Legend of the mythological genes - ตอนที่ 159
เขาเคาะเท้าเบาๆกับพื้น เฟิงหลินเปลี่ยนเป็นชุดภาพติดตาจำนวนมากขณะเร่งความเร็ว
เมื่อเห็นว่าเฟิงเส้าโหยวไม่ไล่ตาม เขาก็ถอนหายใจโล่งอก
เขาไม่กลัว มันแค่ว่าหากเฟิงเส้าโหยวไล่ตามมาเรื่องราวจะยุ่งยาก
เหนือสิ่งอื่นใด เฟิงเส้าโหยวคือผู้บ่มเพาะจากอวกาศ เฟิงหลินไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้เขา
ก่อนหน้านี้ แม้เขาจะได้เปรียบบ้าง เขาก็ไม่ได้สร้างบาดแผลสำคัญอะไรให้กับเฟิงเส้าโหยว
เฟิงเส้าโหยวคือผู้บ่มเพาะที่ฝึกทีละขั้น มีรากฐานมั่นคง รวมถึงการรู้วิธีใช้พลังอย่างดี เขาแตกต่างจากไททัน
เขาถามคำถามนี้กับตัวเอง หากเขาสู้กับเฟิงเส้าโหยวต่อ เขารู้ว่าโอกาสแพ้นั้นสูงกว่า
ชนะและแพ้เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้บ่มเพาะ เขาแค่ต้องรักษาสภาพจิตใจสงบไว้ ไม่มีอะไรทำลายสภาพจิตใจเขาได้
แต่ทว่า มันเป็นความจริงทีบางครั้งการต่อสู้อาจเป็นแบบนี้ ความแตกต่างในพลังไม่ใช่ปัจจัยชี้ชัดว่าใครจะชนะ ตราบเท่าที่ผู้อ่อนแอกว่าสามารถคว้าโอกาสได้เหมาะสม พวกเขาก็ยังมีโอกาสชนะ
แม้เฟิงหลินจะไม่อาจเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างน้อย เขาก็สามารถคว้าโอกาสถอยได้ เขาไม่ลังเลเลย
เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าเฟิงเส้าโหยวนั้นมีระดับเหนือกว่าแต่ก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เฟิงหลินเชื่อว่าเฟิงเส้าโหยวคงไม่มีหน้ามาหาเขาอีก
เฟิงหลินถอนหายใจ ในที่สุดเขาก็จัดการปัญหายุ่งยากในตระกูลได้และได้รับอิสระ
ต่อไปเขาแค่ต้องทำให้ดีสุดเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
อวกาศนั้นกว้างใหญ่ หากเขาอยู่ลำพัง มันคงยากที่จะพัฒนาและพบกับสถานการณ์ยากลำบากทุกประเภทในอนาคจ
พลังของคนๆเดียวไม่สำคัญ เฉพาะเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม เขาถึงสำแดงศักยภาพได้เต็มที่
เขารู้เส้นทางนับไม่ถ้วนที่จะนำไปสู่ความเป็นเทพและแม้กระทั่งความสามารถของสมการพันธุกรรม นอกจากนี้ เขาไม่ต้องใช้ทั้งหมดเพื่อตัวเอง หากเขาไม่ใช้จุดแข็งเหล่านี้เพื่อพัฒนากองกำลัง นั่นจะไม่น่าเสียดายงั้นหรือ?
มันเหมือนอาวุธเทพที่ไร้นายหรือบางคนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าคลังสมบัติและไม่เข้าไป มันเป็นการเสียทรัพยากรเปล่าๆ
เฟิงหลินไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้น นี่ทำให้เขาอยากสร้างสมาคมยีนในตำนานขึ้น เขาอยากใช้ประโยชน์จากควารู้เขาและสร้างขุมพลังที่สามารถต่อกรกับสังคมชาวอารยันได้ เขาอยากเลี้ยงดูลูกน้องที่ภักดีและใช้ลพังของคนเพื่อปล้นชิงทรัพยากรที่เขาต้องการ
อวกาศกว้างใหญ่มาก แต่สำหรับสมบัติพิศวงและทรัพยากรบ่มเพาะที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ มันมีจำกัด
ดังนั้น การแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่เอกภพยังคงโคจร ผู้คนก็ได้พยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อความก้าวหน้า
มีเพียงการแข่งขันถึงจะทำให้ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ต้องการ ซึ่งจะทำให้เส้นทางพวกเขาราบรื่นขึ้น
แต่เขาควรทำมันยังไง?เขาจะทำให้สมาคมยีนเขาแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง?
