ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 93-1 วางแผนการรบ
ระหว่างเส้นทางมุ่งหน้าไปยังด่านซุ่ยเสวี่ย องครักษ์ลับสามสี่นายแอบอารักขาคุ้มครองนายของพวกตนอยู่อย่างไร้ซุ่มเสียง องครักษ์ลับสามห้อยโหนอยู่บนต้นไม้สูงที่มีใบรกทึบอยู่อย่างเบื่อหน่าย ชี้นิ้วไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งบนเนินเขาลูกตรงข้าม ที่องครักษ์ลับกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ แล้วพูดกับองครักษ์ลับสองว่า “เจ้าดูสิว่าพวกเขาซื่อบื้อเพียงใด แอบอยู่ตรงนั้น ท่านอ๋องกับพระชายาจะต้องรู้ตัวเป็นแน่”
องครักษ์ลับสองเงยหน้ามองเขา “พวกเขาเป็นองครักษ์ลับมิใช่คนสะกดรอยตาม ไม่ถูกผู้อื่นพบเข้าก็เพียงพอแล้ว ต่อให้ท่านอ๋องไม่เห็นพวกเขา แต่ก็รู้ว่ามีพวกเขาคอยตามอยู่อยู่ดี”
คนเป็นองครักษ์ลับน่ะ ต้องคอยอารักขาความปลอดภัยของผู้เป็นนายตลอดสิบสองชั่วยาม องครักษ์ลับสามตีลังกาบนต้นไม้รอบหนึ่ง “พวกเราก็เป็นองครักษ์ลับเช่นกัน” ถึงแม้จะไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไรก็ตามเถิด
สีหน้าองครักษ์ลับสองดูไม่ค่อยดีนัก “พวกเรามิใช่องครักษ์ลับที่ได้มาตรฐานเท่าไรนัก กลับไปครานี้เป็นไปได้ที่ท่านอ๋องจะหาองครักษ์ลับใหม่ให้กับพระชายา”
องครักษ์ลับสามสีหน้าครึ้มไป หากในสนามรบเมื่อครู่พระชายาไม่ขวางเขาไว้ พระชายาคงไม่ต้องบาดเจ็บ การที่จะขวางลูกธนูให้พระชายานั้น สำหรับองครักษ์ลับสามแล้วไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ที่ตำหนักติ้งอ๋องฝึกฝนพวกเขามาก็เพื่อให้ช่วยปกป้องผู้เป็นนายจากคมกระบี่ คมธนูและอันตรายต่างๆ อยู่แล้ว แต่เมื่อครู่พระชายากลับขวางตัวเขาที่หมายจะเข้าไปขวางลูกธนูให้ จนตนเองถูกฟันจนเป็นแผล หากไม่ได้ลูกธนูดอกนั้นของท่านอ๋อง เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้พระชายาจะเป็นหรือจะตาย
ด้วยหน้าที่ขององครักษ์ลับแล้วพวกเขาทำหน้าที่ไม่ได้ตามมาตรฐานจริงๆ ตอนนี้องครักษ์ลับสี่และหนึ่งก็ไม่รู้ไปอยู่เสียที่ใด ถึงแม้พวกเขาจะไปด้วยคำสั่งของพระชายาก็ตามเถิด ตัวเขาและองครักษ์ลับสองเองก็มิได้ทำประโยชน์ในหน้าที่ขององครักษ์ลับเอาเสียเลย
“ข้าจะไปขอรับโทษจากท่านอ๋องเอง จะไม่ให้เดือดร้อนไปถึงพวกเจ้าหรอก”
องครักษ์ลับสองปรายตามองเขา “พูดอันใดปัญญาอ่อนเช่นนั้น พวกเราเป็นคณะเดียวกัน หากต้องเปลี่ยนเจ้าแล้วพวกเราจะเหลือหรือ อีกอย่างก็มิได้มีเพียงเจ้าคนเดียวที่มีความผิดเสียหน่อย ตัวข้าก็เพียง…ข้ายินดีที่จะติดตามพระชายา”
“ข้าก็เช่นกัน” เขาปรายตามองไปยังบรรดาองครักษ์ลับที่อยู่อีกด้าน ชีวิตองครักษ์ลับก่อนหน้าที่จะได้มาติดตามพระชายานั้นช่างแสนน่าเบื่อ ถึงแม้ก่อนหน้านั้นพวกเขาจะไม่เคยติดตามนายคนใดมาก่อน แต่เพียงแค่การฝึกฝนและรับฟังการอบรมจากรุ่นพี่ก็ทำให้พวกเขาเบื่อหน่ายเป็นอย่างมากแล้ว หากพวกเขามิได้มาติดตามพระชายาแล้ว จะต้องมีชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายดังเช่นองครักษ์ลับเหล่านั้นเป็นแน่ “หากพวกเราไปขอรับโทษตอนนี้ เจ้าว่าท่านอ๋องจะเพียงลงโทษสถานเบาหรือไม่”
