวี่ยต้องเผชิญทางด้านหน้าคือคนต่างชนเผ่าของหนานจ้าวหลายแสนคน เมื่อใดก็ตามที่เขาข้ามด่านซุ่ยเสวี่ยไปได้ พวกเขาจะเป็นเหมือนโรคระบาดในช่วงน้ำท่วมที่จะเข้ายึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของต้าฉู่ หวังว่า…กองหนุนจะรีบมาถึงได้ทัน…
“ท่านพ่อ” เสียงแหลมใสดังขึ้นทางด้านหลัง มู่หรงเซิ่นหันกลับไปมอง ก็เห็นมู่หรงถิงในชุดทะมัดแทมงสีแดงสด มือกำกระบี่แน่นกำลังเดินขึ้นมาบนกำแพงเมือง มู่หรงเซิ่นใบหน้าบึ้งตึงทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า “เจ้ามาทำอันใดที่นี่ ยังไม่ลงไปอีก”
“ท่านพ่อ!” มู่หรงถิงเอ่ยด้วยความแน่วแน่ว่า “ลูกจะอยู่รักษาเมืองกับท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
“เหลวไหล! พ่อให้เจ้าไปจากด่านซุ่ยเสวี่ย เหตุใดเจ้าจึงยังไม่ไปอีก” กับลูกสาวคนเดียวของเขาแล้ว มู่หรงเซิ่นรักนางดั่งหัวแก้วหัวแหวน มาวันนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้นที่ด่านซุ่ยเสวี่ย ตนเองนั้นจำต้องรั้งอยู่เพื่อรับมือสถานการณ์และต้องการให้ลูกสาวคนเดียวของเขาหลบหนีออกไปก่อน
มู่หรงถิงฝืนกัดปากพูดว่า “ใช่ว่าถิงเอ๋อร์ไม่รู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ แต่หากข้าไปจากด่านซุ่ยเสวี่ยตอนนี้แล้วเกิดตกไปอยู่ในเงื้อมมือของหลีอ๋อง แล้วเขาใช้ข้ามาข่มขู่ท่านพ่อ เช่นนั้นลูกคงต้องตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
เมื่อเห็นมู่หรงเซิ่นทำท่าเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง มู่หรงถิงก็รีบชิงพูดตัดหน้าต่อว่า “หากท่านพ่อจะบอกให้คนคุ้มครองข้ากลับเมืองนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ตอนนี้กองทัพของหนานจ้าวกำลังบุกโจมตีเมืองอย่างหนัก ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องใช้กำลังคน ตัวถิงเอ๋อร์เป็นถึงลูกสาวของท่านแม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย แต่กลับต้องให้คนที่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์ติดตามไปด้วย หากทำเช่นนั้น ถิงเอ๋อร์คงเสียแรงที่เกิดเป็นบุตรสาวของตระกูลมู่หรงแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อมู่หรงเซิ่นได้ฟังสิ่งที่ลูกสาวพูด ก็ได้แต่เป็นใบ้พูดไม่ออก พักใหญ่จึงได้ถอนหายใจออกมาก่อนพูดว่า “เอาเถิด ระวังตัวด้วยแล้วกัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ…” เมื่อเห็นว่ามู่หรงเซิ่นไม่ยืนหยัดในคำสั่งของคนอีก มู่หรงถิงจึงดีใจมาก “ถิงเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อเสียหน้าเจ้าค่ะ”