ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 98-2 ลักลอบพบกัน
“ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้วเพคะ”
ในขณะที่บรรยากาศในศาลาดอกไม้กำลังน่าอึดอัด ก็มีเสียงสาวใช้เอ่ยรายงานดังมาจากด้านนอก ยังไม่ทันสิ้นเสียง ม่อซิวเหยาก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่แล้ว
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง ยังไม่ทันได้เปลี่ยนชุดก็ถูกม่อจิ่งฉีเรียกให้เข้าวังไปพบเสียแล้ว ในยามนี้ม่อซิวเหยาจึงยังคงอยู่ในชุดสีขาว สีหน้ามีแววอ่อนล้าเล็กน้อยอย่างที่คนนอกยากจะสังเกตเห็น
“คารวะท่านอ๋อง!” เจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ารีบลุกขึ้นทำความเคารพ
ม่อซิวเหยาพยักหน้าน้อยๆ เดินเข้าไปนั่งลงข้างเยี่ยหลี “ใต้เท้าเยี่ย ฮูหยินผู้เฒ่ามาเยี่ยมอาลีหรือ”
เจ้ากรมเยี่ยพยักหน้าด้วยความประดักประเดิด “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ หลีเอ๋อร์หายตัวไปหลายเดือน ข้าน้อยกับท่านแม่ต่างเป็นกังวลยิ่งนัก ดังนั้นพอได้ยินว่าท่านอ๋องพาหลีเอ๋อร์กลับมาแล้ว ยึงรีบมาเยี่ยมนางพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเพียงพยักหน้า ในใจย่อมไม่คิดว่าพวกเขาหมายความตามที่พูดจริงๆ หากเป็นกังวลคงเป็นกังวลเสียนานแล้ว เหตุใดถึงเพิ่งมาเป็นกังวลเอายามนี้ สองเดือนมานี้อย่าว่าตระกูลเยี่ยจะส่งคนออกไปตามหาเลย แม้แต่จะส่งคนมาถามความที่ตำหนักติ้งอ๋องสักครั้งก็ยังไม่มี แม้แต่จวนหนานโหวยังส่งคนมาสอบถามถึงสองครั้งสองครา สำหรับคนนอกแล้ว ตระกูลเยี่ยไม่เพียงไม่ใส่ใจ แต่เรียกว่าไร้น้ำใจได้เลยทีเดียว
“ซุนหมัวมัวบอกว่าพอเจ้ากลับมาก็รีบสะสางงานต่างๆ ในตำหนัก หากเหนื่อยแล้วก็ไปพักก่อนเถิด เรื่องพวกนั้นเว้นไว้สักสองสามวันแล้วค่อยจัดการก็ยังไม่สาย” เขามิได้สนใจเจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอีก แต่หันมาพูดเสียงเบากับเยี่ยหลีแทน
เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า เจ้ากรมเยี่ยมีหรือจะดูไม่ออกว่าติ้งอ๋องไม่ต้อนรับตน จึงมิอาจรั้งอยู่ต่อไป ทำได้เพียงลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยลา ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเยี่ยหลีด้วยสีหน้าสุภาพเรียบร้อย แต่กลับมิอาจปิดบังสีหน้าที่ทำให้คนหวาดกลัวไว้ได้ นอกจากใบหน้าส่วนที่ถูกหน้ากากสีเงินปกปิดอยู่แล้ว มีตรงใดที่ดูเหมือนคนเจ็บป่วยหรือพิการอยู่อีกหรือ หากติ้งอ๋องสุขภาพแข็งแรงขึ้นแล้วจริงๆ เรื่องที่ตำหนักติ้งอ๋องจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งคงเป็นเรื่องแน่นอนเสียแล้ว น่าโมโหก็แต่เพียงตนมีตาหามีแววไม่ ที่ในตอนแรกด้วยเพราะตำหนักติ้งอ๋องเป็นที่หวาดระแวของฮ่องเต้รวมถึงปัญหาทางร่างกายทำให้พวกเขามองข้ามไป มาเสียใจเอาตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
“ที่ฮ่องเต้รีบเรียกท่านให้เข้าวังเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ” เมื่อให้คนไปส่งเจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าออกไปแล้ว เยี่ยหลีจึงหันกลับมาถามเขา
