Legend of the mythological genes - ตอนที่ 154
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ผู้ที่มีลักษณะเหมือนหรือคล้ายคลึงกันจะมีชีวิตร่วมกันและแลกเปลี่ยนกันเพื่อผลประโยชน์ที่ยิ่งดีที่สุด
มันเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นตระกูลจึงก่อตั้งขึ้นจากรูปแบบโบราณของสังคม
และสำหรับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่ผ่านช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง มหาอำนาจเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในนามตระกูลอันทรงเกียรติและตระกูลขุนนางชั้นสูง
สำหรับตระกูลอันทรงเกียรติ มันหมายความว่ามรดกของพวกเขาถูกสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน พวกเขามีอำนาจและพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งผู้คนนับไม่ถ้วนต่างต้องมองขึ้นมาและปรารถนาจะมีอย่างพวกเขา
ตอนนี้มีโอกาสนั้นอยู่ตรงหน้าของเฟิงหลิน
ถ้าเฟิงหลินเป็นคนธรรมดาเขาคงบ้าคลั่งไปแล้ว และยอมรับข้อเสนอของเฟิงเส้าโย่วทันที อย่างไรก็ตามเฟิงหลินไม่สนใจเรื่องนี้และปฏิเสธตรงๆ ไม่ให้เฟิงเส้าโย่วคิดไปไกล
เพราะเขามีความมั่นใจมากพอที่จะสร้างตระกูลอันทรงเกียรติ!
หลังจากเขาเติบโตเต็มที่ ทำไมเขาจะไม่พึ่งพาความพยายามและความแข็งแกร่งของตัวเองเพื่อสร้างตระกูลที่มีชื่อเสียงระหว่างดวงดาวเองล่ะ?
พื้นที่ระหว่างดวงดาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ทุกอย่างเป็นไปได้
“นายจะสร้างตระกูลอันทรงเกียรติ?” เฟิงเส้าโย่วรู้สึกประหลาดใจอย่างมากหลังจากที่เขาได้ยินคำตอบของเฟิงหลิน หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มเย็นชา
“ดูเหมือนว่านายอยู่ในระบบสุริยะมานานเกินไปแล้ว นายรู้หรือไม่ว่าอวกาศระหว่างดวงดาวนั้นกว้างใหญ่แค่ไหนมันไร้ขีดจำกัดและไร้ขอบเขต แต่ยังมีตระกูลและนิกายอันทรงเกียรติมากมายแค่ไหนที่นั่น?สิบนิ้วก็นับไม่พอ! ตระกูลขุนนางเหล่านี้และนิกายที่มีชื่อเสียง พวกเขาก่อตั้งขึ้นหลังจากการสะสมความพยายามจากรุ่นสู่รุ่น พลังเหล่านี้ยังจะดำรงอยู่สูงสุดแม้ในหมู่จักรวรรดิดวงดาว”
“ในระบบสุริยะจักรวาล อาณาจักรผู้บ่มเพาะระดับสูงคือขีดจำกัด เรื่องไร้สาระนี่คืออะไร?ต้องรู้ว่าผู้บ่มเพาะระดับสูงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในโลกการบ่มเพาะระหว่างดวงดาว มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ความสำเร็จ ถัดจากอาณาจักรผู้บ่มเพาะระดับสูงยังคงมีอาณาจักรสุดยอดผู้บ่มเพาะ อาณาจักรผู้ใช้ยีน อาณาจักรผู้ใช้ยีนระดับสูง อาณาจักรจ้าวแห่งยีน อาณาจักรราชาแห่งยีน … อาณาจักรการบ่มเพาะมากมายเหนือเกินกว่าจินตนาการของนาย ความแตกต่างเพียงขั้นเดียวอาจเทียบเท่ากับระยะห่างระหว่างสวรรค์กับโลก ระดับความแข็งแกร่งของอาณาจักรการบ่มเพาะระดับสูงนั้นไม่ใช่สิ่งที่นายฝันถึงได้”
“นอกจากนี้รากฐานของตระกูลอันทรงเกียรติและขุนนางเหล่านี้ลึกซึ้งอย่างน่าตกใจ เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่จะดึงดูดลม พวกเขาต้องเผชิญกับภัยคุกคามนับไม่ถ้วน พวกเขาต้องมีกึ่งเทพในตำนานเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล ตอนนี้นายเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระหว่างดวงดาวและยังไม่ใช่ผู้บ่มเพาะระดับสูงเลย แต่ก็กล้าพูดจาอวดดีแบบนั้นแล้ว! “คำพูดของเขาคมราวกับดาบ
เฟิงหลินไม่สนใจ ไม่มีความโมโหในใจ เขามีเพียงความสงบเท่านั้น
และจากคำพูดของเฟิงเส้าโย่ว เขาได้รับความรู้เกี่ยวกับการบ่มเพาะอันมีค่าซึ่งเขาไม่สามารถรู้ได้ในเวลาปกติ มันขยายขอบเขตความรู้ของเขา
มันกลับกลายเป็นว่ายังมีอาณาจักรการบ่มเพาะอีกมากมายเหนือกว่าอาณาจักรผู้บ่มเพาะระดับสูง
เต๋าที่แท้จริงของการบ่มเพาะมีความลึกซึ้งอย่างไร้ที่สิ้นสุด
สำหรับกึ่งเทพถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุด พวกเขาจะมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน?