“หากเข้าไปตอนนี้เจ้าจะมีแต่โชคร้ายกว่าเดิมน่ะสิ” องครักษ์ลับสองเอ่ยเรียบๆ ด้วยจรรยาบรรณของคนที่มีอาชีพเป็นองครักษ์ลับ เขาไม่มีทางให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาเห็นท่านอ๋องกับพระชายาอะไรกันนั่นที่ริมถนนเป็นอันขาด…แน่นอนว่ารวมถึงตัวท่านอ๋องเองด้วย
“แต่ว่า ท่านอ๋องกับพระชายาหยุดอยู่ที่นี่กันนานมากแล้ว หากยังรั้งรออยู่อีก ท่านแม่ทัพมู่หรงคงได้ส่งคนออกมาตามหา” องครักษ์ลับสามนึกลังเลใจ
“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาไปเชิญท่านอ๋องกับพระชายาเถิด” องครักษ์ลับสองเอามือลูบคาง มองไปทางองครักษ์ลับของม่อซิวเหยาที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก เชื่อว่าพวกเขาเองก็คงนึกลังเลอยู่เช่นกัน เจ๊อะ…เป็นถึงองครักษ์ลับติดตามตัวท่านอ๋อง แต่ความสามารถในการหลบซ่อนตัวนั้นอ่อนด้อยไปสักหน่อยจริงๆ เขากับองครักษ์ลับสองกวาดตามองเพียงไม่กี่รอบก็พบที่ซ่อนตัวของเขาแล้ว
“ท่านอ๋อง พระชายา” องครักษ์ลับสองยืนตัวตรงออกมาจากหลังต้นไม้ ทำความเคารพทั้งสอง องครักษ์ลับสามกระโดดตามลงมาจากต้นไม้อย่างไร้ซุ่มเสียง พร้อมทำความเคารพตาม
ม่อซิวเหยาหรี่ตางมองพวกเขา แล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “ฝีมือไม่เลว”
ทั้งสองนึกตัวสั่นในใจขึ้นโดยไม่รู้ตัว นี่ท่านอ๋องกำลังชมพวกเขาหรือ
เยี่ยหลียิ้มบาง “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้ามาทำอันใดที่นี่” ทั้งสองได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่กล้าตอบคำถาม พระชายาไม่ต้องการให้พวกคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา แต่หากตอนนี้พวกเขาไปทำงานอย่างอื่นของพวกตนเข้าจริงๆ ท่านอ๋องจะต้องพิโรธหนักเป็นแน่ พระชายาสามารถออกคำสั่งกับพวกเขาได้ แต่…ท่านอ๋องนั้นสามารถสั่งเปลี่ยนพวกเขาได้
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “ยังมีอีกสองคนไปอยู่ที่ใดเสีย ข้าจำได้ว่าผู้ติดตามเจ้ามีทั้งหมดสี่คนมิใช่หรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “ข้าให้พวกเขาไปจัดการธุระอย่างอื่นแล้ว”
“หากคนไม่พอสามารถไปแบ่งมาจากส่วนอื่นได้ องครักษ์ลับมีไว้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้า” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “ในเมื่อสี่คนนี้ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าได้อย่างทั่วถึงแล้ว กลับไปนี่ข้าจัดคนให้เจ้าใหม่สักสามสี่คนดีหรือไม่ หรือจะให้เอาผู้ติดตามข้ามาให้เจ้าดี”
เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสามที่ลอบส่งสีหน้าขอร้องมาให้นาง แล้วได้แต่พูดว่า “ข้าไม่ชอบให้มีคนคอยติดตามข้าอยู่ลับๆ”