ม่อซิวเหยายกมือนวดขมับ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทคิดจะส่งองค์หญิงพระองค์ใดพระองค์หนึ่งไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์กับเป่ยหรง”
“แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์หรือ” เยี่ยหลีอดคิดถึงงานเสกสมรสขององค์หญิงหลิงอวิ๋นแห่งแคว้นซีหลิงเมื่อปีก่อนไม่ได้ จึงขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ฝ่าบาทคิดจะส่งใครไปหรือเพคะ” องค์หญิงในฮ่องเต้พระองค์ก่อนต่างแต่งงานกันออกไปหมดแล้ว ส่วนพระธิดาของม่อจิ่งฉีที่มีชันษามากที่สุดในตอนนี้ก็คือองค์หญิงฉางเล่อที่เป็นพระธิดาในฮองเฮา ปีนี้มีชันษาเพียงแปดชันษาเท่านั้น
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ย่อมเป็นชนชั้นสูงในเมืองหลวงหรือไม่ก็เลือกผู้ใดสักคนจากบรรดาราชนิกุล หลานสาวของฮว่ากั๋วกงก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกเช่นกัน”
“เทียนเซียงหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เป่ยหรงเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ อีกทั้งทุกคนต่างรู้ว่าที่ฮ่องเต้เลือกที่จะแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ในยามนี้ก็เพื่อหาคนมาช่วยรับมือหลีอ๋องด้วยมือเปล่า หากเรื่องหลีอ๋องจบลงแล้ว จะมีผู้ใดจำได้หรือว่ามีหญิงสาวผู้นี้แต่งงานไปอยู่ที่เป่ยหรง หากวันใดวันหนึ่งทั้งสองแคว้นเกิดเปิดศึกกันขึ้น องค์หญิงที่แต่งงานไปก็จะกลายเป็ยเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไปนัก ฮ่องเต้มิอาจไม่ให้เกียรติฮว่ากั๋วกงและฮองเฮาได้ อีกทั้งหากต้องส่งผู้ใดสักคนไปแต่งงานจริงๆ คนที่เป็นไปได้มากที่สุดย่อมเป็นหนึ่งในราชนิกุล เพราะถึงอย่างไรคนเป่ยหรงก็มิใช่คนที่หลอกง่ายเช่นนั้น”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ว่า “เรื่องแต่งงงานสานสัมพันธ์กับเป่ยหรงนี้ ฝ่าบาทจำเป็นต้องเรียกท่านเข้าวังไปเพื่อหารือโดยเฉพาะเลยหรือเพคะ”
มุมปากม่อซิวเหยายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “ยามที่องค์หญิงแต่งงานออกไป ฝ่าบาทจะให้ข้าเป็นตัวแทนต้าฉู่เป็นผู้เดินทางไปส่ง พร้อมทั้งให้ถือโอกาสไปร่วมงานฉลองท่านอ๋องเป่ยหรงมีพระชันษาครบหกสิบปีในเดือนเก้าเลยด้วย”
ตำหนักติ้งอ๋องไปส่งองค์หญิงด้วยตนเอง การแต่งงานสานสัมพันธ์ในครานี้ดูจะยิ่งใหญ่กว่าที่คาดไว้อยู่พอดูทีเดียว เยี่ยหลีขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ จึงได้เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงอยากให้ท่านไปจากต้าฉู่” เมืองหลวงของแคว้นเป่ยหรงตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของแคว้น หากจะเดินทางเพื่อไปให้ทันงานฉลองหกสิบชันษาของเป่ยหรงอ๋องในเดือนเก้า ด้วยขบวนส่งตัวเจ้าสาวอย่างน้อยๆ ก็ต้องออกเดินทางในเดือนเจ็ด และต่อให้จัดงานเสกสมรสเรียบร้อยแล้ว และรีบขึ้นม้าเร็วกลับมายังเมืองหลวง กว่าม่อซิวเหยาจะกลับถึงเมืองหลวงอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นช่วงเดือนสิบแล้ว นั่นหมายความว่าม่อซิวเหยาจะต้องไปจากเมืองหลวงนานถึงสามเดือน ช่วงเวลาสามเดือนจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้างผู้ใดก็ยากจะคาดเดา