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลินได้ยินตัวละครทรงพลังเหล่านี้ ซึ่งเทียบเคียงกับเทพมาร
ตามที่คาดไว้ พื้นที่ระหว่างดวงดาวเป็นพื้นที่การบ่มเพาะ มีความเป็นไปได้ไม่รู้จบ
ตอนนี้เฟิงหลินมั่นใจในเส้นทางของเขาในอนาคต
แม้ว่าจะมีพื้นที่ว่างระหว่างดวงดาวมากมาย แต่เขาก็ไม่ลังเลด้วยความรู้เรื่องตำนาน และโลกโบราณ เฟิงหลินไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร เขาจะสามารถเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแน่นอน
เพียงแค่จากรากฐานและศักยภาพของเขา
หากเขายังไม่เติบโตและไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ใครจะทำได้?
เขาจะพึ่งพาตัวเองเพื่อสร้างตระกูลอันทรงเกียรติในอนาคต! นี่ไม่ใช่แค่จินตนาการที่เพ้อฝัน
ในที่ที่มีมนุษย์ มักจะมีความขัดแย้งอยู่เสมอ สำหรับตระกูลบรรพชนระหว่างดวงดาวและนิกายที่ทรงพลังสถานการณ์ภายในของพวกเขาจะซับซ้อนมาก ต้องต่อสู้ทุกวันเพื่อความอยู่รอด
ในฐานะคนนอกจะได้ประโยชน์อะไรถ้าเขาเข้าไปที่นั่น?
อย่างมากเขาจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เขาอาจตกเป็นเป้าหมายของศัตรูของเฟิงเส้าโย่ว มันจะเสียเวลาเปล่าๆ
ดังนั้นเฟิงหลินจึงชัดเจนในสิ่งที่เขาควรทำมาก คือการเดินตามเส้นทางที่เขาเลือกทีละขั้นตอน ให้เวลากับตัวเองเพื่อรับโอกาสที่แท้จริง และไม่โลภเพียงเพื่อเข้าร่วมตระกูลอันทรงเกียรติ ท้ายที่สุดอิสรภาพของเขาจะถูกจำกัด และเขาจะเสียเวลาในการบ่มเพาะ ทำให้เขาไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
เขามีความรู้มากมายเกี่ยวกับเส้นทางในตำนาน ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่ศักยภาพทางพันธุกรรมของเขาเพียงพอเขาจะสามารถได้รับสมการทางพันธุกรรมบนเส้นทางที่เขาเลือก
แม้ว่าเส้นทางในตำนานของฝูซีตระกูลบรรพชนตระกูลเฟิงจะพิเศษมาก แต่เฟิงหลินเชื่อว่าเขาจะสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งและความพยายามของเขาในการไปถึงสิ่งยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้
ดังนั้นทำไมเขาถึงต้องจำเป็นที่จะเข้าสู่ตระกูลบรรพชนระหว่างดวงดาวด้วย?
เนื่องจากเขาได้ทำลายข้อจำกัดที่ตระกูลย่อยนี่กำหนดไว้ ทำไมถึงต้องเข้าไปในคุกอีกที่หนึ่งด้วย?