ความคิดของเฟิงหลินหมุนอย่างรวดเร็ว คิดหาวิธีแก้ปัญหา
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอวกาศนั้นพัฒนาจนถึงจุดสูงสุด เฟิงหลินอยากใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หากเขาทำมันอย่างโง่เขลา เขาจะแตกต่างยังไงกับพวกดึกดำบรรพ์เหล่านั้น?
เมื่อคิดถึงสถานการณ์ทั้งหมดที่เป็ฯไปได้เพราะวิทยาศาสตร์อันก้าวหน้าของยุคนี้ รอยยิ้มก็ฉาบบหน้าเฟิงหลิน ต่อไป แค่ต้องรอยืนยันความคิดเขา
ปุ ปุ!..
ควันจากการระเบิดหมุนวนเมื่อท้องฟ้ายามค่ำคืนส่องแสง
นี่เป็นยุคระหว่างดวงดาวแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นแบบจำลองทางเทคโนโลยีของพลุไฟยามค่ำคืน
ทั้งเมืองฮั่วเซียเต็มไปด้วยความสุข
วันสิ้นปีผ่านไปแล้วและปีใหม่ก็มาถึง ฉากนี้ช่างคุ้นเคย!
เฟิงหลินรู้สึกเศร้าในใจ แม้เขาจะข้ามผ่านเวลามาหลายหมื่นปี ฉากนี้ก็ยังไม่เปลี่ยน
เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าครอบครัวเขาเป็นยังไงบ้าง แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นอดีตไปแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะกลับไปได้..
เฟิงหลินไม่ใช่คนหดหู่ มันเปล่าประโยชน์ที่จะนึกคิดเรื่องอื่น
ปีใหม่มาถึงแล้ว ต่อไป ชีวิตเขายังต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สะเทือนฟ้าดิน
โลกเล็กไป รวมถึงระบบสุริยะ
มีเพียงอวกาศไร้ขอบเขตถึงสามารถเป็นอนาคตของผู้บ่มเพาะได้
ถนนข้างหน้ายังอีกไกล และเขาก็ต้องเดินไปทีละก้าว
เฟิงหลินชัดเจนมากว่าเขาไม่ได้ขาดศักยภาพ
แต่ทว่า ศักยภาพก็แค่สกยภาพ หากเขาอยากเปลี่ยนศักยภาพเป็นพลัง เขาก็ยังต้องพยายาม
สำหรับอัจฉริยะที่ยังไม่เติบโต เขาจะไม่ถือเป็นอัจฉริยะ
การรักษาความแน่วแน่ไว้จะนำไปสู่ความสำเร็จ
เขาไม่ผิด
เฟิงหลินสะบัดไล่ความคิดยุ่งเหยิงและเดินไปหาครอบครัวเขาในชาตินี้
หากประสบความสำเร็จ คนในบ้านเขาก็จะเติบโตไปด้วย
เฟิงหลินมอบรางวัลให้พ่อแม่และน้องเขา ยกระดับเป็นชนชั้นสาม พวกเขาไม่ต้องอาศัยในใต้ดินอีก
ตอนนี้ ครอบครัวเขาย้ายไปอยู่บ้านหรูบนชั้น80 บ้านนี้ถือว่าหรูหรามาก กว้างกว่า200ตารางเมตร
นี่คือสถานที่ที่เหมาะสำหรับคนชั้นสูง สภาพแวดล้อมแตกต่างมาก
ผ่านหน้าต่าง มันสามารถเห็นได้เกือบทั้งเมืองฮั่วเซีย เนินเขาเขียวและน้ำทะเลใส แถมยังมีแสงแดดธรรมชาติที่ส่องเข้ามา
ผ่านการค้นหาโดยใช้ไมโครชิป เฟิงหลินพบตำแหน่งของบ้านใหม่พ่อแม่เขา เมื่อเขากลับไป เก็พบว่าพ่อแม่และน้องๆกำลังรอเขาอยู่ บนโต๊ะ มีอาหารกลิ่นหอมวางอยู่ จานเต็มไปด้วยเกี๋ยวเนื้อร้อนๆ
มันคือประเพณีที่จะกินเกี๊ยวทุกปีใหม่
นี่คืออาหารจากธรรมชาติและมีสารอาหารที่ดี แตกต่างจากของเหลวสารอาหารเกรดต่ำไร้รสชาติที่พวกเขาต้องกินในอดีต
อาหารค่ำสำหรับปีใหม่ถูกเตรียมและวินาทีที่พวกเขาเห็นเฟิงหลิน พ่อแม่ก็ยืนขึ้นและหัวเราะ”เฟิงหลิน ลูกกลับมาแล้ว!มาสิ รีบกินตอนที่มันยังร้อนๆ!”