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “หลายปีมานี้ฮ่องเต้เตรียมการไว้ไม่น้อย ตอนนี้ข้ายังเดาไม่ออกว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด” ความคิดของคนฉลาดคาดเดาไม่ยากนัก ความคิดของคนโง่ก็คาดเดาไม่ยากเช่นกัน แต่คนที่ไร้กระบวนท่าต่างหากที่ยากจะคาดเดาความคิดเขาได้ เช่นคนอย่างม่อจิ่งหลี หากว่าเขาฉลาดดังม่อซิวเหยาหรือสวีชิงเฉิน คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะยกทัพขึ้นก่อกบฏในช่วงเวลานี้ เพราะพวกเขาไม่ว่าผู้ใดก็ตาม มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่มีทางสำเร็จ อันที่จริงถึงแม้ม่อจิ่งหลีจะร่วมมือกับหนานจียงตีด่านซุ่ยเสวี่ยได้สำเร็จ ม่อจิ่งหลีก็คงไม่เสียเปรียบสักเท่าใด คงมีเพียงประชาชนตามชายแดนที่คงลำบากสักหน่อยเท่านั้น ส่วนม่อจิ่งฉีที่เป็นฮ่องเต้ จะเป็นห่วงว่าประชาชนจะเดือดร้อนสักเท่าไรกันเชียว
“ท่านเห็นด้วยแล้วหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เพียงยิ้มและกล่าวว่า “ราชโองการยากที่จะขัด”
เยี่ยหลีได้แต่ยักไหล่ “ข้ารู้แล้ว ข้าจะรั้งอยู่ที่เมืองหลวงเอง”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ ถึงตอนนั้นเจ้าต้องไปอยู่อวิ๋นโจว”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
ม่อซิวเหยายิ้ม “ติ้งอ๋องมิใช่ฮ่องเต้ ตำหนักติ้งอ๋องก็มิใช่วังหลวงที่จำเป็นต้องมีคนอยู่คอยดูแล คนอย่างม่อจิ่งฉีนั่น…บางครั้งเมื่อถูกบีบหนักเข้า มักชอบทิ้งไพ่ที่ทำร้ายศัตรูโดยที่ตนเองก็มิได้ประโยชน์ เจ้าไปอยู่อวิ๋นโจวข้าจะได้วางใจหน่อย” หัวใจสำคัญของตำหนักติ้งอ๋องมิได้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องในเมืองหลวงแห่งนี้ แต่เป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องเสียมากกว่า ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง ขอเพียงผู้เป็นนายใหญ่ยังอยู่ ตำหนักติ้งอ๋องก็ยังคงเป็นตำหนักติ้งอ๋องวันยังค่ำ
เยี่ยหลีส่ายหน้า “เช่นนั้นไม่ได้ หากข้าไปที่อวิ๋นโจวจะเป็นการนำอันตรายไปสู่ท่านปู่ ท่านอย่าได้พูดกับข้าเชียวว่าม่อจิ่งฉีไม่มีทางลงมือกับอวิ๋นโจว ในเมื่อเขากล้าลงมือกับตำหนักติ้งอ๋องแล้วเหตุใดเขาจะต้องเกรงกลัวตระกูลสวี อีกทั้ง คู่ต่อสู้ของติ้งอ๋องมิใช่ท่านที่อยู่ในวังอีกด้วย”
ม่อซิวเหยาหันมองเยี่ยหลีเงียบๆ พักใหญ่ถึงได้ถอนใจออกมาแล้วพูดว่า “อาหลี ดูเหมือนข้าจะไม่สามารถให้ชีวิตที่สงบสุขแก่เจ้าได้เลย”
เยี่ยหลีหัวเราะเบาๆ “ชีวิตที่สงบสุขย่อมเป็นไปได้ ท่านสามารถหาสถานที่ใดที่หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดรู้จักจับข้าซ่อนตัวไว้ แต่ข้าไม่ชื่นชอบชีวิตเช่นนั้น ท่านเข้าใจหรือไม่ เช่นเดียวกับการเดินทางไปหนานเจียงของข้าในครานี้ ก็มิใช้ว่าข้าจำเป็นต้องไป ข้าสามารถส่งคนไปได้ และต่อให้ไม่มีผู้ใดไป พี่ใหญ่ก็คงไม่เป็นอันใด ต่อให้ข้ามิอาจออกไปให้ผู้คนพบหน้า ก็สามารถไปอยู่สักที่ใดที่หนึ่งเพื่อหลบซ่อนตัวพักหนึ่งได้ แต่เป็นเพราะข้าอยากไปเดินทางด้วยตนเอง ข้าถึงได้ไป อีกทั้งข้ารู้สึกว่าข้าชอบชีวิตด้านนอกมากกว่า” ที่ด้านนอกนั่นถึงแม้จะมีอันตรายแต่อย่างน้อยเป้าหมายก็ยังชัดเจนว่าเป็นมิตรหรือศัตรู กลับมาถึงเมืองหลวง เพียงแค่คิดว่าต้องกลับมาเจอคนเหล่านั้นที่ต้องยิ้มแย้มพูดจาไพเราะเข้าหากัน แต่เบื้องหลังกลับซ่อนมีดไว้ เยี่ยหลีก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที มิใช่ว่านางทำไม่ได้ แค่เพียงไม่ชอบเท่านั้น
“ข้ารู้สึกว่ายามอาหลีอยู่ด้านนอกกลับดู…น่าทึ่งยิ่งกว่าเสียอีก” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำ อาหลียามอยู่ในเมืองหลวง ต่อหน้าผู้คนนางมักมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ อ่อนโยนและงามสง่า ประหนึ่งเป็นเพียงคุณหนูชนชั้นสูงที่เกิดในบ้านบัณฑิตที่เหมาะสมจะเป็นพระชายา ม่อซิวเหยาไม่มีวันบอกผู้อื่นว่า ในยามที่เขายิงธนูสังหารดอกนั้นออกไปตอนอยู่เมืองหย่งหลิน เขาเห็นกับตาว่าหญิงสาวตรงหน้าเขานี้อยู่ในชุดสีดำเช่นเดียวกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉี ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกเย็นเยียบและภาคภูมิใจ เขาเห็นประกายแสงที่พุ่งออกมาจากตัวนาง ไม่เคยมีช่วงเวลาใดเลยที่ทำให้เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ชายาของเขามิใช่หญิงสาวแสนเรียบร้อยที่เอาแต่หลีกหนีจากแสงไฟ แต่เป็นหญิงสาวที่งดงามโดดเด่นอยู่ท่ามกลางสนามรบ
จู่ๆ ม่อซิวเหยาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน เขาได้เคยลั่นวาจาที่ตนเกือบลืมไปแล้วต่อหน้าเสด็จพ่อและพี่ชายของตนไว้ว่า “ภรรยาของข้า ม่อซิวเหยาจะต้องติดตามข้าออกไปทำศึกในทุกที่ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ ท่านหญิงชิงอวิ๋น จับมือเคียงบ่าเคียงไหล่มองภาพแผ่นดินเบื้องหน้าไปด้วยกัน” ม่อซิวเหยาคิดว่า ธนูดอกนั้น อาจมิได้ยิงออกไปเพื่อช่วยชีวิตอาหลีเท่านั้น บางทีอาจช่วยหัวใจเขาด้วย
ใบหน้างดงามของเยี่ยหลีดูมึนงงเล็กน้อย ตั้งแต่ได้พบหน้ากันที่เมืองหย่งหลิน ยามที่นางอยู่กับม่อซิวเหยามักรู้สึกแปลกประหลาดเสมอ ปกติยามมีธุระต้องหารือก็ไม่ได้คิดอันใดมาก แต่เมื่อใดที่ต่างเงียบลงมักทำให้นางรู้สึกไม่เป็นตัวเอง นางมิใช่ท่อนไม้ที่แข็งทื่อไม่ประสาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตั้งแต่จูบวันนั้นที่นอกด่านซุ่ยเสวี่ย นางย่อมเข้าใจว่าระหว่างทั้งสองคนไม่เหมือนเมื่อก่อนที่รู้สึกเหมือนญาติหรือเหมือนเพื่อนเท่านั้นอีกแล้ว เพียงแต่ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าม่อซิวเหยานางกลับมิอาจนำความเป็นธรรมาชาติและความเป็นตัวเองอย่างเวลามีความรักในชาติที่แล้วออกมาได้ ซึ่งการที่นางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้นี้ ทำให้นางรู้สึกหัวเสียกับม่อซิวเหยาไม่น้อย
ม่อซิวเหยาประหนึ่งเข้าใจจิตใจนางเป็นอย่างดี จึงมิได้มายุ่มย่ามกับนางมากมายนัก แต่ยามที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังก็มีความใกล้ชิดและอบอุ่นขึ้นกว่าแต่ก่อน