“พวกเขามีไว้เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้า ข้าจะให้เขาคัดเลือกคนที่มีฝีมือในการหลบซ่อนตัวที่ดีที่สุดให้ จะไม่ให้เจ้ารู้สึกอึดอัดเด็ดขาด”
“ไม่มีใครดีกว่าพวกเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามแอบเหลือบตามองม่อซิวเหยา ก่อนเอ่ยงึมงำเสียงเบาขึ้น
สายตานิ่งเรียบของม่อซิวเหยาหันมองไปทางเขาทันที องครักษ์ลับสามตัวแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว ได้ยินเพียงม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบว่า “แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีองครักษ์ลับคนใดที่ต้องให้นายคอยช่วยเหลือ หากอาศัยเพียงข้อนี้ ก็ไม่มีผู้ใดเก่งกว่าเจ้าจริงๆ”
“ม่อ…ซิวเหยา…” เยี่ยหลียื่นมือไปกุมมือม่อซิวเหยาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเขาช่วยเหลือข้าเยอะมากแล้ว ท่านก็ดูออกว่าข้าไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์ลับ ข้าต้องการผู้ช่วยที่สามารถไว้ใจได้ อีกอย่าง องครักษ์ลับก็ใช้ว่าจะมีประโยชน์ในทุกสถานการณ์มิใช่หรือ” เช่นว่า ในบางสถานที่องครักษ์ลับก็มิอาจติดตามไปได้ แต่สถานที่ที่องครักษ์ลับสามารถติดตามไปได้นั้นโดยมากก็เป็นสถานที่ที่สามารถมีองครักษ์ธรรมดาติดตามไปได้ อีกทั้งก็ยังเป็นสถานที่ที่ไม่อันตรายสักเท่าใดอีกด้วย โชคดีที่องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องจำนวนเพียงน้อยนิดที่ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อปกป้องผู้เป็นนายโดยเฉพาะ คนอื่นๆ ต่างก็มีหน้าที่ของตน มิเช่นนั้นคงสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลน่าดู
ม่อซิวเหยากวาดตามององครักษ์ลับทั้งสองที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนก้มหน้าลงมองสีหน้าจริงจังของเยี่ยหลี แล้วจึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “พวกเขาสามารถติดตามอยู่ข้างกายเจ้าต่อไปได้ แต่ข้าจะคัดเลือกองครักษ์ลับอีกสี่คนมาให้เจ้า”
“ไม่ต้องหรอก” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ข้าไม่เคยชินกับการมีองครักษ์ลับ ต่อให้ท่านส่งคนมาติดตามข้าเพิ่ม แต่ผ่านไปไม่เท่าไรพวกเขาก็จะกลายเป็นเช่นเดียวกับองครักษ์ลับสองคนนี้ เช่นนั้นยังจะมีความหมายอันใดอีกหรือ”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ หมุนตัวเดินกลับไปยังถนน เยี่ยหลียกยิ้มขึ้น ก่อนเดินตามเขาไป ทิ้งองครักษ์ลับสองและสามให้ยืนอยู่ด้วยสีหน้างงงวย “อาสอง นี่ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร”
“ความหมายก็คือพวกเราสามารถติดตามพระชายาต่อไปได้ คิดว่านะ…”
ณ กระโจมใหญ่ด่านซุ่ยเสวี่ย
เมื่อเห็นเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินเข้ามา ทุกคนในกระโจมใหญ่ต่างรีบลุกยืนขึ้น มู่หรงเซิ่นลุกออกจากตำแหน่งผู้บังคับบัญชาลงมาต้อนรับด้วยตนเอง “ข้าน้อยคารวะท่านอ๋อง พระชายา ครานี้เมืองหย่งหลินรอดพ้นช่วงวิกฤต มาได้ด้วยความช่วยเหลือของท่านอ๋องและพระชายา โปรดรับการคารวะจากข้าน้อยด้วย” พูดจบเขายกชุดออกรบขึ้นเตรียมคุกเข่าลงคารวะ