เมื่อเห็นว่าเฟิงเส้าโย่วกำลังจะพูดต่อ เฟิงหลินก็อยากจะหนีไป แต่ในทันใดหัวใจของเขาก็ปลุกเร้าขึ้นมา เขาหยุดและยิ้มออกมา
เนื่องจากเฟิงเส้าโย่วนี้ต้องการให้เขากลายเป็นผู้พิทักษ์ อย่างน้อยที่สุดเขาอาจจะสามารถเรียนรู้ความจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับโลกการบ่มเพาะดวงดาวได้
“ถ้าตระกูลบรรพชนมีพลังอำนาจจริงๆอย่างที่นายพูด ทำไมนายถึงไม่อยู่ที่นั่น นายมาทำอะไรที่นี่ในระบบสุริยะนี้?” เฟิงหลินแสร้งทำเป็นราวกับว่าเขาโกรธเฟิงเส้าโย่วที่ดูถูกตระกูลของเขา
เฟิงเส้าโย่วไม่สงสัยอะไรเลย เขาหัวเราะเยือกเย็น “ถ้าตระกูลบรรพชนของตระกูลเฟิงต้องการที่จะเสริมกำลังตัวมันเอง โดยธรรมชาติย่อมต้องมีเลือดใหม่มาเข้าร่วม สมาชิกตระกูลย่อยเหล่านี้ต่างเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆผ่านการต่อสู้ภายใน ก่อนที่จะเรียกอัจฉริยะแท้จริงกลับมาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตระกูลบรรพชน หากไม่ใช่เพราะตระกูลมอบหมายภารกิจแก่ฉัน นายคิดว่าฉันจะยินดีมาที่ภูมิภาคดาวโกลาหลนี้ในระบบสุริยะหรอ? “
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเฟิงหลินก็หรี่แคบลง “ในกรณีนี้การแบ่งแยกตระกูลออกเป็นระดับต่างๆก็คือคำสั่งของตระกูลบรรพชนอย่างงั้นหรอ?”
“ตามธรรมชาติ! กฎของป่าในจักรวาลนั้นมืดและโหดร้าย มนุษย์อาจจะไม่สามารถปกป้องตนเองและอาจตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา สำหรับตระกูลที่มีอำนาจนั้น จำนวนประชากรไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันจะต้องให้กำเนิดผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดอย่างแท้จริงที่สามารถบดบังผืนฝ้าได้ เมื่อถึงตอนนั้น มนุษย์ถึงจะมีผู้พิทักษ์”
“นี่คือเหตุผลที่มีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มีเพียงผู้ที่สามารถฉีกเส้นทางและปีนขึ้นไปบนยอดเขาได้ถึงจะถือว่าเป็นอัจฉริยะจริงๆ เช่นราชาแมลงกู่ มีคนผู้หนึ่งได้วางแมลงมีพิษจำนวนมากในพื้นที่ปิดล้อมเพื่อให้พวกมันกินกันเองจนเหลือตัวสุดท้าย ตัวที่แข็งแกร่งสุดและได้รับทรัพยากรมากสุด และเฟิงหลิน ตอนนี้ นายคือราชาแมลงกู่ของระบบสุริยะ การกลับไปตระกูลบรรพชนคือชะตากรรมของนาย!”เฟิงเส้าโย่วพูดเสียงดัง
“ราชาแมลง กู่!” ดวงตาของเฟิงหลินเปล่งประกายความโกรธ ชายคนนี้พูดว่าเขาเป็นแค่แมลง
กฎของตระกูลระหว่างดวงดาวนั้นโหดร้ายอย่างมาก
ทุกๆตระกูลย่อยไม่มีอะไรนอกจากเป็นพื้นที่เลี้ยงดูราชาแมลงกู่ ก่อนที่ตระกูลบรรพชนจะดูดซับอัจฉริยะเหล่านี้กลับมาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง
“ตระกูลบรรพชนไม่กลัวว่าจะมีคนคิดกบฏหรอถ้าทำเช่นนั้น?” เสียงของเฟิงหลินเปลี่ยนไป หนักแน่นมาก
“กบฏ?” เฟิงเส้าโย่วหัวเราะ “ยังไงละ?”