ใบหน้าพ่อแม่เขาซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยของวัยคลายลง ฉีกยิ้มสดใส พวกเขาเต็มไปด้วยความหวังใหม่กับชีวิตใหม่
น้องชายและน้องสาวเขารีบวิ่งมานั่ง ทั้งคู่เกือบน้ำลายหกเมื่อได้กลิ่นอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน
“ครับ”เฟิงหลินยิ้ม รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นี่คือความอบอุ่นจากการรวมกันของครอบครัว
“พี่ กินนี่สิ เกี๊ยวนี่อร่อยมากเลย!”เฟิงซินพูดเสียงอู้อี้ คีบเกี๊ยวด้วยตะเกียบและส่งมันให้เฟิงหลิน
เฟิงหลินหัวเราะและลูบหัวเธอ วางเกี๊ยวลงปาก กลิ่นหอมของเครื่องเทศและเนื้อสัตว์ระเบิดในปากเขา มันอร่อยมาก
แม้สารอาหารพวกนี้จะไม่มีประโยชน์ต่อเขา เขาก็ไม่สนใจ
เฟิงหลินยิ้มและกินเกี๊ยวพร้อมกับครอบครัวเขา การกินอาหารด้วยกันไม่ใช่แค่เพื่อตอบสนองความหิว มันยังให้ความรู้สึกดีๆ
สิ่งนี้ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ในอดีต มันหายากมากที่ครอบครัวพวกเขาจะได้ทำแบบนี้
สายตาเฟิงหลินสดใสและเขาก็มั่นใจว่าเส้นทางในอนาคตเขาไม่ผิด
มีเพียงการบ่มเพาะถึงสามารถเปลี่ยนชะตากรรมเขาได้ ไม่ใช่แค่ชะตากรรมเขา แต่ยังรวมถึงครอบครัวเขาด้วย
ในอนาคต เมื่อเขาเติบโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ครอบครัวเขาอาจไม่สามารถติดตามเขาไปด้วยได้ แต่ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถเพลิดเพลินกับความสำเร็จของเขาและใช้ชีวิตที่สงบสุขได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
นี่คือทั้งหมดที่เขาจะทำได้เพื่อครอบครัว หากให้มากเกินไป มันจะเป็นการทำร้ายแทน
มันไม่ใช่เรื่องบาปที่อ่อนแอ แต่ทว่า มันเป็นบาปสำหรับผู้อ่อนแอที่ครอบครองสมบัติมากเกินไป
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป ตรรกะเดิมก็ยังอยู่
แปะๆ!
เสียงพลุยังระเบิดในอากาศ
เสียงแปะๆที่ดังคือเสียงประทัดที่ยังดัง
ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวพอๆกับกลางวัน
น้องๆเขาเบิกากว้าง ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
เฟิงหลินยิ้มไม่หุบ มองออกไปเงียบๆ
ความรู้สึกอบอุ่นสามารถรู้สึกได้ในการรวมตัวนี้
นี่คือความสุข!