ม่อซิวเหยายื่นมืออกไปจับบ่าเขาไว้ เอ่ยเสียงเรียบว่า “เป็นหน้าที่ของข้าเช่นกัน ท่านแม่ทัพมู่หรงไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
เมื่อม่อซิวเหยาไม่ให้คารวะ เขาย่อมมิอาจก้มลงคารวะได้ ยิ่งเมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงซ้ำยังมีกำลังภายในอยู่เต็มเปี่ยม ดวงตาเขาเป็นประกายขึ้นด้วยความยินดี จึงไม่ขัดขืน เพียงเบี่ยงตัวเชิญทั้งสองให้เข้าไปด้านใน “ท่านอ๋อง พระชายา เชิญนั่งด้านในก่อน”
ทุกคนที่อยู่ในกระโจมเมื่อได้เห็นม่อซิวเหยาก้าวเดินได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่างก็มีสีหน้าหลากหลาย บ้างยินดี บ้างตกใจ บ้างคิดหนัก ม่อซิวเหยาจูงเยี่ยหลีให้นั่งลงตรงตำแหน่งข้างผู้บัญชาการทหาร ก่อนเปิดปากถามขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ กองทัพใหญ่ของหนานจ้าวเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่หรงเซิ่นลังเลเล็กน้อย ก่อนเดินกลับไปยังตำแหน่งประธาน “หลายวันนี้หนานจ้าวเร่งโจมตีอย่างหนัก คาดว่าพวกมันคิดที่จะโจมตีพร้อมๆ กับกองทัพกบฏของหลีอ๋องที่อยู่ด้านในด่าน ในเมื่อตอนนี้ท่านอ๋องและกองหนุนมาถึงแล้ว ย่อมไม่ต้องกังวลพวกคนใต้ชั้นต่ำพวกนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ วันพรุ่งพวกเราจะออกไปทำศึก จะต้องไล่พวกคนใต้ชั้นต่ำพวกนั้นหนีเข้าป่าของหนานเจียงไปให้ได้!”
หลายวันที่รักษาเมืองอยู่แต่ในเมืองนี้ คนที่เก็บกดมิได้มีเพียงพลทหารของด่านซุ่ยเสวี่ยเท่านั้น มู่หรงเซิ่นที่เป็นผู้บัญชาการรบเองก็เก็บกดเช่นกัน แต่ต่อให้เขาเก็บกดเช่นไรก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้เท่านั้น ตอนนี้เมื่อกองหนุนมาถึงแล้ว ย่อมถึงเวลาเขาแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดูบ้างแล้ว
“ไม่รู้ว่าครานี้ท่านอ๋องนำกองทัพทหารมากี่นายหรือพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนต่างใคร่รู้ในเรื่องนี้
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบๆ ว่า “หน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองหมื่นนาย กองทัพใหญ่อีกห้าหมื่นนายจะมาถึงในอีกสามวันให้หลัง”
ในกระโจมใหญ่เงียบสงัดไปทันที ทุกคนต่างรู้สึกประหนึ่งถูกน้ำเย็นจัดราดลงบนหัว หนาวเย็นเข้าไปถึงข้างใน ผู้บัญชาการทหารผู้หนึ่งที่นิสัยโผงผางถึงกับยืนขึ้นถามว่า “ท่านอ๋อง…เหตุใดราชสำนักถึงได้ส่งกองทัพมาเพียงห้าหมื่นเท่านั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” หน่วยเฮยอวิ๋นฉีห้าหมื่นนายเล่า กองทัพตระกูลม่อแปดแสนนายเล่า
ม่อซิวเหยายกยิ้มมุมปาก “ข้าเพียงแค่ล่วงหน้ามาช่วยเหลือก่อนเท่านั้น หลังจากนี้…ฝ่าบาทย่อมมีพระบัญชาของท่าน”