“โดยไม่สนอารยธรรมมนุษย์ กฎของจักรวาลนั้นโหดร้ายอย่างไร้ที่ติ ที่ผู้อ่อนแอเป็นอาหารสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งสำหรับผู้แพ้ในตระกูล อย่างน้อยที่สุดก็มั่นใจได้ว่าพวกเขาจะมีอาหารกินและมีเสื้อผ้าสวมใส่ สำหรับผู้ชนะอนาคตของพวกเขาจะสดใสอย่างไร้ขอบเขต นี่คือวิธีการที่ตระกูลบรรพชนใช้กันทั่วไป”
“นอกจากนี้เต๋าในตำนานที่สมบูรณ์ของฝูซี สามารถแบ่งออกเป็นยีนซุยเร็นชิและฝ่ามือแปดเหลี่ยมตระกูลย่อยของนายจะสืบทอดเฉพาะยีนเกรดต่ำ ที่เป็นไปได้ก็คือยีนฝ่ามือแปดเหลี่ยม และ ยีนซุยเร็นชิซึ่งอาจทำให้นายกลายเป็นได้แค่ผู้บ่มเพาะระดับสูง นายคิดว่าใครจะกบฏได้?เฉพาะผู้ที่เดินบนเส้นทางเต๋าในตำนานเท่านั้น ที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นลูกหลานของสามราชันย์”
“เฟิงหลินถ้านายต้องการกลับไปยังตระกูลบรรพชน การเป็นผู้พิทักษ์ของฉันเป็นทางเลือกเดียวของนาย หากไม่มีทายาทสายตรงจากตระกูลบรรพชนคอยให้คำแนะนำ มันเป็นไปไม่ได้ที่นายจะได้กลับไป!” เฟิงเส้าโย่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ
เฟิงหลินไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่านี้ เขาเริ่มไตร่ตรองข้อมูลนี้ในใจของเขาอย่างละเอียด
ยีนที่สืบทอดของตระกูลเฟิงคือเส้นทางเต๋าในตำนาน
ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับกลายเป็นว่ายีนฝูซีนั้นถูกสังเคราะห์จากยีนซุยเร็นชิและยีนฝ่ามือแปดเหลี่ยม
นี่ถือเป็นข้อมูลล้ำค่า! หลังจากทราบจุดนี้แล้วเฟิงหลินก็สามารถใช้ศักยภาพทางพันธุกรรมจำนวนมากในการอนุมานเส้นทางเต๋าฝูซี ทำไมเขาจะต้องมาขอร้องอ้อนวอนคนอื่นและถูกจำกัดด้วย?
กลับไปที่ตระกูลบรรพชน?เขาไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน
หลังจากได้รับความรู้ล้ำค่านี่เฟิงหลินก็พอใจแล้ว เขาไม่ต้องการเสียเวลาหับเฟิงเส้าโย่วอีกต่อไป
“ ไม่จำเป็น ถ้าฉันต้องการ ฉันจะต่อสู้เพื่อตัวเองและจะไม่ขอร้องจากคนอื่น” เฟิงหลินตัดจบและหันหลังพร้อมที่จะเดินออกไป
“นายคิดว่านายจะไปไหนได้?” เฟิงเส้าโย่วโกรธมากเขาใช้เวลานานและพูดหลายสิ่งหลายอย่างกับสมาชิกในตระกูลย่อย แต่คนที่ไม่สำคัญเช่นนี้กลับไม่สนใจเขา? ในอนาคตเขาจะต้องแข่งขันกับคู่แข่งในตระกูลบรรพชนแล้วเขาจะไม่ถูกเยาะเย้ยหรือไง?
พายุที่น่ากลัวก่อตัวขึ้นทันที
ตามสัญชาตญาณ เฟิงหลินหลบอย่างรวดเร็ว เขาเห็นหางงูขนาดมหึมาที่ตบลงมาที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้
สิ่งมีชีวิตในตำนานครึ่งคนครึ่งงูปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
ปล.แก้จากฟู่ซือเป็นฝูซีนะคะ ตามตำนาน ฝูซีคือปฐมมนุษย์คู่กับเจ้าแม่หนี่วา ซึ่งเป็นเทพีผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ฝูซีเป็นราชันย์มนุษย์คนแรก เป็นผู้คิดค้นการก่อกองไฟ การสร้างสิ่งประดิษฐ์เพื่อล่าสัตว์ต่างๆนาๆ และยังเป็นผู้สร้างแปดเหลี่ยม กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้งสองก็คือเทพผู้สร้างของตำนานจีนนี่เอง