ทุกคนต่างเงียบไป มู่หรงเซิ่นลอบถอนใจในใจ เมื่อพูดมาถึงจุดนี้แล้วยังมีอันใดไม่ชัดเจนอีกหรือ ฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้คนนำกองหนุนมายังหนานเจียงโดยเร็วที่สุด แต่กองทัพที่สามารถเดินทางได้รวดเร็วที่สุดมีเพียงหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของติ้งอ๋อง แต่พระองค์ก็ไม่วางพระทัยในติ้งอ๋อง ดังนั้นจึงไม่ทรงอนุญาตให้ติ้งอ๋องนำทัพจำนวนมากเช่นนั้น ทัพใหญ่ที่แท้จริงจึงตามมาทีหลังสุด ส่วนผู้บัญชาการทหารที่นำทัพมาย่อมเป็นคนที่ฝ่าบาทไว้วางพระทัย หากสามารถปราบศึกครั้งนี้ได้ ความดีความชอบย่อมตกเป็นของผู้ที่มาทีหลังสุด ฮ่องเต้…ที่พระองค์ปฏิบัติต่อตำหนักติ้งอ๋องอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้ จะไม่เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ หรือ
“เดิมที…คิดว่าสุขภาพร่างกายของท่านอ๋องกลับมาแข็งแรงดีแล้ว ครานี้ย่อมสามารถกลับมากวาดล้างหนานเจียง สานต่อปณิธานของท่านติ้งอ๋องในยามนั้นต่อจนสำเร็จ มายามนี้ดูท่า ครานี้คงทำได้เพียงปล่อยเจ้าพวกหนานเจียงชั้นต่ำไปก่อนเสียแล้ว” พักใหญ่กว่ามู่หรงเซิ่นจะเอ่ยออกมาพร้อมร้อยยิ้มอย่างเสียดาย
คนที่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพ มิมีผู้ใดที่ไม่คิดอยากจะกวาดล้างสนามรบเพื่อสร้างผลงานความดีความชอบ แต่เมื่ออยู่ดีๆ ติ้งอ๋องเกิดสุขภาพแข็งแรงขึ้นมา ก็ทำให้ฮ่องเต้นึกหวาดระแวงเพียงพอแล้ว อย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางให้ความดีความชอบในการกวาดล้างหนานเจียงตกแก่ติ้งอ๋องอย่างแน่นอน
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ดูท่าครานี้จะมิใช่โอกาสที่ดีจริงๆ คงต้องลำบากท่านแม่ทัพแล้ว หลายวันนี้ข้าจะพักอยู่ที่เมืองหย่งหลินชั่วคราวก่อน หากกองหนุนใหญ่มาถึงข้าก็จะออกเดินทางกลับเมืองหลวง”
มู่หรงเซิ่นอึ้งไป “ท่านอ๋องจะไม่รั้งอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยายิ้ม “ด่านซุ่ยเสวี่ยมีท่านแม่ทัพคอยบัญชาการ ไม่จำเป็นต้องมีข้าคอยสั่งการอีก อีกอย่างทางฟากเมืองหย่งหลินยังมีกองทัพใหญ่เป็นแสนนายของม่อจิ่งหลีอยู่ และข้า…ยังมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องจัดการอีกเล็กน้อย”
มู่หรงเซิ่นได้แต่พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านอ๋องตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้เขาจะเสียดายอยู่บ้างที่ครานี้มิอาจให้บทเรียนอันหนักหน่วงแก่หนานจ้าว แต่เรื่องเช่นนี้มิใช่เรื่องที่คนเป็นทหารอย่างตนจะสามารถตัดสินใจได้ อีกทั้ง…การที่ติ้งอ๋องมาปรากฏตัวที่ด่านซุ่ยเสวี่ยด้วยร่างกายที่แข็งแรงนั้น แค่เพียงข่าวนี้ข่าวเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกคนใต้ชั้นต่ำพวกนั้นกลัวจนหัวหดได้แล้ว เพราะถึงอย่างไร…การสู้รบคราที่แล้ว ที่เกือบทำให้หนานเจียงต้องสูญสิ้นนั้น ก็ผ่านมาเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น